บทที่ 344 เขาไม่เปลี่ยนเลยสักนิด

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

ชูหลี่จี๋กำลังยกสุราขึ้น ได้ยินเช่นนี้มือก็สั่น

ถ้าคนอื่นไม่รู้ยังนึกว่าพวกเขาปิดประตูทำอะไรกันในห้องเสียอีก! ดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนหัวข้อด้วยสีหน้าเรียบเฉย “หมิ่นฉือทำงานได้แนบเนียนมาก เจ้าสั่งให้สวีจ่างหนิงเปิดโปงเขา แต่ไม่มีหลักฐานเกรงว่าคงไม่สามารถทำอะไรเขาได้กระมัง?”

หลังจากตู้เหิงส่งตู้เจาให้กับองค์ชายซื่อแล้วก็กลับไปที่ต้าเหลียงน้อยมาก ด้วยเหตุนี้เขาจึงติดต่อกับหมิ่นฉือน้อยยิ่ง ไม่มีใครรู้เลยว่าพวกเขารู้จักกัน หมิ่นฉือสืบสกุลตู้อย่างลับๆ ครั้งนี้เขาได้ใช้เบาะแสลับทั้งหมดที่ตู้เหิงวางไว้ เขาทำเพียงแค่จับนกพิราบมาตัวหนึ่งแล้วปล่อยนกพิราบไปตัวหนึ่ง ยากที่จะเหลือหลักฐานใดๆ

เหตุผลที่ซ่งชูอีสามารถคาดเดาได้อย่างแม่นยำ เพราะนางรู้ว่าตู้เหิงกับหมิ่นฉือมีมิตรภาพที่ดีต่อกัน ทั้งยังเข้าใจคนนิสัยอย่างหมิ่นฉือ ถึงกระนั้นนางก็ไม่มีหลักฐาน ทุกอย่างเป็นเพียงการคาดเดาเท่านั้น

“หึ ข้าเคยต้องการฆ่าเขาด้วยกลอุบายเหล่านี้เมื่อไรกัน? ข้าเพียงต้องการให้เขาได้ลิ้มรสถึงความขัดแย้งระหว่างกษัตริย์กับขุนนางต่างหาก” ซ่งชูอีหรี่ตาลง ทำท่าทางราวกับไม่เมาเหล้าแล้วแต่เรายังเมารัก ถอนหายใจเอ่ย “เขาน่ะ ไม่เปลี่ยนไปเลยจริงๆ”

ยังทำทุกวิถีทางเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย!

ซ่งชูอีหัวเราะเย็นชา “เขารู้จักกับตู้เหิงมานานหลายปีขนาดนั้น เมื่อคนตาย เพียงพริบตาเดียวเขาก็ข้ามคนล้ม ราวกับเป็นคนเย็นชาไร้ความรู้สึกไม่ด้อยไปกว่าใครเลยจริงๆ”

ชูหลี่จี๋ยกจอกสุราขึ้น ฟังนางอย่างเงียบๆ โดยไม่ได้ขัดจังหวะ

ซ่งชูอีซดสุราไปอีกคำ “แต่ว่ามีจุดหนึ่งที่เขาไม่เคยเข้าใจว่าการหาหลักฐานไม่ได้ ใช่ว่าจะลงโทษไม่ได้ แต่ว่าจิตใจคนเราน่ะ ครั้นมีความเคลือบแคลงใจก็ไม่มีทางหวนคืนแล้ว แม้เรื่องนี้เขาจะเก็บกวาดอย่างเรียบร้อย ทว่ามีจุดหนึ่งที่ปฏิบัติการได้ไม่ดีนัก…”

“หัวใจกษัตริย์?” ชูหลี่จี๋กล่าว

ซ่งชูอีพยักหน้า

หมิ่นฉือพยายามอย่างหนักลับหลัง ทั้งหมดได้ถูกเตรียมการไว้ล่วงหน้า แต่ว่าเขาเพิ่งจะติดตามเว่ยเฮ่อเท่านั้น หากเทียบกับหรงจวี้แล้ว ปราศจากความรักในการติดตามมาตลอดสิบปี หากเทียบกับกงซุนเหยี่ยนก็ปราศจากชื่อเสียงในใต้หล้า นี่เป็นช่วงเวลาที่ง่ายที่สุดในการใส่ไฟความสัมพันธ์ระหว่างกษัตริย์และขุนนาง…

ยิ่งไปกว่านั้น เขาแอบวางแผนให้เว่ยเฮ่อตั้งกี่เรื่อง เมื่อเว่ยเฮ่อไม่รู้ก็ไม่อาจรู้จักบุญคุณ และเกรงว่าอาจไม่รู้สึกซาบซึ้งด้วยซ้ำ ในทางกลับกันอาจจะเคียดแค้นเสียมากกว่า

ชูหลี่จี๋หัวเราะหึหึ “จำได้ว่าตอนที่ข้าเพิ่งฝากตัวเป็นศิษย์สำนัก คำแรกที่อาจารย์พูดกับข้าก็คือ ‘จงรักษาใจให้สงบ เพื่อความว่างเปล่าสูงสุด’”

การรักษาความว่างเปล่าและความสงบสูงสุดในจิตใจจึงจะสามารถกลับไปสู่ตัวตนที่แท้จริง เมื่ออยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ย่อมมองเห็นทุกอย่างได้อย่างชัดเจน และจะไม่ถูกรบกวนจากปัจจัยต่างๆ ในโลก

“คิดไม่ถึงว่าอาจารย์ท่านยังเข้าใจเต๋าด้วย” นี่เป็นครั้งแรกที่ซ่งชูอีได้ยินเขาพูดถึงอาจารย์

“สิ่งต่างๆ ในโลกมีความซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ในความเป็นจริงแล้ววิธีแห่งเต๋ามีเพียงหนึ่งเดียว” ชูหลี่จี๋เอื้อมมือตบๆ ไหล่ของนาง “เจ้ามีปมซ่อนอยู่ในใจ ข้าไม่ต้องการสืบเสาะ เจ้าเป็นคนที่มีความเข้าใจเสมอมา เวลาที่ควรหวงแหนก็หวงแหน เวลาที่ควรวางเฉยก็วางเฉย ไม่ต้องห่วงคนอื่น”

ซ่งชูอีลูบไล้ขอบจอกสุรา เอ่ยว่า “เข้าใจน่ะข้าเข้าใจเสมอมา เพียงแต่สุดท้ายแล้วก็ยังมีหัวใจเพียงดวงเดียวอยู่ดี”

หัวใจของชูหลี่จี๋หวั่นไหว

เขารู้มาตลอดว่าชะตากรรมของซ่งชูอีนั้นแปลกประหลาดและเขายังคงรักษาจริยธรรมในฐานะนักดูดาวมาโดยตลอด การดูดาวเป็นศาสตร์ที่มองผ่านความลับแห่งสวรรค์ การค้นพบความลับเหล่านั้นล้วนมาจากความกรุณาอันยิ่งยวดจากสวรรค์ ดังนั้นจึงต้องรักษาความเมตตา รักษาคุณธรรมและละเว้นความปรารถนาส่วนตัว เขาจะไม่ไปสืบหาความลับของผู้อื่นเพราะความอยากรู้อยากเห็น อย่างไรก็ดีในฐานะพี่ชายร่วมสาบาน ก็ยังเต็มใจที่จะฟังซ่งชูอีเปิดใจเพื่อคลายความหดหู่ในใจ

ราตรีนอกหน้าต่างเงียบสงัด แสงจันทราสว่างไสวดุจสายน้ำ ทั้งสองคนดื่มสุราอย่างสำราญภายในห้อง

ไม่รู้ว่าน้ำแข็งในฤดูหนาวเริ่มละลายตั้งแต่เมื่อไร แม่น้ำเว่ยในนครเสียนหยางไหลเชี่ยว กาลเวลาที่ผ่านไปก็เหมือนสายน้ำที่ไหลไปอย่างไม่หยุดยั้ง ในพริบตาทุกอย่างก็ฟื้นคืนชีพและมีทิวทัศน์ที่สวยงามของต้นไม้เขียวขจี

สงครามระหว่างฉินและเว่ยตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้กินเวลามาครึ่งปีแล้ว ทั้งสองฝ่ายอยู่ในสถานะกึ่งหยุดชะงัก เริ่มแรกเพราะอยู่ภายใต้ความขัดแย้งในการเจรจาหารือจึงมีการต่อสู้ที่ดุเดือดหลายครั้ง อย่างไรก็ตามเนื่องจากความแตกต่างอันน้อยนิดของกองกำลังทั้งสองฝ่าย ในที่สุดจึงไม่สามารถสร้างผลลัพธ์ได้

ส่วนรัฐฉินได้เริ่มจัดระเบียบดินแดนที่ยึดครองใหม่ เดินหน้าใช้กฎหมายฉินอย่างเต็มที่เพื่อให้ราษฎรเชื่อฟัง

กงซุนเหยี่ยนกำลังมองดูด้วยความร้อนใจยิ่ง กฎหมายรัฐฉินเป็นกฎหมายที่สมบูรณ์แบบที่สุดในเจ็ดมหานครรัฐ แม้ว่ามันจะทำร้ายผลประโยชน์ของผู้มีอำนาจแต่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนรากหญ้ามาก เมื่อดำเนินการในช่วงแรกก็จะมีเสียงคัดค้านเล็กน้อย สุดท้ายแล้วประชาชนรากหญ้ามีจำนวนมากที่สุด ผู้คนก็จะเข้าใจว่ากฎหมายรัฐฉินนำผลประโยชน์ที่จับต้องได้ให้แก่พวกเขา จึงย่อมปกป้องมันด้วยความจริงใจแน่นอน

ส่วนอำนาจที่แท้จริงของรัฐเว่ยกลับกระจุกตัวกันอยู่ในนครต้าเหลียง กล่าวได้ว่ารัฐฉินได้รับการต่อต้านน้อยมากในการดำเนินการตามกฎหมายใหม่ในดินแดนที่ยึดได้

เมื่อราษฎรทั่วไปเข้าใจในกฎหมายใหม่แห่งรัฐฉิน ยอมรับและสนับสนุนมันแล้ว ต่อให้ยึดดินแดนกลับมาได้ก็ยากที่จะได้ใจประชาชนคืนมา!

ด้านกงซุนเหยี่ยนก็ทำสงครามไม่หยุดหย่อน ในแง่หนึ่งก็เขียนรายงานทุกวันแล้วให้ม้าเร็วส่งกลับไปยังนครหลวงโดยหวังว่าจะได้รับคำตอบโดยเร็วที่สุด

ขุนนางในราชสำนักรัฐเว่ยปรึกษากันแล้วก็ไม่ได้ผลสรุปเสียที กงซุนเหยี่ยนรู้สึกว่าไม่อาจรอต่อไปได้แล้วก็รีบนำแผนมาปรับใช้เพื่อยึดดินแดนที่เสียไปกลับคืนมา

หลังจากชะงักงันชั่วคราว สงครามก็ปะทุขึ้นอีกครั้ง

ภายในพระตำหนักพระราชวังเสียนหยาง รัฐฉินเรียกร้องให้เหล่าขุนนางรวมตัวกันเพื่อทำสงคราม

ซ่งชูอีเอ่ยว่า “ฝ่าบาท สงครามครั้งนี้ยืดเยื้อมานานแล้ว กองทัพอยู่ภายนอก ต้องบริโภคเสบียงจำนวนมาก ฤดูกาลเพาะปลูกก็กำลังจะเริ่มขึ้น ที่นาจะไม่มีคนเพาะปลูกไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ”

“ปาสู่อุดมไปด้วยผลิตภัณฑ์ ขอเบิกเสบียงไม่ได้หรือ?” กานเม่าถาม

“ไม่ได้” ชูหลี่จี๋ปฏิเสธทันควัน “ปาสู่ก็เหมือนกับอี้ฉวี เป็นการยากที่ต้าฉินเราจะได้รับการช่วยเหลืออย่างจริงใจภายในระยะเวลาอันสั้น ทำได้เพียงระงับกำลังชั่วคราวเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นประชากรปาสู่มีน้อย โดยเฉพาะรัฐปา ทุกชนเผ่าแทบจะเหลือเพียงแค่ผู้หญิง การฟื้นตัวเชื่องช้า ในช่วงสองปีที่ผ่านมาต้าฉินได้เก็บภาษีเพื่อจัดหากองทหารรักษาการณ์ในท้องที่ หากมีการเก็บภาษีเพิ่มอีกก็จะบีบให้ประชาชนก่อกบฏ”

ซ่งชูอีเอ่ย “กระหม่อมมีความคิดหนึ่ง”

สายตาของทุกคนต่างจับจ้องมาที่นาง อิ๋งซื่อกล่าว “กล่าวมาตามตรงได้เลย”

ซ่งชูอีเอ่ย “กระหม่อมคิดว่าเวลานี้เป็นเวลาที่ดีที่เราจะรวมปาสู่เข้ากับต้าฉิน แผ่นดินรัฐเว่ยนั้น ประชากรหนาแน่น เป็นสิ่งที่เราต้องการพอดีพ่ะย่ะค่ะ!”

ชูหลี่จี๋ดวงตาเป็นประกาย ร้องอุทานว่า “ไม่เลว เราสามารถย้ายทาสและสามัญชนที่นั่นมายังรัฐฉินได้ พื้นที่ทำกินของฉินมีจำกัด เมื่อประชากรหนาแน่นก็จะต้องมีคนจำนวนมากที่ขาดแคลนที่ดิน ไม่สามารถอยู่รอด ถึงเวลาเราจะสนับสนุนให้คนเหล่านี้ไปที่ปาสู่ ช่วยเหลือพวกเขาด้วยวัสดุและแบ่งพวกเขาด้วยที่ดิน”

ชูหลี่จี๋เป็นหัวหน้าขุนนางที่รับผิดชอบกิจการภายใน นี่เป็นหน้าที่ของเขา

“อืม” อิ๋งซื่อก็รู้สึกว่ามันเหมาะสม ตั้งแต่สมัยโบราณสงครามเกิดจากการแย่งชิงที่ดินและประชากร ตอนนี้รัฐฉินมีที่ดิน แต่กลับขาดแคลนประชากร

ทุกคนไม่รู้ว่ากษัตริย์องค์นี้กำลังคิดอย่างไร ริมฝีปากบางของเขางอขึ้นเล็กน้อยจนแทบมองไม่เห็น

นี่เป็นสิ่งที่พบได้ยากนัก!

อิ๋งซื่อครองราชย์มาหลายปี สามารถนับนิ้วได้เลยว่าเคยยิ้มในที่สาธารณะกี่ครั้ง!

ขณะที่ทุกคนกำลังสงสัยก็ได้ยินเขากล่าวว่า “เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องรอให้สงครามสงบค่อยดำเนินการ ส่งกรมเก่าของซางจวินสองสามคนเข้าไปเพื่อดำเนินการตามกฎหมายใหม่อย่างจริงจัง หากมีคนไม่เต็มใจที่จะผ่านด่าน ก็ส่งคนไปรับที่

หวนหยาง ไม่อนุญาตให้เข้าเสียนหยาง”

“รับบัญชา” ชูหลี่จี๋กล่าว

“สู้รบต่อไป! หลายสิบปีก่อนต้าฉินยากจนข้นแค้นถึงขนาดเหล่าทหารไม่มีอาวุธดีๆ อยู่ในมือด้วยซ้ำ ก็สามารถต้านการเคลื่อนไหวของกองทัพเว่ยได้เช่นกันมิใช่หรือ?! บัดนี้กลับบอบบางหรืออย่างไร?!” อิ๋งซื่อลุกออกที่นั่ง “กลับไปเถิด”

“พ่ะย่ะค่ะ”

ทุกคนลุกขึ้นส่งเขาจากไป

ซ่งชูอีลังเลครู่หนึ่ง ก้าวเท้าตามออกไป “ฝ่าบาท!”

บทที่ 345 ตัดสินใจอย่างมีความสุข

อิ๋งซื่อหยุดเดินและมองกลับไป

ซ่งชูอีสะบัดแขนเสื้อคำนับ

“เดินพลางพูดพลาง” อิ๋งซื่อเอ่ย

ซ่งชูอีรับคำแล้วเดินตามหลังเขา เด็กในวังถอยห่างออกไปสองจั้งอย่างรู้หน้าที่

จนกระทั่งเดินไกลออกมาจากพระตำหนักแล้ว ซ่งชูอีเอ่ยถาม “กระหม่อมอยากลองกองทัพใหม่”

“ได้” อิ๋งซื่อตอบง่ายๆ ตามคาด “เจ้าจะไปกำกับด้วยตัวเองก็ได้ เรื่องเสบียงก็ยกให้มหาเสนาบดีฝ่ายขวาจัดการเถิด”

ซ่งชูอีกล่าว “เช่นนั้นภาระหน้าที่ของมหาเสนาบดีฝ่ายขวาไม่หนักเกินไปหรอกหรือ? กระหม่อมเห็นว่าสามารถใช้อิ๋งจื๋อได้”

อิ๋งซื่อครุ่นคิด ซ่งชูอีตามติดเขาและไม่รู้ว่าเลี้ยวมุมตั้งกี่ครั้งก่อนที่จะได้ยินเขากล่าวว่า “ข้าไหว้วานให้อิ๋งจื๋อทำภาระเรื่องอื่น ยกให้มหาเสนาบดีฝ่ายขวา ก็ตัดสินใจอย่างมีความสุขเช่นนี้เถิด”

มี…ความสุข?

ซ่งชูอีไม่เห็นว่ามันจะมีความสุขตรงไหน ชูหลี่จี๋เป็นพี่ชายร่วมสาบานของนาง และก็เป็นน้องชายแท้ๆ ของอิ๋งซื่อเชียวนะ! หรือว่าการรังแกพี่น้องแท้ๆ มีความสุขยิ่งกว่า?

“ช่วงนี้ฝ่าบาทมีเรื่องอะไรน่ายินดีหรือ?” แม้ว่าการแสดงออกของอิ๋งซื่อจะละเอียดอ่อนมาก แต่ซ่งชูอีมักจะรู้สึกได้ว่าระยะหลังนี้เขามีอารมณ์ดีจนน่าประหลาด

“มี” อิ๋งซื่อกล่าว

ดีงั้นรึ! เรื่องแค่นี้จะแบ่งปันหน่อยไม่ได้เชียวหรือ! ซ่งชูอีเหลือบมองท้ายทอยของเขา ใบหน้าผุดรอยยิ้ม “ไม่ทราบว่าสะดวกเปิดเผยหรือไม่ บอกกระหม่อมให้มีความสุขบ้าง”

สิ่งที่ทำให้อิ๋งซื่อมีความสุขได้มีมากเหลือเกิน ตัวอย่างเช่นการคิดแผนการที่จะโค่นล้มรัฐเว่ย หมี่จีตั้งครรภ์ ทางออกที่สามารถแก้ปัญหาการยอมจำนนของปาสู่ได้ การจัดตั้งกองกำลังรักษามณฑลในอี้ฉวีที่เป็นไปด้วยดี หรือแม้แต่การเตรียมการเบื้องต้นสำหรับ “ลูกกำพร้า”…ทว่าเขาคุยเรื่องสัพเพเหระไม่ค่อยเป็น ฉะนั้นจึงไม่รู้ว่าควรจะเริ่มจากเรื่องไหนดี

“เสด็จพ่อกลับมาแล้ว!” เสียงใสของเด็กน้อยขัดจังหวะความอึดอัดชั่วครู่

ซ่งชูอีหันไปตามเสียง เห็นอิ๋งตั้งอยู่ในเสื้อคลุมขนแกะสีขาวราวกับกระต่าย วิ่งเข้ามากอดขาของอิ๋งซื่อ

อิ๋งซื่อไม่ได้กอดเขา กล่าวด้วยความเย็นชาตามปกติ “ไปคำนับอาจารย์”

อิ๋งตั้งเบะปาก เดินไปหาซ่งชูอีอย่างไม่เต็มใจ ประสานมือเอ่ย “ตั้งเอ๋อร์คำนับอาจารย์”

“องค์ชายได้โปรดลุกขึ้น” ซ่งชูอีพยุงเขา

เด็กน้อยขี้หลงขี้ลืม อิ๋งตั้งลืมซ่งชูอีคนนี้ไปเสียแล้ว วันนี้ได้พบกันอีกครั้งก็ราวกับจะคิดถึงนางขึ้นมาจึงยิ้มกว้าง

ซ่งชูอีมองไปรอบๆ พบว่าที่นี่เป็นสะพานโค้ง จึงนั่งยองและถามด้วยความอ่อนโยน “องค์ชายมาที่นี่ได้อย่างไร?”

ตามปกติแล้วคนในวังไม่กล้าหายใจแรงต่อหน้าอิ๋งซื่อเลยด้วยซ้ำ ในที่สุดอิ๋งตั้งก็ได้พบกับคนที่ดูเหมือนว่าจะสามารถพูดคุยต่อหน้าพ่อของเขาได้แล้ว บ่นด้วยความน้อยอกน้อยใจทันที “อาจารย์ เมื่อวานเสด็จพ่อโบยตั้งเอ๋อร์”

ซ่งชูอีเหลือบมองอิ๋งซื่อที่สีหน้าไม่ใคร่สู้ดีนักด้วยหางตา อดหัวเราะมิได้ “งั้นรึ? เพราะเหตุใด?”

“เพราะว่าตั้งเอ๋อร์ไปพบเสด็จแม่ เสด็จพ่อไม่อนุญาต” อิ๋งตั้งตอบด้วยความจริงจัง “แต่ว่าตอนนี้ข้าไม่ได้เจอเสด็จแม่นานแล้ว”

“ตั้งเอ๋อร์” อิ๋งซื่ออุ้มเขาขึ้นมา “เสด็จแม่ของเจ้าทำผิด ฉะนั้นจะต้องถูกกักบริเวณสำนึกผิด รอพ้นช่วงนี้ไปค่อยพาเจ้าไปหานาง”

“ฝ่าบาท เด็กน้อยทำผิดใด?” ซ่งชูอีลุกขึ้นยืน มองดูใบหน้ากลมๆ ของอิ๋งตั้ง “ความผิดของหวังโฮ่วก็ผิดที่สถานะชาติกำเนิด ชั่วชีวิตนี้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ในอนาคตองค์ชายตั้งไม่อาจรับการสั่งสอนจากหวังโฮ่ว สู้อาศัยตอนนี้ที่เขายังเด็กอยู่กับมารดาตามความเหมาะสมก็ไม่ส่งผลร้ายแรงอะไร มันไม่ใช่ทางออกที่จะปล่อยให้พระราชวังวุ่นวายเพียงนี้”

อิ๋งซื่อทำงานอย่างหนัก เวลาที่สามารถอยู่กับลูกได้มีน้อยมาก ซ่งชูอีแค่คิดก็รู้แล้วว่าตามปกติอิ๋งตั้งจะถูกคนในวังเลี้ยง

“อืม” อิ๋งซื่อยื่นมือบีบๆ ใบหน้าน้อยๆ ของลูกแล้วส่งเขาให้แม่นม “พาเขาไปพบหวังโฮ่วเถิด”

อิ๋งตั้งฟังไม่เข้าใจว่าซ่งชูอีหมายความว่าอะไร ทว่าเมื่อได้ยินว่าจะได้พบกับเสด็จแม่ รอยยิ้มบนใบหน้าน้อยๆ ก็เบ่งบานราวกับดอกไม้ รบเร้าให้แม่นมรีบพาเขาไปทันที

ซ่งชูอีเงยหน้าขึ้นก็เห็นอิ๋งซื่อมองไปยังเงาเล็กๆ ของอิ๋งตั้ง การแสดงออกที่เย็นชาอยู่เสมอเผยให้เห็นความนุ่มนวลเล็กน้อย

บางทีอาจเป็นเพราะมันยากเหลือเกินที่จะเห็นความอ่อนโยนในตัวเขา จึงทำให้ละสายตาไม่ได้

อิ๋งซื่อหันกลับมา ซ่งชูอีหลุบตาลง “เสร็จธุระแล้ว กระหม่อมขอตัว”

อิ๋งซื่อกล่าว “ยังมีอีกเรื่อง ไป…หอคอยเถิด”

อิ๋งซื่อมีพรสวรรค์และวิสัยทัศน์ในกิจการทหารที่คนธรรมดาไม่สามารถบรรลุได้ ซ่งชูอีต้องการที่จะฟังความเห็นของเขาอย่างมาก ดังนั้นจึงพยักหน้า “พ่ะย่ะค่ะ”

ทั้งสองเดินตามกันไปตามเส้นทางที่คดเคี้ยว แสงพระอาทิตย์ตกทอประกายราวกับผ้าแพร คนหนึ่งรูปร่างกำยำสูงใหญ่ คนหนึ่งรูปร่างเพรียวบาง

เงียบงันตลอดทาง

เมื่อมาถึงหอคอย ต่างคนก็ต่างนั่งลง อิ่งซื่อเอ่ยขึ้น “กว่าเหรินมีแผนหนึ่ง อยากได้ยินความเห็นจากกั๋วเว่ย”

“ฝ่าบาทเชิญกล่าว” ซ่งชูอีเอ่ย

อิ๋งซื่อเอ่ย “กว่าเหรินต้องการยกราษฎรเว่ยและดินแดนเว่ยให้กับหาน”

ซ่งชูอีครุ่นคิดครู่หนึ่ง หัวใจก็พลันสดใสขึ้นมาทันที เอ่ยอย่างไร้กังวล “ฝ่าบาททรงพระปรีชา!”

อิ๋งซื่อยกถ้วยชาขึ้นมาจิบคำหนึ่ง ได้ยินเช่นนี้ก็รู้ว่านางเข้าใจความหมายของตนแล้ว

รัฐฉินเพิ่งจะกู้อี้ฉวีทางทิศเหนือคืนมาได้ ทางทิศใต้ก็เพิ่งยึดปาสู่มา สถานที่ทั้งสองนี้มีความสำคัญมากในแง่ของจุดยุทธศาสตร์ แต่มันไม่ใช่เรื่องหมูๆ เลยและต้องใช้เวลาพอสมควรในการรวมเข้ากับฉินอย่างแท้จริง ในเวลานี้ดินแดนของรัฐฉินมีขนาดใหญ่มากแต่ประชากรเบาบางเกินไป ราษฎรปาสู่และอี้ฉวีมิได้มีน้ำหนึ่งใจเดียวกันกับต้าฉิน ไม่เอื้อต่อการพัฒนาอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้กำลังในการจัดการยังไม่เพียงพออีกด้วย หากเพียงเพราะความโลภชั่ววูบและจัดการได้ไม่ดี ในอนาคตฉินจะกลายเป็นหมูอ้วนที่ไม่สามารถขยับตัวได้ ทำได้แต่ปล่อยให้ผู้อื่นฆ่าเท่านั้น

ดังนั้นอิ๋งซื่อจึงวางแผนที่จะใช้โอกาสนี้ย้ายชาวเว่ยจากดินแดนนั้นไปยังรัฐฉินทั้งหมด เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการผนวกเข้ากับปาสู่ ทั้งยังไม่คิดที่จะส่งดินแดนที่เหลือกลับไปยังรัฐฉินแต่จะส่งไปยังรัฐหานแทน และแก้ไขพันธสัญญาระหว่างรัฐที่จะไม่ละเมิดซึ่งกันและกันภายในระยะเวลาสิบปี

ด้วยวิธีนี้รัฐหานก็จะได้ดินแดนมาเพื่อขยายพื้นที่ของรัฐ การเก็บเกี่ยวข้าวในแต่ละปีจะเพิ่มขึ้นและเมล็ดข้าวจะเพียงพอ แต่กองกำลังแห่งรัฐจะไม่เติบโตอย่างรวดเร็วจนเกินไป หลังจากรัฐเว่ยผ่านสงครามครั้งนี้แล้วก็จะไม่มีกำลังที่จะทำสงครามได้อีกระยะหนึ่ง ทว่าเมื่อสถานการณ์ชะลอตัวแล้วพวกเขาจะต้องกู้คืนดินแดนที่หายไปอย่างแน่นอน ด้วยเหตุนี้ก็จะปล่อยให้หานและเว่ยสู้จนตายกันไปข้างหนึ่ง ควบคุมการพัฒนากำลังรัฐของพวกเขา จนกระทั่งรัฐฉินกลืนกินอี้ฉวีและปาสู่อย่างสมบูรณ์แล้วค่อยหันกลับไปจัดการพวกเขา

“สายตาฝ่าบาทกว้างไกลยิ่งนัก กระหม่อมเลื่อมใส” ครั้งนี้ซ่งชูอีประจบประแจงด้วยความจริงใจ

ในยุคสมัยชุนชิวรัฐเล็กๆ ทั้งหมดต่างถูกผนวกเข้าด้วยกัน บัดนี้เจ็ดมหานครรัฐแยกตัวโดดเดี่ยว เป็นเรื่องยากมากที่จะยึดครองแผ่นดินทุกตารางนิ้ว มันคือ “หนึ่งแม่น้ำและภูเขามีค่าเท่ากับเลือดหนึ่งตารางนิ้ว” อย่างแท้จริง ใครบ้างที่จะยอมยกดินแดนที่อยู่ในมือไปให้คนอื่นเล่า?

ได้อย่างก็ต้องเสียอย่าง กษัตริย์ทุกพระองค์เข้าใจความจริงที่เรียบง่ายนี้ แต่คนเดียวที่สามารถปล่อยวางได้จริงๆ เกรงว่าจะมีเพียงอิ๋งซื่อเท่านั้น

อิ๋งซื่อยอมรับคำชมของนางอย่างใจเย็น “เกรงว่ารัฐหานก็มีความกังวลที่จะรับดินแดนผืนนี้เช่นกัน”

“ถูกต้อง” ซ่งชูอีเข้าใจเหตุผลว่าทำไมเขาถึงพูดแบบนี้กับนาง “ฝ่าบาทโปรดวางใจ กระหม่อมจะถ่ายทอดเรื่องดังกล่าวให้กับท่านมหาเนาบดีฝ่ายซ้ายอย่างละเอียด”

เรื่องพันธมิตรระหว่างฉินและหานจะต้องเป็นจางอี๋ถึงจะเอาอยู่

อิ๋งซื่อพยักหน้า จากนั้นก็เอ่ยว่า “เรื่องลองฝึกกองทัพใหม่ เจ้ามีความเห็นเยี่ยงไร?”