ไม่อาจปล่อยไปได้
ราธบันออกแรงดึงนักบุญหญิงเข้ามากอดมากขึ้น จากนั้นก็หันกลับมามองนางในอ้อมแขนอย่างระมัดระวัง
เส้นผมสีบลอนด์ที่เปียกน้ำปกคลุมอยู่บนผิวขาวจนเย็นเชียบ ดูจากการที่ไหล่แคบและกลมมนกำลังขยับขึ้นลง เห็นได้ชัดว่านางกำลังอดกลั้นที่จะไม่ร้องไห้อย่างสุดความสามารถ การที่นางยังคงเอาแต่ดิ้นเพื่อให้หลุดออกจากอ้อมแขนของเขาทำให้ราธบันรู้สึกหนักอึ้งจากส่วนลึกในจิตใจ
ท่าทางที่สะบัดแขนขาเพื่อให้หลุดพ้นจากสิ่งที่หวาดกลัวดูราวกับสัตว์ตัวน้อยที่ได้รับบาดเจ็บกำลังพยายามดิ้นรนเพื่อจะหนีไป การกระทำเช่นนั้นทำให้ราธบันรู้ว่าตนยังไม่อาจมอบความสบายใจให้แก่นักบุญหญิงได้
ผู้บัญชาการหน่วยอัศวินแห่งวิหารเป็นการมีอยู่เพื่อปกป้องนักบุญหญิง
ผู้บัญชาการรุ่นที่ผ่านมาต่างก็ปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างดีงาม แต่อย่างไรก็ตามเมื่อพลังของนักบุญหญิงแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ และวิหารหลวงใหญ่ขึ้น หน้าที่ส่วนใหญ่ของผู้บัญชาการจึงเปลี่ยนไปเป็นการปราบปีศาจแทนการดูแลนักบุญหญิง แต่ถึงกระนั้นหน้าที่ที่สำคัญที่สุดของผู้บัญชาการอัศวินก็คือการอารักขานักบุญหญิง
ราธบันรู้ความจริงที่ว่าตนไม่อาจรับผิดชอบหน้าที่นั้นได้
เช่นนั้นแล้วอย่างน้อยตอนนี้เขาก็ควรปล่อยนักบุญหญิงไปใช่หรือไม่
‘ไม่ได้’
สัญชาตญาณของเขาปฏิเสธมันอย่างรุนแรง หากตอนนี้เขาปล่อยนักบุญหญิงกลับไปเช่นนี้ เขาคงไม่มีทางได้พบนางอีกเป็นครั้งที่สองแล้ว
ในวินาทีที่คิดว่าจะไม่ได้พบนางอีก ราธบันก็รู้สึกหวาดกลัวมากกว่าครั้งไหนๆ ที่เขาเคยได้ประสบมาจนถึงตอนนี้ ไม่สิ ความหวาดผวานั่นคงใช้แค่คำว่าหวาดกลัวอธิบายไม่ได้
เขาเคยเผชิญหน้ากับปีศาจหลายร้อยหลายพันตัว นั่นเลยทำให้ราธบันเคยประสบกับความหวาดผวาในความตายจนนับไม่ถ้วน ทั้งขณะที่ถูกกรงเล็บที่เพียงแค่เฉียดผ่านก็ทำให้ทั่วทั้งร่างเน่าเสียเข้าจ่อคอ ทั้งขณะที่ปีศาจขนาดเท่าบ้านตัวหนึ่งใช้เท้าตบลงมาบนตัวเขาอย่างไม่ปรานี ราธบันก็ได้ต่อสู้กับความหวาดผวานั้นมาโดยตลอด
แต่ตอนนี้ราธบันกลับกำลังยืนตัวสั่นอยู่ในบ้านของตนซึ่งอยู่ในวิหารหลวงที่ไม่มีอันตรายใดๆ เพียงเพราะแค่คิดว่าคนผู้หนึ่งจะหายไป ดังนั้นเขาจึงออกแรงดึงนักบุญหญิงเข้ามากอดมากขึ้น
คำว่าอารักขาเป็นคำที่ยิ่งใหญ่มากจนทำให้เขาไม่อาจรู้แน่ชัดว่าตนต้องทำอย่างไร แต่ตอนนี้เขารู้แล้ว เขาต้องการให้นางอยู่ในอ้อมแขนของเขาอย่างไม่หวาดกลัว และไม่จำเป็นต้องตัวสั่น
เขาอยากเป็นกำแพงที่จะช่วยป้องกันหากพายุฝนกระหน่ำ เขาอยากเป็นกองไฟที่จะช่วยคลายหนาวให้กับร่างกายที่สั่นด้วยความเปียกชื้น
หลังจากกลายเป็นผู้บัญชาการอัศวิน ราธบันเพิ่งรู้อย่างชัดแจ้งว่าตนต้องการอะไรเป็นครั้งแรก
นักบุญหญิงหยุดดิ้น คงเพราะตระหนักได้ว่าอย่างไรเขาก็ไม่ยอมปล่อยตนลง ตอนนั้นเอง นักบุญหญิงเอ่ยถามเขา
“…ทำไมถึงไม่ทำ?”
ราธบันตอบกลับไปไม่ได้เพราะไม่เข้าใจว่านางถามถึงอะไรไปชั่วขณะ ทันใดนั้นนักบุญหญิงก็เปิดปากขึ้นอีกครั้ง
“…สภาพของข้ามันไม่น่าดูถึงเพียงนั้นเลยหรือ?”
“…!”
ตอนนั้นเองราธบันถึงได้รู้ว่านักบุญหญิงกำลังถามถึงอะไร
นางถามว่าทำไมเขาถึงไม่กอดนางขณะที่นางกำลังต่อสู้กับความใคร่ในห้องรับรอง นักบุญหญิงถามสิ่งที่ทำให้เขาปวดร้าวที่สุด
******
ฉันสัมผัสได้ว่าแขนที่กอดฉันอยู่เกร็งขึ้นเมื่อได้ยินคำถาม ตอนนั้นเองก็เช่นกัน ขณะที่เลออนเอ่ยถามราธบันว่า ‘งั้นเจ้าจะทำหรือ’ ราธบันก็หยุดนิ่งไม่ไหวติง ราวกับเป็นเรื่องที่มิบังอาจทำได้
ฉันเองก็รู้ดีว่าคำถามนี้มันโง่เขลาแค่ไหน เขาคืออัศวินแห่งวิหาร เป็นคนที่ปฏิบัติตามกฎระเบียบของวิหารหลวงและเข้มงวดกับตัวเองมากกว่าใคร เขาไม่มีทางโอบกอดหญิงสาวด้วยเหตุผลว่าจะช่วยเหลือแน่ ทั้งที่รู้แบบนั้น แต่พอคิดถึงภาพที่เขาไม่ยอมเข้ามาใกล้ ปลายนิ้วก็พลันเย็นเชียบ
การกระทำของเขาทำให้ฉันรู้สึกเหมือนเขากำลังหัวเราะเยาะความเย่อหยิ่งของฉัน
ฉันมีความมั่นใจอยู่ในใจระดับหนึ่ง มั่นใจว่าฉันเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ของคนสามคนที่ฉันเคยหวาดกลัวที่สุด ฉันเคยคิดว่าความหวาดกลัวที่เคยมีกับคนทั้งสามกำลังค่อยๆ หายไปและอนาคตที่ถูกกำหนดไว้จะถูกลบเลือน ทว่าภาพที่ราธบันไม่เดินเข้ามาใกล้เหมือนกับกำลังถามฉันว่าเจ้าคิดแบบนั้นจริงๆ หรือ
ฉันคิดว่าเขาจะกอดฉันเช่นกัน เพราะเขามีความชอบพอให้ฉัน
‘นี่มันอะไรกัน’
ความอับอายหลั่งไหลเข้ามา ฉันบอกกับตัวเองว่าฉันจะไม่ข้ามเส้นที่ขีดขึ้นสำหรับพวกเขา แต่ฉันกลับกำลังขอให้พวกเขาข้ามเส้นนั้นมาหาฉัน ดังนั้นฉันจึงขุ่นเคืองราธบันที่ไม่ยอมข้ามเส้นมาจนถึงที่สุด
ฉันรู้ว่าความรู้สึกแบบนี้ไม่ต่างไปจากการงอแงของเด็กน้อย คิดตามใจอยู่คนเดียว คาดหวังอยู่คนเดียว สุดท้ายก็หงุดหงิดขึ้นมาเมื่อไม่เป็นไปตามที่ตนเองต้องการ ความรู้สึกที่อยากวิ่งหนีไปเหมือนเด็กๆ เพราะรู้สึกผิดหวังที่เรื่องราวไม่เป็นไปตามที่คิดและความจริงที่ว่าตนทำตัวน่าอับอาย แต่ขณะเดียวกันก็คาดหวังว่าเขาจะจับฉันเอาไว้
ราธบันที่ดูเหมือนจะยื่นตัวแข็งทื่อไปตลอดชีวิตขยับตัว เขาวางฉันที่ห่มผ้าปูเตียงลงบนเตียงนอนอย่างระมัดระวัง เดี๋ยวเขาก็คงกล่าวว่าจะไปหาเสื้อผ้ามาให้และออกจากห้องไปสินะ
ขณะที่ฉันสัมผัสได้ว่าราธบันไกลออกไปและกำลังขดตัว เขาก็คุกเข่าลงตรงหน้าฉัน
“…ราธบัน?”
ฉันเรียกเขาด้วยความตกใจเพราะการกระทำที่ไม่คาดคิด ฉันไม่รู้เลยว่าเขาคุกเข่าลงไปทำไม
“ขอโทษขอรับ”
น้ำเสียงที่กล่าวขอโทษของเขากำลังสั่น เพราะมัวแต่สนใจมันเลยทำให้กว่าฉันจะรู้ว่าเขาเอ่ยขอโทษก็ผ่านไปสักพักแล้ว
“อะไร…”
“ขอโทษที่ไม่อาจเข้าไปใกล้ขณะที่ท่านกำลังทุกข์ทรมาน แต่ว่าข้า…ทำไม่ได้”
น้ำหยดหนึ่งร่วงลงมาด้านล่างขณะที่เขาก้มศีรษะขณะกล่าวเช่นนั้น รอยหยดน้ำที่ทำให้พื้นไม้แห้งเปียกชื้นกำลังขยายใหญ่ขึ้น ยังไม่ทันที่รอยเก่าจะหายก็เกิดรอยหยดใหม่ขึ้นอีกรอย เขายังคงพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“ต่อให้ท่านสั่งข้าก็คงทำตามไม่ได้ เพราะมัน…ไม่ใช่สิ่งท่านต้องการจากใจจริง”
“…ราธบัน”
เขาที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าฉันกำลังร้องไห้
ในการสู้รบมากมาย แม้จะได้รับบาดเจ็บจนเกือบแขนขาดและสูญเสียดวงตาแต่ฉันก็ได้ยินมาว่าเขาไม่เคยมีน้ำตาเลยสักครั้ง ฉันจ้องมองเขาผู้นั้นนิ่งๆ น้ำตาเอ่อคลอขึ้นมาอีกครั้ง
ฉันเคยคิดว่าไม่มีใครใส่ใจความรู้สึกของฉัน หากได้รับบาดเจ็บก็ช่วยไม่ได้เพราะไม่ได้มีคุณค่าถึงขนาดนั้น ทว่าราธบันกลับกำลังหลั่งน้ำตาราวกับบนโลกนี้ไม่มีเรื่องใดที่เศร้าไปกว่าความจริงที่ว่าฉันต้องทำเรื่องที่ไม่ต้องการอีกแล้ว เพื่อสิ่งที่แม้กระทั่งตัวฉันเองยังไม่คิดถึงขนาดนั้น
“…ขอบคุณค่ะ”
ฉันเอ่ยเสียงเบากับราธบันที่คุกเข่าอยู่ เขาส่ายหน้าทันที
“ข้าไม่มีคุณสมบัติพอที่จะได้ฟังคำแบบนั้นจากท่าน”
ราธบันเงยหน้าขึ้นหลังจากพูดแบบนั้น จากนั้นก็เปิดปากพูดราวกับกำลังสารภาพบาปที่น่ารังเกียจที่สุดในโลก
“ข้าปรารถนาในสิ่งที่ไม่ควรปรารถนาจากท่าน”
“…”
“ความปรารถนา ไม่สิ เรียกมันว่าความใคร่คงถูกต้องมากกว่า หากว่าข้ากำลังมองท่าน…”
เขาปิดตาลงและสารภาพต่อไป
“ข้าจะอยากสัมผัสท่าน อยากจูบท่าน ในทุกๆ ครั้งที่มองท่าน ข้าปรารถนาที่จะได้เสพสุขกับท่าน”
ราวกับมีมีดแหลมกำลังกระซวกภายในเขาอย่างรุนแรง ในแต่ละคำๆ ที่ราธบันเปล่งออกมาถึงได้มีความทุกข์ระทมอัดแน่น ฉันไม่รู้ว่าควรต้องทำอย่างไรเมื่อเห็นสีหน้าของเขาผู้ที่สั่นกลัวในสิ่งที่ตนเอ่ยออกมา
“และขณะที่องค์ชายรัชทายาทโอบกอดท่าน ข้า…”
ราธบันก้มหัวลงตรงหน้าฉัน อัศวินศักดิ์สิทธิ์ผู้โดดเด่นกว่าใคร ก้มลงไปด้านล่างและแนบหน้าผากของตนลงไป เขาสารภาพโดยโยนศักดิ์ศรีและความสูงสง่าทั้งหมดไปกองบนพื้น
“…อิจฉาเขา”
ร่างกายของเขาสั่นอย่างแรงราวกับไม่อาจทนต่อความน่ารังเกียจของตัวเองได้
บางทีราธบันคงไม่รู้ ว่าบาปของเขาเป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับฉัน ฉันดึงผ้าปูเตียงและลุกขึ้น จากนั้นเดินเข้าไปหาเขาที่ยังคงคุกเข่าและจุมพิตลงบนหน้าผาก แววตาของราธบันที่มองฉันอยู่สั่นไหว
สายตาที่ยังคงไม่เข้าใจว่าทำไมฉันถึงทำแบบนี้ ในแววตาที่ราวกับถามว่าทำไมถึงยังมีเมตตาให้ผู้ทำบาปคนนี้มีแสงแห่งความดีใจที่ไม่อาจปิดได้มิดแม้จะเฝ้าระวัง
เมื่อเห็นความยินดีของเขาที่ไม่อาจแอบซ่อน ฉันก็ค่อยๆ เลื่อนริมฝีปากลงไปด้านล่าง
“ทำไม… เพราะอะไร…”
แม้จะลังเล แต่เขาก็เปิดปากถามหาคำตอบอย่างระมัดระวัง ราวกับต้องการมั่นใจว่าตนไม่ได้คิดไปเองใช่หรือไม่ สายตาของเขาที่มองฉันเลื่อนลงไปด้านล่าง ไม่นานฉันก็รู้ว่าเขากำลังมองอะไรอยู่ ร่องรอยสีเปลวเพลิงที่อยู่บนต้นขาที่เผยออกมาระหว่างผ้าปูเตียง ใบหน้าของราธบันหม่นหมองก่อนที่เขาจะถอยตัวไปด้านหลัง
“ไม่ใช่ ราธบัน”
ฉันคว้าไหล่เขาขณะที่ตระหนักได้ว่าเขาคิดอะไร ร่างกายใต้ร่มผ้าที่เปียกชื้นของเขากำลังประหม่าอย่างรุนแรง
“ไม่ได้เป็นเพราะมัน ข้า…ข้าอยากทำเอง”
ความสัมพันธ์ทั้งหมดจนถึงตอนนี้เป็นสิ่งที่ฉันถูกบังคับให้ทำไม่ใช่เพราะอยากทำ เพื่อที่จะหลอกว่าฉันคืออีเบลลีน่า และเป็นเพราะความปรารถนาที่เกิดขึ้นจากรอยพวกนั้น โชคดีที่อีกฝ่ายคือเลออนและแอสรัน ความทรงจำเกี่ยวกับการร่วมรักจึงไม่น่ากลัวมากนัก อาจจะหยาบคายและรีบร้อนไปบ้าง แต่พวกเขาก็ไม่ได้ทำให้ฉันบาดเจ็บ เพราะฉะนั้นฉันถึงได้เกิดความเสียดายว่าบางทีมันอาจจะดีกว่าหากเราไม่ได้เริ่มต้นความสัมพันธ์กันแบบนี้ ดังนั้นฉันจึงสงสัย
ความสัมพันธ์ที่ฉันทำเพราะต้องการมันเองจะรู้สึกอย่างไรกัน
ฉันใช้สองมือกุมหน้าราธบัน เขาไม่หลบเลี่ยงและไม่ถอยหนี ทำเพียงอยู่นิ่งๆ ราวกับบอกว่าจะเชื่อฟัง
ฉันค่อยๆ เลื่อนหน้าลงไป ริมฝีปากสัมผัสกันอย่างระมัดระวัง มันเป็นเพียงแค่การกระทำเรียบง่ายที่สัมผัสเข้ากับผิวหนังบางๆ เท่านั้น แต่ความร้อนที่ฉันไม่เคยสัมผัสมาก่อนกลับแผ่ซ่านไปทั่วทั้งหลัง
“ฮา…”
เสียงครางต่ำดังออกมาจากด้านล่างริมฝีปากของฉัน เสียงครางที่ราวกับกำลังอดกลั้นอะไรบางอย่างอย่างสุดความสามารถ ลมหายใจอุ่นร้อนที่ออกมาพร้อมเสียงครางของราธบันทำให้ฉันตัวสั่นสะท้านโดยไม่รู้ตัว ฉันกะพริบตาพลางพิจารณาเขาที่อยู่ใกล้กันกว่าครั้งไหนๆ ดวงตาสีดำที่ไม่รู้ความลึกกำลังบรรจุฉันไว้ข้างในอย่างไม่สั่นคลอน สายตานั้นร้อนแรงยิ่งกว่าลมหายใจเสียอีก
ฉันเจอคำตอบแล้ว
ตอนที่ได้สัมผัสกับใครบางคนด้วยความต้องการ ฉันคิดอะไรไม่ออกทั้งสิ้น
ฉันเคยจินตนาการอยู่บ้างว่าอาจจะมีสิ่งที่น่าประหลาดใจซึ่งฉันไม่เคยพบเจอมาก่อนและแตกต่างจากตอนนี้โดยสิ้นเชิงเกิดขึ้น ทว่าต่างจากที่ฉันคิด มันกลับคิดอะไรไม่ออกเลย ราวกับความคิดทุกอย่างถูกลบออกไปจากหัว
ดังนั้นมันสามารถลืมได้ ทั้งเรื่องเกี่ยวกับรอย ทั้งเรื่องเกี่ยวกับคาร์ล ทุกสิ่งทุกอย่างที่กำลังกดดันฉัน
สิ่งที่เหลืออยู่มีเพียงแค่ฉันกับราธบันเท่านั้น
จูบเงอะงะที่ดูจะไม่สิ้นสุดต้องหยุดลงเพราะร่างกายที่เปียกชื้นของฉันรู้สึกถึงลมหนาว ราธบันถอนตัวออกไปทันทีที่ตระหนักได้ว่าฉันกำลังตัวสั่น คงเป็นเพราะเสียดายอุณหภูมิที่ได้สัมผัส
ฉันจึงพยายามจะคว้าเขาที่ลุกขึ้น ผ้าคลุมเตียงที่คลุมตัวอยู่ไหลลงมาขณะนั้น ราธบันหันหน้าหนีทันทีที่เห็นสภาพนั้น ก่อนจะออกจากห้องไปและถือเสื้อของฉันเข้ามา แต่เขาไม่ได้กลับออกไปด้านนอกอีก ทำเพียงแค่ยืนหันหลังอยู่ตรงนั้น
ขณะที่จะเอ่ยถามว่าทำไมไม่ออกไป ฉันก็ล้มเลิกความคิด เพราะฉันรู้ว่าตอนนี้ทั้งฉันและเขาต่างก็ต้องการอยู่ในพื้นที่เดียวกัน
เสื้อของฉันถูกพับอย่างเรียบร้อย เสื้อชั้นในที่ถูกซักอยากสะอาดสะอ้านร่วงออกมาจากด้านในทันทีที่ฉันหยิบมันขึ้นมา
“เอ๋…?”
นี่ยังไม่ทันหมดวันเลยด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นจึงยังไม่น่าซักแล้วตากแห้งทัน ในหัวของฉันมีภาพฉากมากมายจินตนาการขึ้นตามใจเมื่อเห็นของที่ถูกพับอยู่กับเสื้อชั้นใน ล่างคอร้อนผ่าวขึ้นมาฉับพลัน
“ร ราธบัน ทำไมนี่…”
“ตอนที่ท่านมาครั้งแรก… ข้าทำความสะอาดไว้ขอรับ…”
ราธบันเองก็ทำตัวไม่ถูกพอๆ กับฉัน เมื่อได้ยินคำว่ามาครั้งแรกฉันก็หวนนึกถึงว่ามันมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร
‘ใช่แล้ว ตอนนี้จำได้ว่าเอามันห่อไว้ในผ้าแล้วออกมา…แล้วก็เอาหนุนนอนหลับไป…’
ในวันที่ฉันหลับนอนกับเลออนครั้งแรก มันคือเสื้อชั้นในที่เปียกชุ่มไปด้วยสิ่งอื่นที่ไม่ใช่น้ำแล้วฉันเอาห่อใส่ในผ้าขนหนูเพราะไม่รู้จะทำอย่างไรดี ฉันเอาผ้านั้นมารองหัวแล้วหลับไป จากนั้นมาก็ลืมไปสนิท แล้วราธบันก็คงจะซักมันและเอามาวางไว้ให้ที่นี่
“เอ่อ…อา…ขอบคุณ…”
เสียงที่ฉันเองก็ยังคิดว่ามีแต่ความลำบากใจมากกว่าความรู้สึกขอบคุณดังขึ้น ราธบันทำเพียงแค่ก้มหัวเมื่อได้ยินคำพูดของฉัน มองผ่านๆ ก็เห็นคอเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงเช่นกัน ฉันข่มความอับอายไม่ไหว และรีบขยับมือสวมเสื้อผ้า
เขาผงะในทุกครั้งที่เสียงสวบสาบของเสื้อผ้าดังขึ้น ความอับอายที่มากกว่าตอนที่จูบกันด้วยสภาพที่ไม่ต่างจากร่างเปล่าเปลือยพลันถาโถม มือที่ติดกระดุมลื่นหลุดอยู่เรื่อย เพราะแบบนั้นฉันถึงได้ใช้เวลาใส่เสื้อผ้านานกว่าปกติมาก
“เสร็จแล้วค่ะ”
เขาถึงได้หมุนตัวกลับมาตอนนั้นเอง สายตาของเขาที่จ้องมองฉันเต็มไปด้วยความร้อนแรงที่ไม่อาจปกปิดได้ หลังจากกำมือเข้าออกและปรับลมหายใจอยู่หลายครั้ง เขาก็กล่าวกับฉันว่า
“มีเรื่องที่บังอาจอยากจะขอร้องอยู่หนึ่งเรื่องขอรับ”
“…”
ภาพที่เขาผู้สารภาพอย่างรู้สึกผิดว่าตนมีความปรารถนากำลังมองตรงมาที่ฉันขณะกล่าวว่ามีเรื่องที่ต้องการทำให้ฉันกลืนน้ำลาย ฉันนึกถึงจุมพิตที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ก่อน สัมผัสอันเบาบางที่หยุดลงแค่การแตะกัน
หรือว่าเขาต้องการสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกว่านั้นเหรอ? ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องนั้น ฉันก็คาดเดาไม่ออกแล้วว่ายังมีเรื่องอะไรอีกที่ทำให้เขาลังเลถึงขนาดนั้น
“คืออะไร…”
เขาอ้าๆ หุบๆ ริมฝีปากอยู่หลายครั้ง ก่อนจะกล่าวขึ้นอย่างยากลำบาก
“ข้าก็… อยากเรียกชื่อของท่านเหมือนกัน”
“อะไรนะ?”
ฉันขึ้นเสียงสูงโดยไม่รู้ตัวเมื่อได้ยินคำร้องขอที่ไม่เคยคิดถึงมาก่อน ทันใดนั้นก็เห็นร่างกายของราธบันสั่นด้วยความตระหนกอย่างแรง
“ม ไม่ใช่ คือ ไม่ใช่ว่าไม่ได้…ทำไม..ชื่อ…”
พอลองคิดดูแล้ว จนถึงตอนนี้ ราธบันเรียกฉันด้วยคำเรียกว่าท่านนักบุญหญิงมาโดยตลอด แน่ล่ะ ในฐานะของผู้บัญชาการอัศวิน เขาไม่สามารถเรียกชื่อของนักบุญหญิงได้
“…ท่านจะอนุญาตหรือไม่?”
ในขณะที่กำลังจะพยักหน้า ฉันก็หยุดคิดชั่วครู่ ก่อนจะตอบไป
“ข้าไม่อยากให้เรียกว่าอีเบลลีน่า”
“เช่นนั้น…”
“หากเจ้าเรียกว่าลีน่า ข้ายินดีอย่างยิ่ง”
ฉันชอบชื่อที่เลออนคิดให้ขณะที่ออกไปนอกวิหารหลวงเป็นอย่างมาก ไม่ใช่อีเบลลีน่าแต่คือลีน่า ชื่อที่ช่วยแยกฉันและอีเบลลีน่าตัวจริงออกจากกัน
ทันทีที่ฉันกล่าว ราธบันก้าวเข้ามาและเปิดปากขึ้นอย่างระมัดระวัง
“…ลีน่า”
หลังจากเอ่ยเรียกชื่อสั้นๆ นั้นหนึ่งครั้ง ราธบันก็เอาแต่พึมพำชื่อนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยเสียงแผ่วเบาราวกับไม่อยากจะเชื่อว่าตนกำลังเอ่ยเรียกมัน ราวกับแค่ได้เอ่ยเรียกมันเขาก็พอใจแล้ว
เสียงเรียกของเขาทำให้ฉันมองเขาด้วยรอยยิ้ม ทันใดนั้น ใบหน้าของราธบันก็พลันปรากฏรอยยิ้มสดใสที่ไม่เคยเห็นมาก่อนจนถึงตอนนี้ขึ้นมา