ภาค 2 บทที่ 199 ถามชื่อแซ่ของเจ้า

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

บทที่ 199 ถามชื่อแซ่ของเจ้า โดย Ink Stone_Romance

คำอวยพรนี้เป็นจริงเร็วยิ่งนัก

ผ่านไปอีกหนึ่งคืน ยามเช้าตรู่มาเยือน คุณหนูจวินผู้กึ่งนั่งอยู่ข้างเตียงไม่รู้เวลาใดเหน็ดเหนื่อยจนงีบหลับไปก็ถูกคนเขย่าหัวไหล่

นางจับมือที่แตะโดนหัวไหล่ไว้โดยไม่ทันรู้ตัว

“คุณหนูจวิน”

เสียงผู้หญิงอ่อนโยนดังขึ้นข้างหูพร้อมกัน

ท่านพี่

คุณหนูจวินอาศัยมือที่จับองค์หญิงจิ่วหลีอยู่ยืนขึ้นมา ปล่อยกำไลที่กำลังเปิดออกลงไป

เพราะลุกขึ้นกะทันหันเกินไป พริบตาหนึ่งจึงวิงเวียนอยู่บ้าง

มือขององค์หญิงจิ่วหลีประคองนางไว้อีกครั้ง

คุณหนูจวินยืนตั้งหลักได้ ยื่นมือกดหน้าผาก

“องค์หญิง ขออภัย หม่อมฉันเผลอหลับแล้ว” นางเอ่ยท่าทางรู้สึกผิดและวิตก

“เจ้าเฝ้ามาหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว” องค์หญิงจิ่วหลีเอ่ย

ความหมายคือไม่กล่าวโทษที่นางหลับ

เช่นเดียวกับองค์หญิงและสตรีสูงศักดิ์ทั้งหมด นางเอ่ยวาจาเพียงครึ่งหนึ่งเช่นกัน

เอ่ยว่าอภัยหรือเคืองแค้นอีกฝ่ายออกมาจากปากตนเองนั่นล้วนเป็นท่าทางอันไร้ความงามอย่างยิ่ง

ก่อนหน้านี้นางมองเห็นสิ่งนี้ไม่คุ้นชินเสียที หาโอกาสได้ต้องตั้งตัวเป็นศัตรูกับท่านพี่เสมอ

ตอนนี้ได้ยินคำพูดเช่นนี้กลับรู้สึกคุ้นเคยอย่างยิ่ง

คุณหนูจวินยิ้ม หันหน้าไปมองไหวอ๋อง

องค์หญิงจิ่วหลีไม่มีทางปลุกนางตื่นโดยไร้สาเหตุ ยิ่งไม่มีทางกล่าวโทษนางท่านหมอคนนี้ว่าเกียจคร้านนอนหลับ ต้องเป็นเรื่องของไหวอ๋องแน่

ไหวอ๋องยังคงหลับไหลเหมือนเดิม แต่ดูไปแล้วหลับสนิทกว่าวันก่อนๆ

คุณหนูจวินรีบยื่นมือไปสำรวจที่หน้าผากของไหวอ๋อง

“ข้ารู้สึกว่าไม่ร้อนขนาดนั้นแล้ว” องค์หญิงจิ่วหลีที่อยู่ด้านข้างเอ่ยขึ้น

แต่เหมือนที่ไหน ใช่แน่แท้

คุณหนูจวินยื่นมือจับชีพจร รอยยิ้มบนหน้าคลายไป นางอดไม่ได้ก้มตัวลงไปแนบหน้ากับใบหน้าของไหวอ๋อง

เจ้าตัวเล็ก ในที่สุดเจ้าก็ทนผ่านด่านหนึ่งมาได้แล้ว

“ไข้ลดแล้วรึ?”

เสียงของลู่อวิ๋นฉีดังขึ้นด้านหลัง ท่าทางก็อดนอนมานานแล้วเช่นกัน เสียงแหบพร่าอยู่บ้าง

คุณหนูจวินลุกขึ้นยืน องค์หญิงจิ่วหลีรั้งสายตากลับมาจากบนตัวนาง มองไปทางไหวอ๋อง

“ใช่ ไข้ลดแล้ว” คุณหนูจวินเอ่ย

“ถ้าอย่างนั้นก็หายแล้วหรือ?” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ยถาม

คุณหนูจวินไม่ได้เอ่ยวาจา หนิบหีบยาด้านข้างเปิดออก

ลู่อวิ๋นฉีมองหีบยาของนาง ด้านในไม่ใช่แบบที่ท่านหมอมักใช้ แต่เป็นช่องเล็กกะทัดรัดเรียงรายอยู่เต็ม เมื่อมือคุณหนูจวินแตะกดก็มีช่องหนึ่งเปิดออก ด้านในใส่ขวดยาใบหนึ่งไว้

หีบยาที่ทำเอาไว้ประณีตเช่นนี้กลับซ่อนกลไลเอาไว้ คนนอกหยิบไปเกรงว่าชั่วเวลาหนึ่งคงเปิดไม่ออก

คุณหนูจวินไม่สนใจลู่อวิ๋นฉีที่สำรวจหีบยาของนาง เทยาลูกกลอนเม็ดหนึ่งในขวดแยกออกมา ประคองไหวอ๋อง องค์หญิงจิ่วหลีส่งน้ำมาแล้ว มองดูคุณหนูจวินป้อนยาลูกลอนเข้าไป

“ดีขึ้นมากแล้วจริงๆ ยาลูกกลอนก็กลืนลงไปเองได้แล้ว” นางเอ่ย คำพูดแม้เอ่ยเช่นนี้ สีหน้าของนางกลับไม่ได้มีความตื่นเต้นดีใจสักเท่าไร ราวกับคุ้นชินจนเฉยชา กระทั่งความตื่นเต้นดีใจก็ทำไม่เป็นแล้ว

“ยังไม่หายดี เพียงแค่ไม่ต้องห่วงชีวิตเท่านั้น” คุณหนูจวินเอ่ย “ตื่นขึ้นมายังต้องรออีกช่วงเวลาหนึ่ง”

พูดจบก็หิ้วหีบยาขึ้น

“ข้าไปปรุงยาอีก”

ข่าวไหวอ๋องไข้ลดอาการดีขึ้นแพร่ออกไปอย่างรวดเร็วยิ่งนัก

บรรดาหมอหลวงสีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไรนัก

“ไข้ลดไม่นับว่ารักษาหาย” พวกเขาเอ่ย

แต่สามวันให้หลังข่าวไหวอ๋องได้สติ ทำให้พวกเขาหมดคำพูดอย่างสิ้นเชิง

หรือว่ารักษาหายได้จริงๆ? นี่เพิ่งเจ็ดแปดวันเท่านั้นเองนะ

“องค์ชาย?”

คุณหนูจวินยื่นมือออกมาแกว่งหน้าไหวอ๋อง

“มองเห็นชัดไหมเพคะ?”ไหวอ๋องกลอกลูกตา ไม่ได้มองมือนาง แต่มองมาทางนาง

“เจ้าเป็นใครกัน?” เขาเอ่ยถาม

เพราะเพิ่งฟื้นขึ้นมาเสียงจึงอ่อนระโหยโรยแรง แทบจะไม่ได้ยิน

คุณหนูจวินมองเขาทั้งดีใจทั้งเสียใจ อดไม่ได้ยื่นมือลูบไล้ใบหน้าของเขา

“นี่คือท่านหมอที่รักษาเจ้าหาย คุณหนูจวิน” จิ่วหลีที่อยู่ด้านหน้าเอ่ยขึ้น นั่งลงลูบหน้าผากของไหวอ๋อง

คุณหนูจวินเก็บสีหน้าไว้ ใช่สิ นางเป็นหมอ ทำได้เพียงเผยสีหน้าผ่อนคลายของท่านหมอออกมาเท่านั้น ไม่ใช่ความรักลึกซึ้งระหว่างพี่สาวกับน้องชายอย่างองค์หญิงจิ่วหลีเช่นนี้

ไหวอ๋องไม่ได้มองไปทางนางอีก หันหน้ามองจิ่วหลี

“ท่านพี่” เขาร้องเรียกเหมือนอยากร้องไห้ “ข้าฝันเห็นท่านกับ…ท่านมาอยู่เป็นเพื่อนข้าแหนะ”

เขาพูดว่าท่านกับ…ท่าน เหมือนเด็กน้อยตะกุกตะกัก แต่คุณหนูจวินกลับฟังแล้วใจเต้น

บางทีที่เขาอยากพูดก็คือท่านกับพี่รอง

จิ่วหลีราวกับไม่สังเกต เพียงแค่ลูบหน้าของเขา

“ไม่กลัว ไม่กลัว” นางว่า “พี่สาวอยู่นี่นะ”

ไม่ได้ดีใจจนร้องไห้แล้วก็ไม่ได้ยิ้มเพราะเสียไปแล้วได้กลับมา พี่สาวน้องชายสองคนอิงพิงกันเหมือนสิ่งใดล้วนไม่เคยเกิดขึ้น ไหวอ๋องเป็นเพียงเด็กน้อยคนหนึ่งที่ฝันร้ายสะดุ้งตื่นแล้วได้พี่สาวปลอบประโลม

ได้รู้ว่าไหวอ๋องได้สติ คนในวังรีบมาเยี่ยมทันที หลังคุณหนูจวินให้พวกเขาแสดงความเป็นห่วงจากคนเช่นฮ่องเต้ไทเฮาฮองเฮาที่มีต่อไหวอ๋องแล้ว ก็แนะนำผู้สูงศักดิ์เหล่านั้นยังคงไม่ต้องมาเยี่ยม

“องค์ชายเพียงได้สติเท่านั้น ยังไม่หายดี หากติดไปถึงผู้สูงศักดิ์เหล่านั้นย่อมไม่ดีแล้ว” นางเอ่ย

คำพูดนี้ทำบรรดาขันทีรีบขอตัวถอยออกไปจากวังไหวอ๋อง

จิตใจของไหวอ๋องดีขึ้นทุกที เพราหลังได้สติทานยาจึงสะดวกขึ้น

เมื่อเข้าสู่ช่วงเดือนสิบสอง ไหวอ๋องก็ลงจากเตียงเดินได้หลายก้าวแล้ว องค์หญิงจิ่วหลีนั่งอยู่ข้างเตียง มองไหวอ๋องที่เดินกลับไปมาหลายก้าว ใบหน้าแย้มยิ้ม

“ท่านพี่ ข้าหิวแล้ว” ไหวอ๋องเอ่ย ดึงมือขององค์หญิงจิ่วหลี

องค์หญิงจิ่วหลียิ้มจูงเขาเดินไปบนเตียงอีกด้านหนึ่งช้าๆ ที่นี่วางโต๊ะเตาไว้แล้ว

“ยกสำรับมาเถอะ” นางสั่งบรรดานางกำนัลแล้วนั่งลง

ไม่ว่าเวลาอาหารหรือไม่ หลายวันนี้องค์หญิงจิ่วหลีล้วนกินด้วยกันอยู่ด้วยกันกับไหวอ๋อง

มองอาหารที่ยกมา องค์หญิงจิ่วหลีหยิบถ้วยตะเกียบก่อน ไหวอ๋องก็ดีใจเตรียมกินด้วย คุณหนูจวินยกถ้วยยาเข้ามามองเห็นภาพนี้รีบห้าม

“องค์ชาย ข้าขอดูก่อนว่าอาหารนี่เสวยได้หรือไม่” นางเอ่ย

บรรดานางกำนัลด้านข้างเสตาหลบ

ตั้งแต่หลังไหวอ๋องทานอาหารได้ คุณหนูจวินคนนี้ทุกมื้อต้องดูต้องชิม

หมายความว่าอย่างไรกัน? หรือกลัวมีคนใส่ยาพิษรึ?

“องค์ชายกำลังเสวยโอสถอยู่ ต้องเลี่ยงของต้องห้าม” คุณหนูจวิน

“คุณหนูจวินบอกของต้องห้ามให้พวกเราได้หรือไม่ พวเราจะได้สะดวกหลบเลี่ยงด้วย” นางกำนัลคนหนึ่งอดไม่ได้เอ่ยขึ้น

คุณหนูจวินกำลังจดจ่อใช้ตะเกียบค่อยๆ ชิมอาหารที่ส่งมาทีละอย่าง ได้ยินก็มองนางกำนัลคนนั้นทีหนึ่ง

“มากเกินไป” นางเอ่ย “ทุกวันล้วนเปลี่ยนแปลง ไม่สะดวกบอก”

นางเป็นท่านหมอนางพูดเป็นเด็ดขาด นางกำนัลได้แต่หุบปากแล้ว

“เอาล่ะ เสวยได้แล้ว” คุณหนูจวินตรวจสอบเสร็จก็ยิ้มเอ่ย วางถ้วยยาไว้บนโต๊ะ “เสวยพระกายาหารเสร็จก็เสวยโอสถได้”

องค์หญิงจิ่วหลียิ้ม ไม่ได้ห้ามปรามการกระทำของคุณหนูจวินแต่ก็ไม่ได้ชมเชย เหมือนกับเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลหรือเป็นเรื่องอย่างไรก็ได้

ทานอาหารกับยาเสร็จ ไหวอ๋องก็วิ่งวุ่นหลับไป ส่วนองค์หญิงจิ่วหลีนั่งอยู่ข้างเตียงเหมือนเช่นทุกที หยิบเข็มด้ายขึ้นมา

ยังเหมือนเมื่อก่อนไม่ผิด วันวันเย็บปักถักร้อย ทำทั้งปีก็ไม่เห็นนางทำอะไรออกมาได้

คุณหนูจวินยืนอยู่ด้านข้างมององค์หญิงจิ่วหลีเหม่อลอยนิดๆ

แต่สำหรับท่านพี่แล้วนอกจากเย็บปักแล้วยังทำอะไรได้อีกเล่า

“เจ้าชื่ออะไร?” ทันใดนั้นองค์หญิงจิ่วหลีก็เอ่ยถาม

คุณหนูจวินที่เหม่อลอยอยู่ถูกถามงงงันไปครู่หนึ่ง สบสายตาองค์หญิงจิ่วหลี

องค์หญิงจิ่วหลีเพียงมองนางทีหนึ่งก็ก้มศีรษะเย็บปักต่อ เหมือนกับคุยเล่นเรื่อยเปื่อย

หลายวันนี้พวกนางคุยเล่นกันน้อยนัก องค์หญิงจิ่วหลีไม่ใช่คนชอบพูดโดยเฉพาะไถ่ถามผู้อื่น ส่วนนางไม่พูดได้ก็ไม่พูด อย่างไรที่นี่อยู่ใต้หนังตาของฮ่องเต้กับลู่อวิ๋นฉี แล้วยังเผชิญหน้ากับครอบครัวที่ตนเองคิดถึงอยู่ทุกวี่วัน

ความแค้นปกปิดได้ ความอ่อนโยนและความคิดถึงยากปกปิดนักจริงๆ

คิดไม่ถึงคุยเล่นขึ้นมา องค์หญิงจิ่วหลีก็เอ่ยถามคำถามนี้

ทำไมนางต้องถามชื่อตนล่ะ? ใช่สังเกตอะไรได้ อยากพิสูจน์บางอย่างหรือไม่?

ถ้าอย่างนั้นนางเล่า? ต้องปกปิดอะไรไหม?

ไม่จำเป็น

อย่างไรชื่อนี้ที่นางใช้ก็เพื่อวันนี้ ให้คนที่อยากลืมเลือนและคนที่ไม่อยากลืมเลือนตนเองเหล่านั้น จดจำชื่อนี้ได้อีกครั้ง

คุณหนูจวินมององค์หญิงจิ่วหลี

“ข้าชื่อจิ่วหลิง” นางเอ่ย

มือที่ถือเข็มขององค์หญิงจิ่วหลีชะงักเงยหน้ามองไปทางคุณหนูจวิน

“จวินจิ่วหลิง” คุณหนูจวินเอ่ยต่อ

องค์หญิงจิ่วหลีมองนางยิ้มเล็กน้อย ก้มศีรษะแทงเข็มร้อยด้ายต่ออีกครั้ง

“บังเอิญจริง” นางเอ่ย “ข้ามีน้องสาวคนหนึ่ง ก็ชื่อจิ่วหลิง”

“งั้นหรือเพคะ บังเอิญขนาดนี้” คุณหนูจวินเอ่ย หลุบสายตาลง

เสียงขององค์หญิงจิ่วหลีหยุดชะงักไป

“แต่” นางเอ่ยแล้วถอนหายใจ “นางไม่ได้ว่านอนสอนง่ายเช่นนี้อย่างเจ้า นางเป็นเด็กที่ทำให้คนปวดหัวนักคนหนึ่ง”

มั่วแล้ว ไม่ใช่สักหน่อย ว่าร้ายนางอีกแล้ว

คุณหนูจวินหลุบสายตาเบ้ปาก ในดวงตากลับมีน้ำแวววาวไหลคลอ

……………………………………….