“ไม่อยู่หรือขอรับ?”

นักบวชที่ยื่นอยู่ด้านหลังคาร์ลมองประตูที่ไร้เสียงตอบพลางกล่าว

“เป็นไปไม่ได้ ท่านนัดไว้ว่าให้มาพบที่นี่”

พูดจบ คาร์ลก็จงใจทุบขาข้างที่ไม่ค่อยดี ก่อนจะพูดต่อไป

“ข้าขอพบอยู่หลายครั้งกว่าท่านนักบุญจะอนุญาต ไม่มีทางที่ข้าจะจำสถานที่และเวลาผิดแน่นอน”

เหล่านักบวชมองคาร์ลด้วยสายตาที่แฝงไปด้วยความเห็นใจ

ก่อนที่คาร์ลจะจากไป นักบุญหญิงหลบเลี่ยงและเกลียดชังเขาจนน่าประหลาด ทันทีที่นึกถึงนักบุญหญิงที่ประพฤติกับคาร์ลอย่างโหดเหี้ยมจนพวกเขาถึงกับเกิดความสงสัยว่าต้องทำถึงขนาดนั้นเลยหรือ ใบหน้าของเหล่านักบวชก็ปรากฏความสงสัยขึ้น สงสัยว่าหรือนักบุญหญิงจงใจไม่มาที่นี่

“คือว่า…แต่เมื่อครู่ก่อนข้าเหมือนจะได้ยินเสียงอะไรบางอย่างนะ”

ในระหว่างที่คนที่รวมอยู่หน้าประตูกำลังส่งเสียงเอะอะโวยวาย นักบวชคนหนึ่งที่ออกมาจากห้องรับรองด้านข้างก็พูดขึ้นอย่างระมัดระวัง

“ข้าเองก็ได้ยินเช่นกัน เสียงที่คล้ายกับเสียงลากเก้าอี้…เอ่อ…แล้วก็เหมือนจะได้ยินเสียงหายใจด้วย…”

คำพูดของนักบวชที่พูดด้วยน้ำเสียงที่เบาลงเรื่อยๆ ราวกับบ่นพึมพำทำให้นักบวชหลายคนนิ่วหน้า

“คงไม่ใช่ว่า….”

“ไม่สิ แต่มิใช่ว่าท่านสงบเงียบไปช่วงหนึ่งแล้วหรือ อีกทั้งข้ายังไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าท่านทำนอกที่พักตัวเองด้วย”

คาร์ลหันไปเอ่ยถามเหล่านักบวชที่เริ่มคุยกันราวกับตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง ด้วยสีหน้าไม่รู้อะไรเลย

“สงบเงียบไปช่วงหนึ่ง? นั่นหมายความว่าอย่างไรหรือ?”

“เอ่อ นั่น…เป็นเรื่องที่ท่านนักบวชคาร์ลไม่จำเป็นต้องทราบก็ได้”

เหล่านักบวชตอบกลับไปเช่นนั้น ก่อนจะรีบจากไปอย่างรวดเร็วราวกับกลัวคาร์ลจะเอ่ยถามอะไรเพิ่ม คาร์ลหมุนตัวกลับมาจับที่จับประตู ใบหน้าของเขาพลันมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นโดยมิมีใครเห็น ดูเหมือนเรื่องราวจะเป็นไปตามที่เขาต้องการ

‘จะเป็นอย่างไรกันนะ?’

นักบุญหญิงอยู่ด้านในนี้ด้วยกันกับราธบันและเลออน คงทำกับราธบัน หรืออาจจะทำกับเลออน หรือหากไม่ใช่แบบนั้น อาจจะทำด้วยกันสามคน

ภาพฉากต่างๆ ที่นักบวชไม่สมควรคิดแม้แต่ในฝันแวบผ่านในหัวของเขาไป มันเป็นจินตนาการที่ไม่ได้ทำให้คาร์ลรู้สึกดีอะไรเป็นพิเศษ บางทีอาจเป็นเพราะเขาเคยลองทำมันมาทั้งหมดแล้ว

อีเบลลีน่าหวาดกลัวการถูกใครพบเห็นขณะที่ตนกำลังมีสัมพันธ์อย่างถึงที่สุด นั่นเลยทำให้เขาสามารถทำเรื่องสนุกสนานมากมาย ภาพที่บุคคลผู้ได้รับความรักจากพระเจ้ามากที่สุดกำลังตัวสั่นอยู่ใต้โต๊ะหนังสือของเขาเป็นทิวทัศน์ที่น่าเสียดายมากที่เขาได้เห็นคนเดียว

คาร์ลย้อนนึกถึงเหตุการณ์สมัยก่อนพลางออกแรงจับที่จับประตู ถึงจะแสร้งทำเป็นเหมือนไม่อยู่ด้านในมันก็ไร้ประโยชน์ อีกทั้งที่นี่ยังเป็นอยู่สูงมาก เป็นสถานที่ซึ่งไม่อาจหนีไปทางหน้าต่างได้

คาร์ลออกแรงเปิดประตู ประตูไม้บานใหญ่และหรูหราส่งเสียงหนักขณะเปิดออก

จะเป็นราธบันหรือจะเป็นเลออน ฝั่งไหนก็ไม่สำคัญ สิ่งที่เขาต้องการคือแค่เพียงหนึ่งคนที่โหมกระหน่ำอยู่ข้างนักบุญหญิงและทำให้ชื่อเสียงอันดีของนักบุญหญิงจมดิ่งลงสู่ก้นบึ้ง แบบนั้นแล้วนางจึงจะได้กลับมาพึ่งพิงตนแบบเมื่อก่อนอีกครั้ง

ตอนนั้นเอง เขาสัมผัสถึงพลังงานแปลกประหลาดจากด้านใน พลังที่มีบางอย่างต่างกันอยู่ช่วงเวลาสั้นๆ เขาเคยสัมผัสได้ถึงสิ่งที่คล้ายคลึงกับพลังนี้เมื่อไม่นานมานี้ นั่นคือพลังเวทที่แผ่ขยายไปทั่วทั้งวิหารหลวงในวันที่ต้องเลื่อนการประชุมคัดเลือกผู้อาวุโสออกไป

 “ขออภัยที่เข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาตขอรับ เขาบอกว่าได้ยินเสียง…”

ใบหน้าของคาร์ลที่เข้ามาอย่างรีบเร่งพลันเคร่งเครียดขึ้น

เลออนนั่งอยู่ในห้องรับรอง เขาที่สวมเครื่องแต่งกายไม่เรียบร้อยมองคาร์ล ก่อนจะยิ้มทักทายด้วยใบหน้ายินดี

“อา นักบวชคาร์ล กำลังรออยู่เลย”

ใบหน้ามีรอยยิ้มแต่น้ำเสียงกลับเย็นยะเยือก คาร์ลรีบพิจารณาดูในห้องอย่างรวดเร็ว ห้องไม่มีที่ให้แอบซ่อน แต่เขากลับไม่เห็นนักบุญหญิงและราธบันที่ไหนเลย มีเพียงผ้าม่านที่กำลังพัดปลิวเพราะลมจากหน้าต่างที่เปิดอยู่เท่านั้น

******

ติ๋ง ติ๋ง

ฉันได้ยินเสียงอะไรบางอย่างกำลังตก สติค่อยๆ กลับมาอย่างเชื่องช้าเพราะเสียงนั่น

‘อุ่นจัง’

ความอบอุ่นที่ชวนให้รู้สึกดีกำลังห่อหุ้มร่างกาย ความเหนื่อยล้านั้นทำให้ฉันเกิดความรู้สึกอยากหลับไปอีกครั้งแม้จะได้สติกลับมาแล้ว

‘หลับไปเหรอ? ตอนนี้กี่โมงแล้ว?’

สมองยังคงไม่แจ่มใส ตอนนั้นเองจู่ๆ ก็มีภาพบางอย่างแวบผ่านในหัวไป ภาพของราธบันและเลออนที่มองฉัน ใบหน้าที่บิดเบี้ยวของทั้งสอง

“เฮือก!”

ขณะที่เบิกตาโพลงด้วยความตกใจ เสียงซ่าของน้ำก็ดังขึ้น

“ที่นี่…”

เมื่อลืมตาขึ้น ฉันถึงได้รู้ว่าตัวเองอยู่ในน้ำ พูดให้ชัดคือในอ่างอาบน้ำ ไม่ใช่ในที่พักของฉัน แม้ไม่ใช่สถานที่ที่คุ้นเคยแต่ก็ไม่ใช่สถานที่ที่ไม่รู้จัก พื้นที่เรียบง่ายที่ไม่มีแม้แต่ของตกแต่งสักชิ้น สถานที่ที่มีเพียงสิ่งของไม่กี่ชิ้นวางอยู่อย่างเรียบร้อย

ที่นี่คือบ้านพักของราธบันเป็นแน่

“แล้วฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง…?”

พอตระหนักได้ว่าตนเองอยู่ในสถานที่ที่ไม่คาดคิด ฉันก็ลุกพรวดขึ้นด้วยความตกใจ ทว่าอาการวิงเวียนที่ซัดโถมเข้ามาทำให้ทรุดลงไปนั่งอีกครั้ง น้ำในอ่างกระแทกกันอย่างแรงจนเกิดเสียงซู่ซ่า

“อื้อ…”

เบื้องหน้าดำมืดขึ้นมาฉับพลัน คงเป็นเพราะฉันลุกขึ้นอย่างกะทันหันหลังจากนอนในน้ำอุ่น ฉันยื่นแขนออกไปจับขอบอ่างอย่างสุดความสามารถก่อนจะค่อยๆ หายใจ ทันใดนั้น สติก็กลับมาทีละเล็กทีละน้อยอีกครั้ง

‘ตอนสุดท้าย เห็นได้ชัดว่า…’

ฉันพิจารณาความทรงจำสุดท้าย ฉันตกอยู่ในความใคร่และเลออนก็เป็นคนโอบกอดฉันไว้ในห้องรับรอง ฉันนึกย้อนถึงสัมผัสของเขาที่เข้ามาอัดแน่นอยู่ในตัวฉันและสีหน้าที่บิดเบี้ยวของราธบัน รวมถึงเรื่องที่ฉันกล่าวขอโทษไปโดยไม่รู้ตัวเพราะเห็นสีหน้าแบบนั้นด้วย แต่ว่าความทรงจำจบลงตรงนั้น

‘เรื่องมันเป็นยังไงกันแน่?’

ห้องรับรองนั้นเป็นสถานที่ซึ่งอยู่บนชั้นที่สูงมาก ดังนั้นจึงไม่อาจกระโดดลงมาง่ายๆ อีกทั้งต่อให้ราธบันเป็นคนกอดฉันแล้วกระโดดลงมา มันก็เป็นไปได้ยาก และเขาไม่มีทางใช้วิธีที่ไม่รอบคอบแบบนั้นเพื่อหลบหลีกเหล่านักบวชที่อยู่ด้านนอกแน่ เพราะนั่นจะยิ่งดึงดูดสายตา

‘หรือว่า…’

หรือว่าเขาอาจจะเดินออกมายังทางเดินที่มีเหล่านักบวชเลย เลือดพลันแข็งตัวทันทีที่คิดแบบนั้น ฉันรู้สึกหนาวสะท้านทั้งที่อยู่ในน้ำอุ่น คนอื่นเห็นสภาพแบบนั้นของฉันเหรอ? สภาพที่ตกอยู่ในความใคร่จนตัวสั่น และไม่หลงเหลือสติสัมปชัญญะน่ะเหรอ?

ความอับอายที่ไม่อาจทานทนโหมเข้ามา ขากรรไกรสั่นกระแทกกันโดยอัตโนมัติ ฉันคิดอะไรไม่ออกทั้งสิ้น

‘ไม่หรอก เป็นไปไม่ได้’

สติที่ค่อยๆ แตกซ่านกลับมาสงบอีกครั้งขณะที่นึกถึงราธบันและเลออน ทั้งสองคือคนที่สบถและกัดฟันขณะที่ฉันเริ่มเกิดความใคร่ ฉันยังจำได้ว่าทั้งสองพยายามอย่างมากเพื่อไม่ให้ฉันถูกจับได้จากคนด้านนอก

‘หรือพาฉันมาที่นี่หลังจากที่เหล่านักบวชจากไปแล้ว?’

คิดได้ถึงตรงนั้น ฉันก็ยกมือขึ้นมาบนขาเพราะรู้สึกถึงความปวดแสบปวดร้อน ฉันลูบแผลที่เกิดจากเล็บด้านข้างรอย ฉันขยับมืออีกหน่อยแล้วสำรวจร่างกายทุกซอกทุกมุม ความเจ็บแสบที่สัมผัสได้จากระหว่างขากำลังพิสูจน์ว่าฉันได้มีสัมพันธ์กับเลออน

“อา…”

ฉันเผลอถอดถอนใจออกมาเมื่อนึกถึงสถานการณ์ในตอนนั้น แม้ไม่รู้ว่าหลบสายตาของเหล่านักบวชได้ไหม แต่หลบสายตาของราธบันไม่ได้แน่นอน การกระทำของเลออนที่หมุนเก้าอี้ยาวมาปิดให้ทั้งที่อยู่ในสถานการณ์ที่น่าตระหนกทำให้ฉันรู้สึกขอบคุณเป็นครั้งแรก

ต้องขอบคุณพนักพิงเก้าอี้ที่ทำให้ฉันมองไม่เห็นอะไรเลย กริ๊ก เสียงเปิดประตูดังขึ้นขณะที่กำลังหายใจด้วยความสบายใจ ฉันหันศีรษะกลับไปเมื่อได้ยิน ราธบันสวมชุดลำลองยืนอยู่ตรงนั้น เขามองฉัน จากนั้นก็ก้มศีรษะลง

“ราธบัน? เรื่องมันเป็นอย่างไร? ทำไมข้าถึงมาอยู่ที่นี่”

ราธบันตอบโดยที่ไม่ได้มองฉันแล้ว

“ไว้ท่านออกมาก่อนข้าจึงจะบอกขอรับ เอาเป็นว่าเดี๋ยวจะไปนำผ้าขนหนูและเสื้อมา…”

“ออกมาจากที่นั่นได้อย่างไรหรือ? คงไม่ใช่ว่าออกมาทั้งที่มีคนอยู่…!”

ขณะที่พูดถึงตรงนั้นและจับขอบอ่างเพื่อที่จะลุกขึ้น ฉันก็เกิดอาการวิงเวียนขึ้นมาอีกครั้ง แม้จะออกแรงยื่นมือออกไปอีกครั้ง แต่สุดท้ายคราวนี้ก็ลื่นล้ม ตู้ม ร่างกายจมดิ่งลงไปใต้น้ำ

“ท่านนักบุญหญิง!”

เสียงตะโกนอู้อี้ของราธบันดังขึ้นอีกฟากหนึ่งของน้ำ ไม่ช้า มือใหญ่ก็ดึงฉันที่จมอยู่ใต้น้ำขึ้นมา

“แค่ก! แค่ก!”

ฉันไอไม่หยุดเพราะกลืนน้ำเข้าไป ราธบันตบหลังให้ฉันก่อนจะหยุดชะงัก เขาหันไปด้านข้างด้วยใบหน้าแดงก่ำ ก่อนจะกล่าวขึ้น

“ขออภัยขอรับ คงต้องเสียมารยาทสักครู่”

ราธบันอุ้มฉันขึ้น

“ด เดี๋ยวก่อน! ราธบัน!”

ฉันขึ้นเสียงสูงโดยที่ลืมไปแล้วว่าปวดหัวอยู่ เบื้องหน้ารู้สึกเหมือนกำลังหมุนติ้วแต่ตอนนี้นั่นไม่สำคัญ เส้นผมและทั่วทั้งร่างกำลังเปียกชุ่มเพราะร่างกายถูกแช่อยู่ในน้ำ เสื้อของราธบันที่อุ้มฉันอยู่เองก็เริ่มเปียกชุ่มไปเช่นกัน อีกทั้งความจริงที่ว่าตอนนี้ฉันกำลังถูกเขากอดด้วยสภาพตัวเปล่าทำให้ภายในหัวที่ยุ่งเหยิงกลับยิ่งวิงเวียนกว่าเดิม

“ข้าไม่เป็น แค่ก!”

น้ำเสียงที่ฉันฟังแล้วก็ยังรู้สึกว่าไม่โอเคเลยสักนิด ราธบันยังคงกอดฉันที่ส่งเสียงไอและมุ่งไปที่ไหนสักแห่ง ทันทีที่เปิดประตู ฉันก็ตระหนักได้ว่าที่นั่นคือสถานที่ที่อยู่ในความทรงจำของฉัน เตียงนอนกว้างที่ไม่มีของตกแต่งใดๆ ห้องนอนของราธบันนั่นเอง เขาหันศีรษะกลับมาและวางฉันลงบนเตียงโดยที่ไม่มอง จากนั้นก็ถอยหลังกลับไปทันที

“ข้าจะนำผ้าขนหนูและเสื้อผ้ามาให้ท่าน”

ราธบันออกจากห้องไปทันที หยดน้ำที่ร่วงติ๋งๆ จากร่างของฉันที่ยังคงเปียกทำให้ผ้าปูเตียงเปียกชื้น ฉันเก็บความรู้สึกผิดในใจไว้ ก่อนจะใช้มือที่สั่นดึงผ้าปูเตียงผืนบางขึ้นมาคลุมตัว

หัวใจเต้นระรัว ใบหน้าร้อนผะผ่าว ความรู้สึกผิดผสมปนเปกับความอับอายจนไม่รู้ต้องทำอย่างไร ไม่นานราธบันก็กลับเข้ามา เขาแง้มประตูออกเล็กน้อย ก่อนจะใช้มือยื่นผ้าขนหนูและเสื้อเข้ามาด้านในแล้วกล่าว

“วางไว้ตรงนี้นะขอรับ เช่นนั้นเชิญท่านพักตามสบาย”

“เดี๋ยวก่อน ราธบัน ช่วยอธิบาย…อึก!”

ฉันรีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็วเพราะเห็นเขากำลังจะปิดประตู ทว่าเพราะร่างติดอยู่กับผ้าปูเตียงจึงทำให้ล้มลงไปด้านหน้าทั้งอย่างนั้น ร่างกายของฉันกลิ้งลงไปบนพื้นไม้จนเกิดเสียงกระแทก น้ำตาคลอเพราะความรู้สึกเจ็บที่เกิดขึ้นจากหัวเข่าและทั่วร่าง

ต้องลุกขึ้น

ทั้งที่คิดแบบนั้น แต่ร่างกายกลับไม่ขยับตามใจคิด ผ้าปูเตียงที่คลุมร่างฉันอยู่สกัดกั้นการเคลื่อนไหวของฉันไว้ราวกับโซ่ในทุกครั้งที่พยายามจะลุกขึ้น ขณะที่กำลังพยายามตะเกียกตะกายลุกขึ้น ก็พลันเกิดคำถามแวบเข้ามา

ทำไมถึงต้องลุกด้วย

จู่ๆ ทุกอย่างก็ว่างเปล่า ทำไมฉันต้องพยายามที่จะลุกขึ้นด้วย ลุกขึ้นมาแล้วจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไหม? ลุกขึ้นมาแล้วจะทำอะไร? สิ่งที่ฉันทำมันมีความหายหรือเปล่า?

ร่างกายที่ดิ้นไปมาหยุดการเคลื่อนไหวลง การไม่ขยับคงจะดีเสียกว่า ต่อให้พยายามทำอะไรไปสุดท้ายก็ออกมาเละเทะอยู่ดี สุดท้ายแล้วก็จะมีใครบางคนทำให้มันไหลไปตามทิศทางที่ฉันไม่ต้องการ ต่อให้ฉันพยายามดิ้นรนเพื่อหลีกเลี่ยงโชคชะตาที่ถูกกำหนดไว้ แต่หากมันไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เช่นนั้นการไม่ทำอะไรเลยจะดีกว่าไหม

‘อยากตาย’

ฉันคิดถึงความตายขึ้นมาเป็นครั้งแรกหลังจากลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ความตายที่ไม่เคยกล้าแม้แต่จะหวนนึกถึงมาโดยตลอด มีหลายช่วงเวลาที่ฉันต้องเป็นทุกข์อยู่บ่อยครั้งระหว่างที่ใช้ชีวิตอยู่ในร่างของอีเบลลีน่าและในฐานะของอีเบลลีน่า

ตอนที่ได้ยินคำพูดซึ่งต่างจากเมื่อก่อน ฉันก็จะหวาดกลัวว่าตนจะถูกจับได้ว่าไม่ใช่อีเบลลีน่า และในทุกครั้งที่เห็นเรื่องราวที่แตกต่างจากเนื้อหาในหนังสือ ฉันก็จะหวาดกลัวในสิ่งที่ต้องพบเจอในอนาคต

ทว่าความหวาดกลัวเหล่านั้น เป็นไม่ได้แม้แต่เศษเสี้ยวของอารมณ์เล็กๆ น้อยๆ เมื่ออยู่ต่อหน้าความตาย เพราะฉันจดจำความรู้สึกหวาดกลัวในตอนตายได้จึงไม่อยากกลืนกินสิ่งนั้นเป็นครั้งที่สอง แต่ฉันรู้ดีว่าตราบใดที่เป็นสิ่งมีชีวิตก็ต้องเผชิญหน้ากับมันอีกครั้งสักวัน

แต่ไม่ใช่ตอนนี้

ฉันนึกถึงสิ่งที่ต้องเจออีกครั้งหากยังมีชีวิตอยู่ การมีรอยพวกนี้จะทำให้ฉันสูญเสียสติสัมปชัญญะในสักวันหนึ่งอีกครั้ง จากนั้นก็ไปเกาะติดคนอื่นและร้องขอด้วยสภาพที่ไม่อยากแสดงให้เห็นมากที่สุด

จะต้องใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ไปแบบนั้นเหรอ ชั่วขณะที่คิดแบบนั้นได้ ฉันก็จับผ้าปูเตียงไว้จนแน่นโดยไม่รู้ตัว

“ไม่เอา…”

เพียงแค่พบเจอหนึ่งครั้ง ฉันก็รู้แล้วว่าก้นบึ่งของความทุกข์เป็นอย่างไร แค่คิดว่าต้องเจอเรื่องแบบนั้นอีกเป็นครั้งที่สอง ครั้งที่สาม ไม่สิ แค่คิดว่าในอนาคตต้องเจออยู่เรื่อยๆ มือก็สั่นขึ้นมา

‘ฉันอยากตาย’

ชั่วขณะความตายลอยเข้ามาอีกครั้ง ฉันก็หวนนึกถึงความทรงจำที่ได้เห็นในจิตสำนึกของอีเบลลีน่า

“ทำไมถึงยังไม่ตายอีก?”

หลังจากพูดแบบนั้น อีเบลลีน่าก็ถือเศษแจกันแตกขึ้นมา

ฉันนึกถึงเรื่องเกี่ยวกับนักบุญหญิงด้วยเช่นกัน นักบุญหญิงตายไม่ได้ และฆ่าใครไม่ได้เช่นกัน ดังนั้นฉันจึงตายไม่ได้ เพราะตอนนี้ฉันคืออีเบลลีน่า คือนักบุญหญิงผู้ที่ไม่ได้รับการยอมรับและการยกย่องจากใคร

ฉันไม่อาจยกหน้าขึ้นมาได้จึงฝังหน้ากับพื้นอยู่แบบนั้น กลิ่นไม้เก่าและหยาบล้นทะลักอยู่ใต้ฝ้าปูเตียงที่ส่งเสียงกรอบแกรบ

‘หายไปแบบนี้ได้เลยก็คงดี’

ฉันอยากกลายเป็นฝุ่นไปเลย จะได้ไม่ต้องคิดอะไร ไม่ต้องทำอะไร มันจะดีแค่ไหนกันหากสามารถเป็นอิสระจากงานต่างๆ ได้ เหนื่อยจัง ฉันอยากล้มเลิกทุกอย่าง

ตอนนี้ฉันอยากยอมแพ้ทุกอย่างแล้ว

อย่างไรโลกทุกคนในโลกที่ฉันเคยอยู่ก็หลงลืมฉันไปหมดแล้ว นอกจากพ่อกับแม่ที่มาหาเป็นบางครั้งและหมอกับพยาบาลที่อ่านชาร์ตซึ่งมีชื่อของฉันเขียนอยู่ราวกับเครื่องจักร บนโลกใบนั้นก็ไม่มีใครจดจำว่ามีฉันอยู่อีก

ที่นี่ก็คงเหมือนกัน แม้จะมีคนจดจำอีเบลลีน่าผู้เป็นนักบุญหญิงมากมาย แต่วันหนึ่งก็ไม่มีใครรู้จักฉันผู้เริ่มใช้ชีวิตเป็นอีเบลลีน่าเลย

เพราะฉะนั้นฉันก็คงสามารถหายไปจากโลกนี้ได้โดยที่ไม่ทิ้งร่องรอยอะไรไว้เหมือนกับฝุ่น

ในตอนนี้คิดแบบนั้น ซอกหนึ่งในหัวฉันก็คิดถึงเรื่องที่ต้องทำ ฉันควรรีบลุกขึ้นมาใส่เสื้อแล้วออกไปจากที่นี่ ต้องรีบกลับไปยังที่พักของฉัน ราธบันจะได้ไม่รำคาญ ฉันไม่อยากสร้างความลำบากใจให้เขา ฉันกลัวว่าจะได้เป็นเพียงคนที่ทำให้รำคาญใจในความทรงจำของเขาเมื่อฉันหายไป

ฉันควรจะลุกขึ้นแต่น้ำตากลับไหลไม่หยุด เร็วสิ เร็วหน่อย รีบไปเปลี่ยนชุด…

“…!”

ตอนนั้นเอง จู่ๆ ร่างกายฉันก็ยกขึ้น ฉันเงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจ ใบหน้าที่เคร่งเครียดของราธบันปรากฏเข้ามาในสายตาที่พร่ามัวเพราะน้ำตา เขายังคงหันหน้าหนีจากหัน การที่เขาทำแบบนั้นยิ่งทำให้น้ำตาไหลออกมาหนักกว่าเดิม

ถ้าไม่อยากมองขนาดนั้นแล้วจะอุ้มขึ้นมาทำไม

“ปล่อยข้าลง”

บางทีคงเพราะเสียงร้องไห้ฟังดูคล้ายกำลังพึมพำ ราธบันถึงได้ยืนอยู่เฉยๆ เหมือนไม่ได้ยินคำพูดของฉัน ฉันรวบรวมพลังและกล่าวกับเขาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง

“ข้าบอกให้ปล่อยข้าลง”

คราวนี้ฉันพูดอย่างชัดเจน ฉันรอให้เขาวางฉันลงอีกครั้งพลางมองหาว่าเสื้อที่เขาเอามาอยู่ที่ไหน ทว่าต่างจากความคิดของฉันที่รอคอยจะสัมผัสพื้น ราธบันกลับดึงฉันเข้าไปกอดแน่น

“ทำไม่ได้ขอรับ”

“…”

ฉันจ้องมองเขาเพราะไม่เข้าใจว่าเขาพูดถึงอะไรไปชั่วขณะ สายตาของราธบันกำลังมองมาที่ฉันตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ เขาเปิดปากพูดอีกครั้ง

“ข้า…ไม่อาจปล่อยท่านไปได้”