บทที่ 198 รับคำอวยพรของข้า โดย Ink Stone_Romance
เมื่อฟ้าสว่างจ้า หมอหลวงหลายคนก็เดินทางมาเยี่ยม แต่กลับถูกคุณหนูจวินขวางไว้นอกห้องบรรทม
“คุณหนูจวิน นี่เจ้าหมายความว่าอะไร?” หมอหลวงที่เป็นหัวหน้าเอ่ยไม่พอใจ
“ความหมายชัดเจนมาก ไม่อยากให้พวกท่านขโมยวิชา” คุณหนูจวินมองพวกเขาเอ่ย “หรือวางแผนร้าย”
สีหน้าของพวกหมอหลวงซีดขาวทันที
นี่คำพูดอะไรกัน!
“เจ้าพูดเหลวไหลอะไร”
“เจ้าเห็นการรักษาโรคช่วยเหลือคนเป็นอะไรไปแล้ว!”
บรรดาหมอหลวงพากันตำหนิ
“ข้าเดิมพันกับพวกท่านไว้ ไม่ขัดแย้งกับการรักษาโรคช่วยคน” คุณหนูจวินขัดพวกเขา “พวกท่านรักษาไหวอ๋องไม่หาย เรื่องนี้มอบให้ข้าแล้ว ถ้าอย่างนั้นเรื่องของที่นี่ย่อมให้ข้าตัดสินใจ หากฟังพวกเจ้า ถ้าอย่างนั้นโรคนี้รักษาไม่หายโทษใคร?”
ไร้สาระ ย่อมโทษเจ้าสิ หมอหลวงหลายคนสีหน้าคล้ำเขียว
“โอหังจริงๆ เจ้าคิดว่านี่คือโรงหมอจิ่วหลิงของเจ้าหรือ” หมอหลวงคนหนึ่งตวาดขึ้น
ด้านในห้องบรรทม องค์หญิงจิ่วหลีที่เดิมทีไม่สนใจเรื่องภายนอกประตูทั้งสิ้นชะงักนิดหนึ่ง เคลื่อนสายตาออกจากบนร่างของไหวอ๋องมองไปทางประตู
เด็กสาวคนนั้นยืนอยู่ตรงประตู ร่างกายเล็กๆ กลับเหมือนหนึ่งทหารเฝ้าด่าน หมื่นทหารไม่อาจผ่าน
โรงหมอ…จิ่วหลิง?
เงาร่างของลู่อวิ๋นฉีบังสายตาของนางไว้ คนก็เดินเข้าไป ยืนอยู่หลังร่างของคุณหนูจวิน ร่างของเขาสูงกว่าคุณหนูจวินอยู่มาก ยืนอยู่หลังร่างนางมองข้ามเหนือศีรษะนางไป
บรรดาหมอหลวงนอกประตูมองเห็นเขายิ่งเพิ่มความโกรธเกรี้ยว
“ใต้เท้าลู่ ท่านดูสิ ท่านฟังคำพูดของนาง”
“นี่มันก่อเรื่องชัดๆ”
พวกเขาพากันเอ่ยขึ้น
“ใครกำลังรักษา ฟังคนนั้น” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ย สายตากวาดผ่านพวกเขา “พวกเจ้ายังอยากรักษาหรือ?”
พวกเขาย่อมไม่อยากรักษา ไม่อย่างนั้นจะให้คุณหนูจวินคนนี้มาทำไม
พวกหมอหลวงสีหน้าแข็งค้าง
“ข้าไม่สนว่าก่อเรื่องไม่ก่อเรื่อง” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ยต่อ “ก่อเรื่องหรือไม่ก่อเรื่องต้องดูผลลัพธ์”
หากรักษาไหวอ๋องหายได้ ต่อให้ก่อเรื่องไร้สาระอีกเท่าใดก็ไม่เป็นไร
หากรักษาไม่หาย เจ้าทำการรอบคอบอีกเท่าใดก็ไร้ประโยชน์
บรรดาหมอหลวงสบตากันทีหนึ่ง รอไหวอ๋องเกิดเรื่อง ฮ่องเต้แม้ฟังคำกล่อมของไทเฮาไม่ทำอะไรกับคนที่รักษาจริงๆ แต่ยมราชลู่คนนี้ย่อมไม่สน
ครั้งนั้นฮ่องเต้ห้ามแล้วอย่างไร ไม่ใช่ตีขุนนางใหญ่ที่ขอชีวิตกลุ่มหนึ่งศีรษะแตกเลือดอาบ ตายตรงนั้นสองคนเหมือนเดิมรึ
ฮ่องเต้ทำอย่างไรกับเขา? ฮ่องเต้กลับมอบงานสำคัญให้เขา
นี่เป็นดาบเล่มหนึ่ง ไม่ถกกฎระเบียบไม่ถกเหตุผลไม่ถกน้ำใจ บอกฟันก็ฟัน บอกฆ่าก็ฆ่า
ช่างเถิด ช่างเถิด
“พวกเราก็แค่เป็นห่วงไหวอ๋อง” บรรดาหมอหลวงเอ่ย ท่าทางไม่ได้รับความเป็นธรรม อับจนหนทาง “ถ้าอย่างนั้นก็แล้วแต่เจ้าเถอะ”
พูดจบก็สะบัดแขนเสื้อจากไป
คุณหนูจวินมองนางกำนัลขันทีสองฝั่งด้านนอกประตู
“ของทุกอย่างของข้า พวกเจ้าใครก็ไม่อนุญาตให้แตะ” นางเอ่ย “ไม่อย่างนั้นรักษาไหวอ๋องไม่หาย ก็ไม่แน่ว่าจะเป็นความรับผิดชอบของข้า”
บรรดานางกำนัลขันทีมองหน้ากัน ความผิดนี้พวกเขาย่อมแบกรับไม่ไหว ถอยหลังไปหลายก้าวอย่างพร้อมเพรียงทันที
คุณหนูจวินตอนนี้ถึงหมุนตัว มองเห็นลู่อวิ๋นฉีที่ยืนประหนึ่งกำแพงผืนหนึ่งด้านหลังร่าง
“รวมท่านด้วยใต้เท้าลู่” นางไม่ได้ถอยหลัง เอ่ยขึ้นนิ่งๆ
ในดวงตาของลู่อวิ๋นฉีความงงงันเบาบางแล่นผ่านไป ก้มหน้ามองเด็กสาวคนนี้ มองเห็นใบหน้านี้ อารมณ์ของเขาจึงฟื้นคืนเป็นปกติ
จวินเจินเจินคนนี้ตั้งแต่เล็กหยิ่งยโส คำพูดคำจาไม่มีมารยาท ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ในสายตาไม่มีผู้หลักผู้ใหญ่ กระทำตามใจตนเองฝ่ายเดียว
นี่คือความโอหัง ไม่ใช่ใจกว้าง
ในดวงตาของเขาความชิงชังส่วนหนึ่งแล่นผ่านไป เพราะคนเช่นนี้จึงคิดถึงนาง หยามเกียรตินางโดยแท้
เขาเดินผ่านคุณหนูจวินออกไป
แม้บรรดาหมอหลวงไม่อาจมองเห็นไหวอ๋อง แต่วังไหวอ๋องไม่มีความลับ พวกเขายังคงรู้ว่าอาการป่วยของไหวอ๋องยังไม่บรรเทา
“รู้อยู่เชียวว่านางคุยโม้โอ้อวด”
“ครั้งนี้ทำไมไม่บอกว่าสามวันรักษาหายแล้วเล่า”
ได้ยินบรรดาหมอหลวงวิพากษ์วิจารณ์เห็นหายนะมีความสุข เจียงโหย่วซูกระแอมขัดทีหนึ่ง
“ขอเพียงรักษาไหวอ๋องหาย นางก่อเรื่องอย่างไรก็ได้” เขาเอ่ย “ขอเพียงนางมุ่งมั่นช่วยคน”
“ใต้เท้า ที่สำคัญก็คือนางไม่ได้มุ่งมั่นช่วยคนนะ” หมอหลวงคนหนึ่งเอ่ย
“ช่วยคนหวังผลก็ได้” เจียงโหย่วซู่เอ่ย “ขอเพียงช่วยคนได้ ไม่ต้องพูดถึงตอนนี้นางไม่ให้พวกเราดูนางรักษา รักษาหายดีแล้ว ให้ข้าไปคุกเข่าให้นาง ข้าล้วนยินดี”
“ใต้เท้าท่านช่างเป็นหมอจิตใจเมตตาจริงๆ” บรรดาหมอหลวงพากันอุทาน
เจียงโหย่วซู่ไม่ได้เอ่ยวาจาอีก หยิบบันทึกการรักษาเล่มหนึ่งขึ้นมา
บรรดาหมอหลวงเหล่านี้ไม่รู้ แต่เขารู้มาจากองครักษ์เสื้อแพรด้านนั้น ฮ่องเต้ไม่ชอบใจตระกูลฟางที่ถือราชโองการของอดีตฮ่องเต้อยู่ในมือนัก
ใครจะยินดีให้ครอบครัวพ่อค้าตระกูลหนึ่ง แล้วยังเป็นครอบครัวพ่อค้าที่โอหังอย่างนี้ถือราชโองการไว้เล่า
แค่จุดนี้ ฮ่องเต้ย่อมไม่มีทางรู้สึกดีคิดเมตตากับคุณหนูจวินคนนี้อย่างไรแน่
อีกอย่างย่อมไม่มีฮ่องเต้พระองค์ไหนยินดีให้บนโลกมีคนที่สืบทอดตำแหน่งฮ่องแต้ได้อย่างถูกต้องชอบธรรมคนอื่นอยู่
หมอต้องจิตใจเมตตา แต่ก่อนหน้าเมตตาผู้อื่น ยังคงต้องสนใจตนเองก่อนสิ ตนเองยังไม่รอด คนอื่นจะเป็นจะตายมีอันใดเกี่ยวข้องอีก
คุกเข่าแล้วอย่างไร? คุกเข่าให้คนที่กำลังจะตายคนหนึ่งเป็นอะไรไปเล่า รอนางตายแล้ว การกระทำเช่นนี้ยังจะเป็นเกร็ดประวัติศาสตร์พิสูจน์คุณธรรมของตนเองด้วย
…
มองเห็นคุณหนูจวินยกยาเข้ามา องค์หญิงจิ่วหลีก็เป็นฝ่ายโอบไหวอ๋องไว้ในอ้อมกอดเอง
“เจ้าช่วยองค์ชายไล่ลม ข้าป้อนยาเอง” นางเอ่ย หยิบช้อนในชามยาที่คุณหนูจวินยกมา
คุณหนูจวินรับคำไม่เอ่ยวาจา ยื่นมือกดลูบหน้าอกของไหวอ๋อง
หลังเสียงเรอทีหนึ่ง องค์หญิงจิ่วหลีก็ตักยาป้อนเข้าไปในปากไหวอ๋อง
“ปีนี้เจ้าอายุเท่าไรแล้ว?” ทันใดนั้นนางก็เอ่ยถาม
คุณหนูจวินอึ้งไปนิดหนึ่ง มององค์หญิงจิ่วหลีทีหนึ่ง
จิ่วหรงป่วยอยู่ ยังมีอารมณ์คุยเล่นเหมือนพบบรรดาคุณหนูตระกูลขุนนางใหญ่อีกนะ
“สิบห้าแล้วเพคะ” นางเอ่ย ยื่นมือกดลูบหน้าอกของไหวอ๋องต่อ
“ถ้าอย่างนั้นปีหน้าก็จะสิบหกปีแล้ว” องค์หญิงจิ่วหลีเอ่ย “เป็นสาวแล้ว”
คุณหนูจวินก้มหน้าขานรับ ลอบเบะปากกับตัวเอง
“โรงหมอนี่เป็นบรรพบุรุษของเจ้าสืบทอดมาหรือ?” องค์หญิงจิ่วหลีเอ่ยถามอีกครั้ง
ที่แท้ก็เพื่อสิ่งนี้รึ เมื่อครู่ได้ยินพวกหมอหลวงพูดชื่อโรงหมอจิ่วหลิงสินะ
คุณหนูจวินก้มหน้ากดลูบหน้าอกของไหวอ๋อง มุมปากโค้งนิดๆ ท่าทางซุกซน
ตกใจละสิ? รู้สึกว่าบังเอิญมากใช่หรือไม่?
หลังร่างสายตาของลู่อวิ่นฉีกวาดมา ยิ่งฉายแววเย็นเยียบ
คุณหนูจวินก้มศีรษะต่ำลงไปอีกหน่อย
“เพคะ” นางเอ่ย
ไหวอ๋องเรอออกมาอีกครั้ง องค์หญิงจิ่วหลีป้อนยา ป้อนยาเสร็จเงยหน้ามองคุณหนูจวิน
คุณหนูจวินก็กำลังมองนางอยู่
สายตาสบกัน องค์หญิงจิ่วหลียิ้มเล็กน้อย
“ชื่อนี้ น่าฟังนัก” นางเอ่ย
คุณหนูจวินในใจฝาดเฝื่อน มุมปากโค้งขึ้นยิ้มเล็กน้อยด้วย
“เพคะ ขอบพระทัยองค์หญิง” นางเอ่ย หลุบสายตาลงกดนวดไหวอ๋องให้ยาไหลลื่นอีกครั้ง
องค์หญิงจิ่วหลีไม่เอ่ยวาจาอีกสายตาจับอยู่บนร่างไหวอ๋องใหม่อีกครั้ง มือที่โอบเขาอยู่ตบหัวไหล่ของเขาเบาๆ
เมื่อป้อนยาลงไปอีกครั้ง คุณหนูจวินจึงเงยหน้าขึ้น
“บรรพบุรุษของข้าตั้งชื่อโรงหมอเพราะหวังว่าทุกคนจะอายุยืนยาว” นางเอ่ย
องค์หญิงจิ่วหลีมองนาง สีหน้าอ่อนโยน
“ดังนั้น ข้าจึงหวังว่าองค์ชายไหวอ๋องจะอายุยืนยาว” คุณหนูจวินเอ่ย
องค์หญิงจิ่วหลียิ้มแล้ว
“ขอบคุณคำอวยพรของเจ้า” นางตอบ
……………………………………….