บทที่ 343 การนอกใจน่าปลาบปลื้มที่สุดแล้ว

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

ฝนยามฤดูใบไม้ผลิมันวาวดุจผ้าไหม

รัฐเว่ยกำลังอยู่ในรัศมีแห่งวสันตฤดูอันอบอุ่น

กษัตริย์ใหม่ขึ้นครองราชย์ ภายในพระราชสำนักค่อยๆ กลับสู่สภาวะปกติ กองทัพฉินยังคงไม่ถอยทัพ อย่างไรด็กีมีกงซุนเหยี่ยนคอยกำกับทั้งยังมีรัฐหานกั้นกลางจึงยังมาไม่ถึงนครหลวงในเร็ววันนี้ ด้วยเหตุนี้ความครึกครื้นในต้าเหลียงจึงไม่น้อยหน้าไปกว่าในอดีตเลย

ฮุ่ยซือหายจากอาการป่วยหนัก ในที่สุดก็หวนคืนสู่ตำแหน่งในราชสำนักซึ่งทำให้ผู้คนจำนวนมากเบาใจ เว่ยเฮ่อจึงถือโอกาสนี้มอบหมายงานสำคัญให้กับหมิ่นฉือรวมถึงแขกที่ปรึกษาผู้ภักดีที่ยังคงอยู่ในที่ว่าการ

ทุกคนล้วนยินดียิ่ง แต่มีเพียงหรงจวี้ผู้เดียวที่ไม่มีความสุข เมื่อฮุ่ยซือหายป่วย เขาย่อมต้องส่งคืนตำแห่งมหาเสนาบดีนี้โดยธรรมชาติ เมื่อเคยได้เป็นมหาเสนาบดีที่อยู่ใต้คนคนเดียวแต่อยู่เหนือผู้คนนับหมื่นแล้วยังจะเห็นคุณค่าตำแหน่งทางการอื่นๆ อีกหรือ?

ท่ามกลางแสงยามเย็น เขาพิงหน้าต่างและดื่มสุราอย่างเมามัน ข้างนอกฝนตกพรำ ตะเกียงไฟถูกจุดขึ้นบนทางเดิน ภายในห้องมืดสลัว

“นายท่าน มีแขกมาขอรับ” คนรับใช้รายงาน

บัดนี้หรงจวี้กำลังเมาได้ที่แล้ว บวกกับอารมณ์ไม่ดี เพียงเอ่ยอย่างคลุมเครือ “อ่อ ผู้ใด?”

“ผู้มาเยือนไม่ได้เอ่ยชื่อแซ่ ให้สมุดไผ่มาม้วนหนึ่ง กล่าวว่าเมื่อนายท่านเห็นก็จะเข้าใจ” คนรับใช้ยื่นสมุดไผ่ไปตรงหน้าเขา

หรงจวี้มาจากสำนักขงจื้อ ศิษย์พี่น้องร่วมสำนักมีไม่น้อย พวกนักวรรณกรรมมักจะทำตัวลึกลับโดยไม่จำเป็น เขารับมันมาแล้วคลี่สมุดไผ่ออก กวาดสายตาอ่านสองสามรอบโดยอาศัยแสงไฟจากตะเกียงบนทางเดิน

ใครจะรู้ว่าอ่านเพียงไม่กี่รอบ หรงจวี้ก็รู้สึกตื่นเต้น ความมึนเมาหายไปจนสิ้น

หลังจากเขาอ่านจบแล้วลดสมุดไผ่ลง เอ่ยถามด้วยเสียงล้ำลึก “พาคนคนนี้เข้ามา จากนั้นก็ปิดประตูจวนเสีย”

“ขอรับ” คนรับใช้เห็นว่าหรงจวี้กำชับอย่างละเอียดก็รู้ว่าเป็นแขกคนสำคัญ หลังจากถอยออกไปแล้วก็วิ่งเหยาะๆ ไปจนถึงห้องรับรอง

“แขกท่านนี้เชิญขอรับ” คนรับใช้กล่าวอย่างนอบน้อม

ในห้องรับรองมีคนในชุดสีเทาเข้มยืนอยู่ บนตัวสวมเสื้อคลุมที่มีหมวกสีดำบดบังใบหน้าไว้ เผยให้เห็นเพียงขากรรไกรที่มีหนวดเครารกรุงรังเท่านั้น

เขาเดินตามคนรับใช้เข้ามาในลาน เดินไปยังห้องหนังสือจากทางเดิน

หรงจวี้ยืนรออยู่ที่หน้าประตูอยู่แล้ว เมื่อเห็นผู้มาเยือนก็เอ่ยกับคนรับใช้คนนั้นว่า “เจ้าออกไปเถิด ห้ามให้ใครมารบกวน”

“ขอรับ”

เหลือเพียงสองคนภายในลาน

คนในเสื้อสีเทานั้นลดหมวกลง ใบหน้าซีดเซียวแทบจะถูกหนวดเคราที่ยาวจนน่าตกใจกลบฝัง “คารวะท่านผู้ว่าต้าเหลียง”

หรงจวี้สำรวจเขาครู่หนึ่งก่อนเอ่ยเสียงต่ำ “เข้ามาคุยเถิด”

พูดจบก็หันหลังกลับเข้าไปในห้อง คนในชุดเทาหันมองรอบลานก่อนที่จะก้าวเท้าเข้าไปข้างใน

ตะเกียงน้ำมันภายในห้องส่องแสงอบอุ่น

“ตามสบายเถิด” หรงจวี้กล่าว

ชายในชุดเทาก็ไม่เกรงใจ หยิบเสื้อคลุมขึ้นมาและเลือกที่นั่งตามใจชอบ

“ในสมุดไผ่เป็นความจริงรึ?” แววตาของหรงจวี้เป็นประกาย

คนในชุดเทาเอ่ยเยาะเย้ย “ข้าน้อยก็ทำมาถึงขั้นนี้แล้ว จำเป็นต้องโป้ปดด้วยหรือ?”

“หมิ่นฉือกล่าวว่าเจ้าสวีจ่างหนิงเป็นไส้ศึกจากรัฐฉิน หากเจ้าคิดที่จะกำจัดขุนนางคนสำคัญของรัฐเว่ยข้า ก็จำเป็นต้องโป้ปดอยู่แล้ว” หรงจวี้มองสำรวจเขา

สวีจ่างหนิงตกตะลึง ฝ่ามือขับเหงื่อออกมาอย่างช่วยไม่ได้ แต่เมื่อนึกถึงคำพูดของสายลับที่ว่า “จะเพลิดเพลินไปกับความมั่งคั่งหรือจะหัวหลุดจากบ่า” ก็บังคับตัวเองให้สงบสติไว้

ซ่งชูอีไม่สามารถอธิบายอย่างละเอียดว่าต้องรับมืออย่างไร โชคดีที่เขามีความเฉลียวฉลาดอยู่บ้าง “คนอย่างหมิ่นจื๋อห่วนนับว่าเป็นขุนนางคนสำคัญได้หรือ? หากข้าเป็นไส้ศึก คนแรกที่ข้าจะกำจัดก็คือกำจัดกงซุนเหยี่ยน! แต่คิดไม่ถึงว่าหมิ่นจื๋อห่วนเพื่อกำจัดข้าน้อยแล้ว แม้แต่กล้ากุเรื่องประเภทนี้ขึ้นมา! ตอนแรกที่ข้าน้อยชื่นชอบองค์รัชทายาทแต่แล้วก็เปลี่ยนข้างไปหาองค์ชายซื่อ เพราะข้าคิดว่าองค์ชายซื่อมีเสน่ห์กว่าองค์รัชทายาท มีความกล้าหาญ บัดนี้นานารัฐต่างแย่งชิงความเป็นเจ้าแห่งใต้หล้า ด้วยนิสัยขององค์รัชทายาทเช่นนั้นจะทำให้รัฐเว่ยล่มสลาย”

ระหว่างติดต่อกับซ่งชูอีผ่านจดหมายเป็นระยะเวลาสามปีก็มักจะเกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านี้ สวีจ่างหนิงย่อมยกตัวอย่างได้อย่างเป็นธรรมชาติ

หรงจวี้รู้สึกโมโหมาก ทว่าก็มิได้คัดค้าน เขาสนับสนุนองค์รัชทายาทเพราะความเห็นแก่ตัวไม่มากก็น้อย เพราะว่าองค์รัชทายาทมีเมตตา นิสัยดี ปรนนิบัติง่าย ทั้งยังเป็นคนที่สามารถรับฟังผู้อื่น เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว

“หมิ่นจื๋อห่วนก็มองเห็นข้อนี้มิใช่หรือถึงได้เข้าหาองค์ชายซื่อ?” สวีจ่างหนิงเอ่ยเสียงเย็นชา

สีหน้าของหรงจวี้เปลี่ยนไป “เจ้าบอกว่าหมิ่นจื๋อห่วนเป็นคนขององค์ชายซื่อ!”

“ท่านผู้ว่าต้าเหลียงประหลาดใจเพียงนี้เชียวหรือ?” สวีจ่างหนิงวางใจลง “ทุกคนก็รู้ว่าพี่ชายของฮูหยินรองขององค์ชายก็คือตู้เหิงผู้จุดชนวนสงครามฉินเว่ย แต่ไม่มีใครรู้ว่าหมิ่นจื๋อห่วนกับตู้เหิงมีมิตรภาพที่ยิ่งใหญ่ต่อกันกระมัง!”

หรงจวี้เพิ่งจะสงบสติอารมณ์ได้ก็โดนข่าวนี้หลอกเข้าอีกแล้ว “มีหลักฐานใด?”

“ท่านได้โปรดฟังข้าให้จบก่อน” สวีจ่างหนิงหลบเลี่ยงคำถาม “ในตอนแรกหมิ่นจื๋อห่วนพึ่งพิงองค์ชายซื่อ ต่อมาองค์ชายซื่อค่อยๆ มอบหมายงานให้ข้าน้อย เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ข้าน้อยก็ไม่กลัวที่จะกล่าวตามความจริง องค์ชายเคยมีเจตนาปลงประชนม์เว่ยอ๋อง แต่คิดที่จะลงมือขณะที่สถานการณ์บีบบังคับ สุดท้ายแล้วการสิ้นพระชนม์ของอ๋ององค์ก่อนไม่ใช่ฝีมือขององค์ชาย แต่เป็นหมิ่นจื๋อห่วนที่หลอกใช้ไส้ศึกที่องค์ชายแทรกซึมเข้ามาในพระราชวังและก่อกบฏในบัดดล!”

สวีจ่างหนิงไม่รู้ว่าตู้เหิงเป็นคนแทรกซึมไส้ศึกผู้นั้นเข้ามา ด้วยเหตุนี้จึงแสดงได้สมบทบาทยิ่ง

สายลมยามราตรีพัดมา ไฟในตะเกียงวูบไหว ใบหน้าของสวีจ่างหนิงดูเจ้าเล่ห์เล็กน้อย ความเกลียดชังของเขานี้มิใช่ของปลอม หากไม่ใช่เพราะหมิ่นจื๋อห่วน เขาที่เสวยความรุ่งโรจน์และมั่งคั่งอยู่ดีๆ เหตุใดเพียงพริบตาเดียวก็กลายเป็นหมอกควันไปได้เล่า “ชัยชนะหรือความพ่ายแพ้เป็นเรื่องปกติของสำนักพิชัยยุทธ ข้าน้อยไม่เคียดแค้น เพียงแต่หมิ่นจื๋อห่วนผู้นั้นกล่าวหาว่าข้าเป็นไส้ศึกจากรัฐฉิน ทำร้ายจนข้าชื่อเสียงป่นปี้ ต้องหลบๆ ซ่อนๆ เหมือนหนู แค้นนี้จะไม่ชำระไม่ได้!”

ครั้นชื่อเสียงเช่นนี้แพร่กระจายออกไป ต่อไปจะมีรัฐไหนที่ยอมใช้งานเขา?

“จดหมายลับนั่น…” หรงจวี้เอ่ยอย่างลังเล

สวีจ่างหนิงเอ่ย “ที่จริงมันน่าขันมาก เชื่อว่าท่านก็เคยเห็น ‘จดหมายลับ’ ฉบับนั้นเช่นกัน ลายมือบนนั้นเหมือนกับของวันนี้หรือ? เห็นได้ชัดว่านั่นเป็นลายมือของข้าเอง! หลักฐานที่เหลือถูกทำลายไปแล้ว จะเชื่อหรือไม่ขึ้นอยู่กับท่าน”

หรงจวี้รู้สึกว่าสวีจ่างหนิงพูดมีเหตุผล การที่สวีจ่างหนิงมาหาเขานั้นมิได้กล่าวถึงเรื่องอื่นเลย มีเพียงความแค้นต่อหมิ่นฉือเข้ากระดูกดำเท่านั้น หมิ่นฉือก็ไม่มีผลงานเท่าไร หากสวีจ่างหนิงเป็นไส้ศึกของรัฐฉินจริง กำจัดกงซุนเหยี่ยนไปไม่เป็นประโยชน์กว่าหรือ?

ยิ่งไปกว่านั้น ท้ายที่สุดแล้วการที่องค์ชายซื่อลอบปลงพระชนม์อ๋ององค์ก่อนก็มีจุดที่น่าสงสัย จุดที่น่างงงวยที่สุดก็คือหลังจากที่เขาลงมือแล้วการเตรียมการกบฏก็ไม่ได้เกิดขึ้น เพราะมันเป็นความผิดพลาดหรือว่าสิ่งที่สวีจ่างหนิงกล่าวเป็นเรื่องจริงกันแน่?

นอกจากนี้วิธีจัดการกับสวีจ่างหนิงก็เป็นเรื่องที่น่าปวดหัวจริงๆ หากปล่อยไปแล้วจะพิสูจน์หมิ่นฉือได้อย่างไร? หากเก็บไว้แล้วมีคนร้องเรียนว่าตนสมคบคิดกับศัตรูจะทำอย่างไร?

“ท่านจากไปก่อนเถิด” หรงจวี้ครุ่นคิดหลายรอบ เรื่องนี้ไม่อาจทำให้มันใหญ่โตได้ หากว่ามันแพร่งพรายจริงๆ และสามารถลบล้างมนทินที่องค์ชายซื่อลอบปลงพระชนม์ได้ แน่นอนว่ามันเป็นอันตรายที่ซ่อนอยู่ในอนาคต นอกจากนี้เมื่อไม่มีข้อพิสูจน์ใดๆ ก็ยากที่จะทำอะไรกับหมิ่นจื๋อห่วน

สุดท้ายแล้วหรงจวี้ก็ยังมีความเห็นแก่ตัว ไม่คิดที่จะฆ่าสวีจ่างหนิงปิดปาก เขาสามารถทูลเรื่องนี้ให้ท่านอ๋องทราบอย่างลับๆ เพื่อปลูกเมล็ดพันธุ์แห่งความสงสัยก่อน รอจนวันที่มีการแย่งชิงตำแหน่งเสนาบดีค่อยใช้ประโยชน์จากหลักฐานของสวีจ่างหนิง ดึงหมิ่นจื๋อห่วนให้ร่วงลงมาในคราเดียว

ดังนั้นเขาจึงตั้งใจที่จะให้สวีจ่างหนิงอยู่เฉยๆ ก่อน ไม่ให้เขาตอบโต้ด้วยความผลีผลาม…

แสงอาทิตย์ในรัฐฉินส่องแสงสดใส

ซ่งชูอีแอบต้มสุราอยู่ในหออักษรในที่ว่าการ

นางกำลังใช้สมาธิ ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงเปี่ยมรอยยิ้มของชูหลี่จี๋ “ไม่ต้องซ่อนแล้ว ทั่วทั้งที่ว่าการอบอวลไปด้วยกลิ่นสุราแล้ว”

“ไม่จริงมั้ง” ซ่งชูอีเปิดประตู บ่นพึมพำ “ทั้งๆ ที่ข้าปิดประตูและหน้าต่างสนิทแล้วเชียว”

ชูหลี่จี๋นั่งลงตามสบาย

กลิ่นสุราลอยไปทั่วห้อง ซ่งชูอีปิดประตู ยกจอกสุราที่ว่างเปล่าขึ้นมาแล้วยื่นศีรษะไปดมกลิ่นสุรา ท่าทางเหมือนเกลียดชังที่ไม่สามารถเอาศีรษะใส่เข้าไปในเครื่องสุราได้

“ดูผู้ใหญ่อย่างเจ้าสิ!” ชูหลี่จี๋ตำหนิพลางหัวเราะ

ซ่งชูอีเบะปาก “คนงามในจวนเฝ้าดูทุกย่างก้าว ข้าไม่ได้บ่มสุรามาหลายเดือนแล้ว ช่างกระวนกระวายเหลือเกิน!”

ทันทีที่สุราเริ่มเดือด นางก็อดไม่ไหวที่จะตักด้วยจอกสุราและจิบคำหนึ่ง หรี่ตาพลางพูดด้วยความพออกพอใจ “การนอกใจมันน่าปลาบปลื้มที่สุดแล้ว!”