หลังจากจัดการความเรียบร้อยเสร็จ ฉันก็ออกมาจากบ้านของราธบันและเดินกลับที่พัก คงเป็นเพราะรู้เวลาเปลี่ยนกะดี พวกเราจึงเดินตามเส้นทางยามค่ำคืนไปถึงสวนได้โดยไม่ต้องปิดบังใบหน้า ไม่รู้เพราะราธบันมีอะไรบางอย่างอยากพูดหรืออย่างไร ตลอดทางที่เดินมาเขาถึงได้มองฉันพลางขยับปากอยู่หลายครั้ง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดออกมา
เรามาถึงสวนโดยไม่รู้ตัว ฉันรีบเดินเข้าไปข้างในหลังจากตรวจสอบแล้วว่าไม่ได้ยินเสียงใคร ไม่นานก็มาถึงกำแพงฝั่งหนึ่งของสวน ที่นั่นคือจุดเริ่มต้นของทางลับ เมื่อเห็นเขาเดินไปทางนั้นอย่างไม่ลังเล ฉันก็ฉีกยิ้มขมขื่น
“…ราธบันเองก็รู้เหมือนกันสินะ”
เคยคิดว่ามีแค่ฉันที่รู้ แต่เขาเองก็รู้เหมือนกัน
ฉันหวนนึกถึงเรื่องเมื่อนานมาแล้ว เรื่องตอนที่เพิ่งกลายเป็นอีเบลลีน่าได้ไม่นาน ฉันเคยนอนหลับไปในสวนแต่กลับลืมตาตื่นขึ้นมาบนเตียงนอน
“คงไม่ใช่ว่า…คราวนั้นตอนที่ข้าเผลอหลับบนม้านั่งก็เป็นราธบันที่พากลับไป?”
“…ใช่ขอรับ”
ราธบันค้อมศีรษะด้วยใบหน้าขวยเขิน เขายกมือขึ้นเหนือกำแพง แสงสีฟ้าครามและปากทางเข้าพลันปรากฏขึ้นพร้อมกัน
‘แน่ล่ะ ราธบันเองก็เป็นอัศวินแห่งวิหาร คงต้องมีพลังศักดิ์สิทธิ์อยู่แล้ว’
อัศวินแห่งวิหารเองก็ครอบครองพลังศักดิ์สิทธิ์อยู่ระดับหนึ่งเช่นกัน แม้ขนาดของพลังศักดิ์สิทธิ์จะไม่ได้แตกต่างตามตำแหน่งเหมือนกับเหล่านักบวชทั่วไป แต่ในเมื่อเป็นถึงผู้บัญชาการอัศวินก็ไม่แปลกที่จะมีพลังศักดิ์สิทธิ์ในระดับที่เหนือกว่านักบวชระดับกลาง เมื่อเห็นพลังศักดิ์สิทธิ์ของเขา ฉันก็นึกถึงความทรงจำที่เคยเห็นตอนอยู่ในจิตสำนึกของอีเบลลีน่า
ภาพพลังศักดิ์สิทธิ์ขนาดใหญ่ที่ไหวกระเพื่อมราวกับเปลวเพลิงในพื้นที่ขนาดใหญ่ที่ไม่มีแม้แต่หน้าต่าง และพลังศักดิ์สิทธิ์ก้อนนั้นลดลงในชั่วพริบตา
‘มาคิดดูแล้ว…’
ช่วงนี้ไม่มีเหตุการณ์อะไรให้ใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ บางทีระหว่างนั้นมันก็คงจะลดลงอีกเหมือนกันล่ะมั้ง?
‘หากหาสิ่งนั้นพบ ฉันก็คงได้รู้ว่าเหลือพลังศักดิ์สิทธิ์อยู่ในร่างประมาณไหน’
เมื่อนึกถึงพื้นที่ขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นจากหินและอีเบลลีน่าผู้ไม่สามารถออกห่างจากวิหารหลวงไปไกล เห็นได้ชัดว่าที่นั่นจะต้องอยู่ภายในวิหารหลวงแน่ บางทีคงอยู่ใต้ดินที่ไหนสักแห่ง
“ท่านนักบุญหญิง?”
ราธบันเอ่ยเรียกเมื่อเห็นฉันหยุดนิ่ง ฉันยิ้มขมขื่นเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงเขาเรียกว่าท่านนักบุญหญิง
“มิใช่บอกว่าอยากเรียกชื่อข้าหรือ?”
“ก็ใช่แต่…”
ใบหน้าของราธบันเปลี่ยนเป็นสีแดงจนสามารถสังเกตเห็นได้ทันทีแม้อยู่ในความมืด เขาขยับปากอยู่หลายครั้งและเปล่งเสียงไม่ออกคล้ายคนที่กำลังจะสารภาพรัก จากนั้นเขาก็เปิดปากขึ้นอย่างยากลำบากราวกับตัดสินใจได้แล้ว และเอ่ยเรียกชื่อของฉัน
“…ลีน่า”
เขาเรียกชื่อของฉันราวกับถูกล่อลวง เมื่อเห็นเขาเอ่ยเรียกเสียงเบาซ้ำไปซ้ำมาอย่างระมัดระวังอีกครั้ง มันก็ทำให้ฉันรู้สึกว่ากระทั่งชื่อก็มีค่า
ราวกับเขาตระหนักได้ว่าตนกำลังทำอะไรอยู่ ราธบันที่พูดอย่างหลงใหลจึงปล่อยมือที่จับมือฉันด้วยใบหน้าเขินอาย แล้วยื่นมือออกไปปัดใยแมงมุมที่เกาะอยู่ด้านใน
“ระวังด้วยขอรับ”
ที่นี่ไม่มีทางมีอันตรายเพราะอย่างไรก็เป็นทางเดินที่ผ่านมาไม่รู้กี่ครั้ง แต่ราธบันก็ยังนำทางในความมืดด้วยความประหม่าอย่างมากราวกับคนที่กำลังเดินนำไปยังสถานที่ที่อันตรายอย่างถึงที่สุด ไม่รู้เพราะอะไร แต่ภาพของเขาที่ดูตื่นตัวตลอดเวลาหลังจากสารภาพรักในบ้านทำให้ฉันหลุดยิ้มออกมาไม่หยุด
ฉันจับมือเขาเดินในความมืดและไม่ช้าก็ถึงปลายทางเดิน หลังจากเห็นห้องเล็กๆ ที่คุ้นเคย ฉันก็ปล่อยมือของเขาที่จับอยู่ เสียงทอดถอนใจเล็กๆ ที่แฝงไปด้วยความเสียดายอย่างไม่อาจเก็บซ่อนดังออกมาจากปากราธบัน
ในชั่วขณะที่ก้าวออกจากห้องนั้นมาบนทางเดิน ฉันก็สัมผัสได้ถึงการมีอยู่อันดุดันจากที่ไกลๆ
“…!”
ราธบันและฉันมองไปตรงนั้นด้วยความตกใจ ปลายสุดของทางเดิน มีใครบางคนอยู่ในห้องของฉัน ถึงจะตกใจแต่ก็ไม่ได้หวาดกลัว เพราะนั่นคือความรู้สึกที่ฉันคุ้นเคย ฉันมองไปยังประตูห้องที่อยู่ไกลๆ จากนั้นหันไปขอร้องกับราธบัน
“ขอบคุณที่มาส่งข้า ราธบัน ขออภัยด้วย แต่วันนี้เจ้ากลับไปก่อนเถิด”
“แต่ว่า…”
เขายื่นมือมาจะจับมือฉัน แต่ก็หยุดอย่างลังเล เห็นได้ชัดว่าเขาอยากคว้าฉันไว้ เขาคงไม่ชอบเวลาที่ฉันอยู่กับคนอื่นที่ไม่ใช่เขา แต่สุดท้ายแล้วราธบันก็ไม่ได้รั้งฉันเอาไว้ ฉันรู้ว่านั่นไม่ใช่การยอมแพ้ เขาจ้องเขม็งไปยังปลายทางเดิน
“ข้ารู้ว่าข้าไม่บังอาจพูดอะไรกับท่านได้แม้ท่านจะยื่นมือไปให้ผู้อื่น”
“…”
“ทุกอย่างเป็นสิ่งที่ท่านเลือกเอง ข้าทำได้เพียงรอคอยอยู่เสมอเท่านั้น แต่ว่า…”
เปลวเพลิงลุกโชนในดวงตาของเขาที่จ้องเขม็งไปตรงนั้น
“ในตอนที่คนพวกนั้นทำให้ท่านบาดเจ็บหรือเหน็ดเหนื่อยอีกแม้แต่นิด ข้าหวังว่าท่านจะอนุญาตให้ข้าลงมือ”
ฉันรู้ว่าเขากำลังกังวลเรื่องอะไร เขาคงกังวลว่าแอสรันที่กำลังกดดันจนสามารถรับรู้ได้แม้อยู่ไกลขนาดนี้จะทำเรื่องอะไรไม่ดีกับฉัน
ฉันเอื้อมมือไปหาเขาที่กำลังขบกัดริมฝีปาก ฉันกุมใบหน้าของเขาด้วยสองมืออย่างยากลำบาก จากนั้นเขาก็โน้มตัวลงมา ฉันจุมพิตลงบนหน้าผากของเขา เสียงถอนหายใจอย่างอ่อนใจดังออกมาจากปากเขาอีกครั้ง
น้ำเสียงที่น่าพอใจทำให้ฉันค่อยๆ เลื่อนริมฝีปากลงอย่างเชื่องช้า ฉันกดริมฝีปากลงบนหว่างคิ้ว เหนือสันจมูก และริมฝีปากอ่อนนุ่มที่ยากจะเชื่อว่าชายร่างใหญ่ผู้นี้เป็นผู้ครอบครอง ลมหายใจของเขาสะดุดทันที ราธบันและฉันหยุดนิ่งอยู่อย่างนั้นชั่วครู่
“กลับไปได้แล้วล่ะ”
“…”
ฉันพูดขึ้นทันทีที่ถอนริมฝีปาก เขาค่อยๆ ค้อมตัวลง ขณะเดินเข้าไปในห้องซึ่งมีทางลับ เขาก็มองฉันครั้งแล้วครั้งเล่า ฉันคงไม่อาจเอ่ยลาให้เขานอนหลับฝันดีได้ เพราะรู้ว่าเขาคงทำไม่ได้ ฉันเอื้อมมือไปปิดประตู เงาร่างของราธบันหายไปในชั่วพริบตา เหลือไว้เพียงประตูที่ปิดแน่นสนิทเท่านั้น ฉันขยับฝีเท้าอย่างเชื่องช้า
ราธบันเองก็คงรู้เช่นกัน แม้ว่าฉันจะชอบเขา แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะเกลียดแอสรันและเลออน
ยิ่งฉันเข้าไปใกล้ห้องของตนเองมากเท่าไร ก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงพลังงานที่ไหวกระเพื่อมชัดเจนมากขึ้นเท่านั้น
แกร่ก
ห้องของฉันที่มีแสงจันทร์สาดส่องเข้ามาอย่างคุ้นเคยปรากฏขึ้นทันทีที่เปิดประตูก้าวเข้าไป รวมถึงแอสรันที่นั่งอยู่ปลายเตียงด้วย เบื้องหน้าของแอสรันผู้นั้นมีอะไรบางอย่างลอยเคว้งอยู่ ในตอนที่สายตาชินกับความมืดและตระหนักได้ว่ามันคืออะไร ฉันก็อดไม่ได้ที่จะเบิกตากว้างโดยไม่รู้ตัว
“นั่นมัน…”
สิ่งที่ลอยอยู่เบื้องหน้าแอสรันคือดาบของผู้บัญชาการอัศวินที่ราธบันวางไว้
เขาขยับตัวเมื่อเห็นฉันเดินเข้ามา หางตาของเขาที่ยกสูงจนดูเฉียบคมมากกว่าตอนไหนๆ แสดงให้เห็นว่าตอนนี้แอสรันกำลังอยู่ในอารมณ์ใด แน่นอนว่าต่อให้ไม่มีหางตานั้นฉันก็รับรู้ได้ เพราะอากาศที่อยู่ในห้องนี้เปี่ยมไปด้วยพลังเวทและความโกรธของเขาผสมผสานกันจนทำให้ขนลุกขึ้นโดยอัตโนมัติ
“ไม่น่าเชื่อว่ามันยอมปล่อยเจ้าไว้ด้วย”
ปลายดาบของราธบันบิดงอในขณะที่ฝ่ายนั้นพูด ฉันกลั้นหายใจเมื่อเห็นเหล็กถูกจับบิด มันส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดและดังแปลกๆ เป็นสัญญาณบอกว่าหากปล่อยไว้เช่นนี้ ดาบเล่มนั้นคงจะหักในไม่ช้า
“แอสรัน หยุดได้แล้ว”
“ทำไมข้าต้องทำเช่นนั้นด้วย”
หลังจากพ่นคำพูดที่คล้ายกับตะคอกออกมา สายตาของแอสรันก็หันกลับไปมองดาบอีกครั้ง ดาบยังถูกบิดมากขึ้นเรื่อยๆ ในระหว่างนั้น เดาไม่ยากว่าเขากำลังทรมานดาบเล่มนั้นแทนตัวใคร ดาบเล่มนั้นกำลังรับความเจ็บปวดแทนราธบันผู้ซึ่งไม่ได้อยู่ตรงนี้
ฉันรู้ดีว่าแอสรันเกลียดราธบัน แน่นอนว่าราธบันเองก็ไม่ต่างกัน ไม่ใช่แค่สองคนนี้เท่านั้น เลออนเองก็ด้วย ทั้งสามคนเกลียดกันและกัน ฉันจ้องมองดาบที่คดงอขึ้นเรื่อยๆ พลางเอ่ยถามเขาถึงสิ่งที่ไม่เข้าใจ
“ถ้าไม่ชอบราธบันถึงขนาดนั้น ทำไมถึงไม่แตะต้องเขาเลยล่ะ”
ปัก! ชั่วขณะที่ฉันถามออกไป ดาบของราธบันก็ลอยไปปักลงที่มุมหนึ่ง คงเพราะปลิวไปอย่างรวดเร็ว ดาบเล่มนั้นถึงได้ฝังลึกลงไปกลางผนังจนหายไปถึงครึ่ง
“…ก็เจ้าทะนุถนอมมันนักนี่”
แอสรันยกมือขึ้นหลังจากพูดจบ จากนั้นก็เขียนตัวอักษรที่ฉันไม่รู้จักกลางอากาศ ในตอนที่ตัวอักษรซึ่งถูกเขียนด้วยแสงสีแดงจางหายไป ร่างกายของฉันก็ถูกจับลากไปด้านหน้าด้วยมือที่มองไม่เห็น
ในตอนที่ใกล้จะชนกับแอสรัน ฉันยกมือขึ้นเพื่อป้องกันใบหน้าตามสัญชาตญาณ แต่พลังที่จับฉันลากกลับไปหายราวกับเป็นเรื่องโกหก นั่นเลยทำให้ฉันล้มลงในอ้อมกอดของแอสรันทั้งอย่างนั้น ขณะที่กำลังสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อคลายความตกใจก็เห็นแขนอีกข้างที่ซ่อนอยู่ใต้เสื้อของเขา
“…ฮึก!”
แขนที่ปกคลุมไปด้วยขนสีแดงตั้งแต่หัวไหล่จรดปลายนิ้ว มันคือแขนของสัตว์เดรัจฉาน ไม่ใช่มนุษย์ แอสรันเบะปากทันทีเมื่อเห็นฉันมองมันด้วยความตกใจ จากนั้นก็ยกแขนของสัตว์เดรัจฉานขึ้นมาเชยคางฉัน กรงเล็บแหลมคมจากปลายนิ้วของเขาเปล่งประกายอยู่ใต้แสงจันทร์
พลังงานเย็นเยียบแล่นขึ้นมาจากปลายคางขณะที่ฉันจ้องมองเขา นัยน์ตาสีแดงที่จดจ้องเป็นประกายแวววับ
“มีกลิ่นของมันอีกแล้ว”
เขาพึมพำออกมาด้วยสีหน้าราวกับได้กลิ่นเหม็นที่น่าขยะแขยงที่สุดในโลก ความโกรธในตาของแอสรันรุนแรงขึ้น แต่มันก็หยุดแค่ตรงนั้น เขาไม่ได้พูดอะไร หรือทำอะไรกับฉันอีก
“…ทำไม”
ฉันเตรียมพร้อมแล้วที่จะรับการกระทำของแอสรัน เขาจะต้องแสดงความโกรธเคืองแบบคราวก่อน แล้วจับฉันนอนลง จูบฉันและโอบกอดฉันอีกครั้ง ทว่าแอสรันกลับไม่เคลื่อนไหวอะไรอีก เราสองคนทำเพียงสบตากันโดยไม่พูดอะไรอยู่สักพักแบบนั้น มีเพียงความเงียบงันไหลผ่าน
ช่วงเวลาที่อยู่กับแอสรันเริ่มต้นด้วยร่างกายและจบลงด้วยร่างกายเสมอ ฉันต้องร้องไห้เมื่อเหน็ดเหนื่อยจนทำต่อไปไม่ไหว เขาถึงจะยอมถอนตัวออกไปอย่างเสียดาย ช่วงเวลาที่ฉันได้หยุดพักหายใจจนกว่าจะเริ่มทำใหม่อีกครั้งเป็นเพียงช่วงเวลาเดียวที่ฉันได้สนทนากับเขา ในตอนนั้นฉันต้องถามสิ่งที่ฉันต้องการสืบหาอย่างสุดความสามารถ แต่แม้แอสรันจะตอบคำถามของฉัน มันก็ไม่ได้มากพอจะเรียกได้ว่าเป็นบทสนทนา ดังนั้นแม้ความเงียบจะยังคงดำเนินต่อไปในขณะที่สบตากันเช่นนี้ ฉันก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัดใจมากนัก
หากปล่อยไว้แบบนี้ต่อไป แอสรันคงทำเพียงแค่มองฉันเฉยๆ แน่ ฉันจึงเปิดปากขึ้นก่อน ไม่ว่าเขาจะทำตัวกับฉันอย่างไร แต่ฉันก็มีคำพูดที่จำเป็นต้องพูดกับเขา
“…ขอบคุณ”
“อะไร”
หากเขาไม่ตอบกลับฉันคงไม่รู้ว่าต้องทำตัวอย่างไร แต่โชคดีที่เขาไม่ได้เมินคำพูดของฉัน
“ได้ยินว่าท่านเป็นคนช่วยเหลือข้าในห้องรับรองเมื่อตอนกลางวัน”
ที่นั่นอยู่สูงและด้านนอกก็เต็มไปด้วยเหล่านักบวชที่คาร์ลจงใจส่งมา เมื่อฉันถามว่าออกมาจากที่แบบนั้นได้อย่างไร ราธบันก็บอกว่าในตอนนั้นแอสรันปรากฏตัวขึ้นมาและใช้เวทมนตร์พาฉันออกมา
“ท่านคงไม่รู้ว่าข้ารู้สึกสบายใจเพียงใดเมื่อได้ยินเช่นนั้น ขอบคุณ…จริงๆ”
คำที่ฉันเอ่ยว่าขอบคุณนั้นออกมาจากใจจริง เพราะหลังจากได้ฟังคำอธิบายจากราธบัน ฉันก็แทบจะหลั่งน้ำตาออกมาอีกครั้งให้กับความโล่งใจที่ไม่ถูกจับได้ในสภาพแบบนั้น
เมื่อได้ยินดังนั้น แอสรันก็ปล่อยมือที่จับคางฉันอยู่ทันที เขาซ่อนแขนของสัตว์เดรัจฉานไว้ใต้เสื้อที่มีขนาดพอดีตัวราวกับจะอำพราง
“เป็นครั้งแรกเลย”
“อะไรหรือ”
“ที่เจ้าขอบคุณข้า”
แม้ไม่มีทางเป็นไปได้ แต่ไม่รู้ทำไมฉันถึงเกิดความคิดว่าแอสรันกำลังเหนียมอาย เขาคือปีศาจและเป็นจักรพรรดิที่แสนอวดดีของเหล่าจอมเวท สิ่งมีชีวิตอันแข็งแกร่งผู้ไม่ยอมก้มหัวให้ใครจะมีปฏิกิริยาตอบรับแบบนี้เพียงเพราะได้ยินคำว่าขอบคุณได้อย่างไร ทว่าท่าทางของแอสรันตอนนี้ก็ไม่สามารถอธิบายเป็นอื่นได้เลยนอกจากคำนั้น
พลังงานดุดันที่อัดแน่นอยู่เต็มห้องจนถึงเมื่อครู่ก่อนสลายไปในพริบตา ฉันรู้สึกได้ว่าหายใจโล่งขึ้นพลางเอ่ยถามเขา
“ทำไมถึงช่วยข้า”
“…”
เขาจ้องฉันอย่างเปิดเผยเมื่อได้ยินคำถาม ทำสีหน้าราวกับจะถามว่าทำไมถึงถามเรื่องนั้น หลังจากนั้นครู่หนึ่งแอสรันก็พึมพำออกมา
“นั่นสิ”
เหตุการณ์คราวนี้เป็นเรื่องที่เขาจะเมินเฉยไปก็ได้ ไม่สิ บางทีการปล่อยไว้อาจจะเป็นผลดีต่อแอสรันมากกว่าด้วยซ้ำ หากตอนนั้นฉันไม่อาจออกไปจากที่นั่นและถูกผู้คนจับได้ ก็คงยากที่ทั้งเลออนและราธบันก็จะกลับมาอยู่ข้างฉันอีกครั้ง ทว่าทั้งที่แอสรันเกลียดเลออนและราธบันถึงขนาดนั้น แต่ท้ายที่สุดเขาก็ยังเลือกหนทางที่ทำให้คนเหล่านั้นยังคงอยู่เคียงข้างฉัน
“ข้าสัมผัสได้ถึงพลังงานผิดปกติจึงออกมาดู แล้วก็พบว่าเจ้าขนเหลืองนั่นกำลังมีอะไรกับเจ้าอยู่…ส่วนด้านนอกก็ชุลมุนไปด้วยพวกมนุษย์ที่มีพลังศักดิ์สิทธิ์”
แอสรันยกมือข้างที่ยังคงสภาพความเป็นมนุษย์ขึ้นและสางเส้นผมของฉัน
“ข้าคิดว่าเจ้าคงจะไม่ชอบ…ให้สิ่งพวกนั้นมาเห็นเจ้า ก็แค่นั้น”
“…แค่นั้น?”
“ใช่”
เขาตอบกลับมาราวกับเพิ่งค้นพบคำตอบเมื่อได้ยินคำถามของฉัน ฉันถามแอสรันผู้นั้นอีกครั้ง
“แอสรัน หากว่าข้า…ต้องการความช่วยเหลือจากท่านอีกต้องทำอย่างไร”
พูดตามตรง ฉันกังวล การมีอยู่ของแอสรันนั้นจำเป็น ไม่ใช่เพื่อช่วยลบรอยเท่านั้นแต่ยังเพื่อต่อสู้กับคาร์ลด้วย ทว่านอกเหนือจากเพื่อสืบหาข้อมูลเกี่ยวกับรอย แอสรันก็ไม่มีเหตุผลให้ต้องเผชิญหน้ากับคาร์ลเลย
หากว่าเกิดเหตุการณ์แบบคราวนี้ขึ้นอีก ฉันจำเป็นต้องมีแอสรันอีกครั้ง แต่แอสรันจะยอมช่วยฉันอีกเหรอ? ฉันผู้ที่ตอนนี้ก็เพิ่งอยู่กับราธบันมา?
มือของแอสรันที่กำลังสางผมหยุดลง
“ในอนาคต เจ้าก็คงจำเป็นต้องมีข้าอีก”
“…”
“แน่ล่ะ เพราะว่าจำเป็นถึงได้เรียกหาข้า จากนั้นก็คงทิ้งข้าไว้ข้างๆ”
ไม่รู้ทำไมน้ำเสียงที่พึมพำเช่นนั้นของแอสรันถึงได้ดูไร้เรี่ยวแรง เขาเลื่อนมือลงมาหยิบผมของฉันขึ้นกำหนึ่ง ก่อนจะฝังใบหน้าลงไป คล้ายจะสื่อว่าเขาต้องการฉันแต่จะไม่แตะต้องร่างกายของฉัน เขาฝังใบหน้าอยู่แบบนั้นสักพักแล้วเงยหน้าขึ้น ความหิวกระหายยังคงหลงเหลืออยู่บนใบหน้าของเขา เขาพูดขณะที่ยังไม่ได้ปล่อยผมฉันลง
“แค่เอ่ยขอให้ช่วยก็พอแล้ว จากนั้น…”
แอสรันลังเลใจ แล้วยื่นแขนที่ยังอยู่ในสภาพของสัตว์เดรัจฉานออกมาเหมือนขอให้จับมือของเขา ฉันยกสองมือขึ้นจับมือใหญ่อย่างระมัดระวัง ฉันรู้ว่าทำไมเขาถึงได้อยู่ในสภาพเช่นนี้
เขาใช้เวทมนตร์มหาศาลเพื่อตามหาพลังศักดิ์สิทธิ์ที่หายไป และทั้งที่ยังฟื้นฟูพลังเวทได้ไม่สมบูรณ์ ก็ต้องใช้เวทมนตร์อีกครั้งเพื่อช่วยฉัน ด้วยเพราะพลังเวทหายไปอย่างกะทันหัน ร่างกายของเขาจึงอยู่ในสถานการณ์ที่ควบคุมได้ยาก
ฉันค่อยๆ ลูบปลอบร่างของเขาที่กลายเป็นสัตว์เดรัจฉานอีกครั้งเพราะช่วยเหลือฉัน และยังลูบปลอบขนที่ถูกคิดว่าหยาบและแข็งกระด้าง รวมถึงกรงเล็บอันแหลมคมจนชวนให้กังวลว่าจะถูกบาดเพียงแค่เฉียดผ่าน
หากคิดว่านี่คือแอสรันก็จะไม่หวาดกลัว เพราะเขาไม่ทำอันตรายฉัน
การกระทำของฉันทำให้หางตาของแอสรันโค้งขึ้นอย่างอ่อนโยน
“แค่พูดว่าขอบคุณก็พอ”
“…แค่นั้นก็พอหรือ?”
“ใช่ นั่นแหละคือสิ่งที่ข้าต้องการ”
ฉันขยับตัวเมื่อได้ยินดังนั้น เส้นผมที่ยังคงเปียกชิ้นทิ้งตัวลงด้านล่างหัวไหล่และสัมผัสโดนไหล่เขา
“แอสรัน”
ฉันแนบหน้าผากของฉันเข้ากับหน้าผากของเขา ฉันคิดว่าดวงตาสีแดงของเขาที่เข้ามาใกล้จนแทบจะชนกันมันช่างงดงามพลางเปิดปากพูด
“ช่วยข้าด้วย”
แอสรันจุมพิตลงบนเส้นผมของฉันอีกครั้งเมื่อได้ยินคำพูดของฉัน
“ดูเหมือนทุกคนตัดสินใจจะเรียกเจ้าว่าลีน่าหมดเลย”
“…ได้ยินหรือ?”
“ก็แค่ได้ยินเท่านั้น”
แอสรันเงยหน้าขึ้นและกระแอมไอราวกับคนที่ถูกจับได้ จากนั้นก็ดึงฉันเข้าไปกอดแล้วกระซิบข้างหูอย่างระมัดระวัง
“ข้าเองก็จะเรียกแบบนั้นเช่นกัน อย่างไรก็ดูเหมือนว่าพวกมนุษย์จะไม่ได้ชื่นชอบคำว่าตัวเมียถึงเพียงนั้น”
เขาเรียกฉันว่าตัวเมียมาตั้งแต่แรกเริ่ม ราวกับไม่ได้มองฉันไปมากกว่าสิ่งที่ดำรงอยู่เพื่อตั้งครรภ์และเลี้ยงดูเมล็ดพันธุ์ของเขาเท่านั้น เขาผู้นั้นร้องขอที่จะเรียกชื่อเหมือนกับคนอื่นๆ
ฉันพยักหน้าตกลง เขาฝังใบหน้าลงบนเส้นผมของฉันอีกครั้ง
“ตอนนี้ก็นอนอย่างวางใจเสียเถิด คืนนี้ข้าจะเฝ้าไม่ให้อะไรเข้ามาใกล้เจ้าเอง”
แอสรันพูดเช่นนั้นและไม่ได้ปล่อยมือ ฉันค่อยๆ หลับตาลงในอ้อมกอดของเขา จากนั้นทุกอย่างก็มืดลงอย่างรวดเร็ว เป็นความมืดที่สบายใจเป็นอย่างมาก