บทที่ 200 เวลาไม่คอยท่า โดย Ink Stone_Romance
นางจะเป็นเด็กที่ทำให้คนปวดหัวได้อย่างไร?
นางเป็นเด็กว่านอนสอนง่ายรู้ความมากคนหนึ่งชัดๆ เพียงแต่ท่านพี่แต่ไหนแต่ไรไม่ชอบนางเท่านั้น
คุณหนูจวินหลุบตา ลำคอขัดเคืองอยู่บ้าง
องค์หญิงจิ่วหลีกลับไม่ได้พูดต่อ
ที่จริงข้าก็ทำให้คนปวดหัวมากเหมือนกัน“ คุณหนูจวินกลับไม่อยากจบหัวข้อสนทนานี้ นางเป็นฝ่ายเอ่ย “น้องสาวขององค์หญิง…”
คำพูดยังไม่ทันเอ่ยจบด้านหลังร่างเสียงฝีเท้าก็ลอยมา ในเวลาเดียวกันเสียงของลู่อวิ๋นฉีก็ดังขึ้น
“องค์หญิง ไหวอ๋องเป็นอย่างไร?” เขาเอ่ย
คุณหนูจวินหลุบตา
องค์หญิงจิ่วหลีวางเข็มด้ายลงยิ้มมองเขา
“ดีขึ้นมากแล้ว” นางเอ่ย
ลู่อวิ๋นฉีพยักหน้า
“ถ้าอย่างนั้นก็เชิญองค์หญิงกลับบ้านเถิด” เขาเอ่ย
กลับบ้าน?
กลับบ้านอะไร? ที่นี่ถึงเป็นบ้านของนาง
มือของคุณหนูจวินที่ทิ้งอยู่ข้างตัวถูกแขนเสื้อปิดไว้กำหมัด
“องค์ไทเฮาจะส่งคนมาดูแลองค์ชาย” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ย
องค์หญิงจิ่วหลียืนขึ้น
นางไม่ได้ไม่พอใจสักนิด ยิ่งไม่ได้เอ่ยปากสักครึ่งประโยคขอรั้งอยู่ หมุนตัวลูบหน้าผากไหวอ๋อง
“ได้” นางเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นข้าจะกลับไปแล้ว”
ลู่อวิ๋นฉีเบี่ยงกายหลีกทาง
ท่านพี่…
คุณหนูจวินย่อเข่าคำนับองค์หญิงจิ่วหลี
นางก็ไม่อาจไม่พอใจ ยิ่งไม่อาจรั้ง
องค์หญิงจิ่วหลีไม่ได้มองนางอีก ถึงขั้นที่ไม่ได้เอ่ยรบกวนดูแลไหวอ๋องให้ดีสักประโยค
ดูแลไหวอ๋องให้ดีเรื่องนี้ นางไม่มีสิทธิ์และไม่อาจขอร้อง ดีหรือไม่ดี ล้วนไม่ใช่สิ่งที่นางตัดสินได้
คุณหนูจวินมององค์หญิงจิ่วหลีเดินออกมาจากห้องบรรทม จากไปท่ามกลางนางกำนัลกลุ่มหนึ่งห้อมล้อม
ลู่อวิ๋นฉีขวางสายตาของนางไว้ ทีละก้าวๆ เดินเข้าใกล้ ยืนอยู่ตรงหน้านาง กดสายตามองนางอย่างเย็นเยียบ
“เจ้าชื่อจิ่วหลิง” เขาเอ่ยซ้ำรอบหนึ่ง
คุณหนูจวินมองเขายิ้ม
“ใช่ข้าชื่อจิ่วหลิง” นางเอ่ย
ลู่อวิ๋นฉีสีหน้านิ่งสนิท
“จวินเจินเจิน เจ้าทำไมชื่อจิ่วหลิง” เขาเอ่ย
แม้ที่พูดคือคำถาม แต่น้ำเสียงของเขากลับเป็นการบอกเล่า เขาไม่ต้องการคำตอบ เขามีคำตอบแล้ว
หลายวันนี้ไม่ว่าตนเองปกปิดระมัดระวังเท่าใด ในสายตาของลู่อวิ๋นฉีคนขี้ระแวงคนนี้ ตนเองย่อมต้องน่าสงสัยมากแน่
โดยเฉพาะอย่างยิ่งวันนี้องค์หญิงจิ่วหลีเอ่ยถามเช่นนี้ แล้วตนเองยังตอบชื่อนี้ออกมาอีก
ในสายตาของลู่อวิ๋นฉีนี่เป็นการมีเจตนาอื่นอย่างโจ้งแจ้ง ดังนั้นเขาจึงไม่ลังเลไล่องค์หญิงจิ่วหลีไปสินะ
คุณหนูจวินสีหน้าสงบ
“นี่เป็นความปรารถนาก่อนตายของท่านปู่ข้า” นางเอ่ย “ข้าต้องสืบทอดกิจการทำให้โรงหมอจิ่วหลิงเจริญรุ่งเรือง”
ลู่อวิ๋นฉีมองนาง
“เจ้าจะสมหวัง” เขาเอ่ย
เสียงทุ้มนุ่มนี่ฟังแล้วเดิมคงทำให้คนดีใจ แต่ประกอบกับใบหน้านิ่งสนิทดั่งกระเบื้องขาวไม่มีอารมณ์แม้แต่นิดนี่ มีแต่ทำให้คนรู้สึกขนลุกขนชัน
เขาพูดจบก็หมุนกายจากไปแล้ว
คุณหนูจวินยืนอยู่ในห้องบรรทมอันเงียบสงบพรูลมหายใจช้าๆ
ไม่ใช่องค์หญิงจิ่วหลิง ลู่อวิ๋นฉีตรงหน้าน่ากลัวยิ่งนักจริงๆ นางถึงขนาดไม่รู้ว่านาทีต่อไปเขาจะชักดาบฟันตนเองตายหรือไม่
หากเขาคิดจริงๆ ล่ะก็ ถ้าอย่างนั้นเขาก็จะทำเช่นนั้นไม่ลังเลสักนิดแน่นอน
คุณหนูจวินเชื่อจุดนี้โดยไม่สงสัย เหมือนกับครั้งก่อนนอกโรงหมอจิ่งหลิง เขาจะสังหารตนเองตายจริงๆ
นี่เป็นคนน่ากลัวที่นางไม่คุ้นเคยอย่างสิ้นเชิง และไม่อาจควบคุมได้อย่างสิ้นเชิงคนหนึ่ง
…
“ท่านพี่ไปแล้วหรือ?”
ไหวอ๋องที่ตื่นขึ้นมาไม่พบองค์หญิงจิ่วหลี สีหน้าตระหนกอยู่บ้าง แต่ไม่ได้ร้องไห้โวยวาย ทว่าเพียงเสียงสั่นเอ่ยถาม
นางข้าหลวงที่ได้รับคำสั่งมาจากในวังแย้มยิ้มขานรับ
“เพคะ องค์ชาย” พวกนางเอ่ย “องค์หญิงทรงเป็นผู้ที่แต่งงานแล้ว มีบ้านของตนเองต้องดูแล องค์ชายอยู่ที่นี่มีฮ่องเต้กับไทเฮานะเพคะ”
ในดวงตาของไหวอ๋องน้ำตาแวววาว
“อืม ขอบพระทัยฮ่องเต้กับพระอัยยิกา” เขาเอ่ย
เช่นเดียวกับองค์หญิงจิ่วหลี การจัดการใดๆ เขาล้วนยอมรับ ไม่มีทางร้องไห้โวยวายตีโพยตีพายเหมือนเด็กจริงๆคนหนึ่ง
รอยยิ้มบนหน้าบรรดานางข้าหลวงยิ่งเอ็นดู
“องค์ชายรู้ความจริงๆ”
“องค์ชายต้องรีบหายนะเพคะ ไปคารวะฮ่องเต้กับไทเฮา”
“ดูสิเพคะ นี่เป็นขนมที่องค์ชายชอบเสวยที่สุด ไทเฮาให้นำมา”
พวกนางยิ้มเอ่ย ชี้ขนมที่วางอยู่บนโต๊ะ
“องค์ชายอยากชิมไหมเพคะ?”
ไหวอ๋องลุกขึ้นนั่ง แม้ในดวงตายังมีน้ำตาแวววาวอยู่บาง สีหน้ากลับเรียบเฉย เหมือนกับองค์หญิงจิ่วหลีอีกหนึ่งคน
“ได้” เขาเอ่ย ไม่เอ่ยปฏิเสธสิ่งที่จัดการไว้ให้
คุณหนูจวินก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง
“นายหญิง องค์ชายยังเสวยโอสถอยู่ ของหวานเหล่านี้ไม่อาจเสวยได้ชั่วคราว” นางเอ่ย
นางข้าหลวงสองคนมองนางทีหนึ่งร้องอ้อ
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นก็ฟังท่านหมอแล้วกัน” พวกนางยิ้มเอ่ย ส่งสายตาให้นางกำนัลหยิบขนมออกไป “องค์ชายต้องรีบหายดีนะเพคะ ถึงเวลาจะเสวยอะไรก็เสวยอันนั้น”
ไหวอ๋องพยักหน้าอย่างว่าง่าย นอนลงบนเตียง สงบเงียบ
เหมือนกับเด็กน้อยที่ระวังกิริยายามมาเป็นแขกบ้านคนอื่นคนหนึ่ง
“องค์ชาย นอนตลอดไม่ได้นะเพคะ” คุณหนูจวินก้าวเข้าไปเอ่ย “ต้องเดินให้มาก เช่นนี้ถึงยิ่งมีกำลัง”
จนถึงตอนนี้ไหวอ๋องถึงมองมาทางนาง
“เช่นนั้นหรือ?” นางข้าหลวงสองคนเอ่ย มองไหวอ๋องยื่นมือพยุง “ถ้าอย่างนั้นก็ฟังท่านหมอเถอะ”
ไหวอ๋องยิ่งพยักหน้า ลุกขึ้นอย่างเงียบสงบ บรรดานางกำนัลรีบก้าวเข้าไปสวมเสื้อผ้าสวมรองเท้า มองไหวอ๋องเดินช้าๆ ในห้อง
คุณหนูจวินเห็นย่างก้าวของเขามั่นคงกว่าก่อนหน้ามาก ก็หันสายตามองไปด้านนอกห้องบรรทม
“องค์ชาย วันนี้อากาศดี ไปข้างนอกเดินเล่นกันเถอะเพคะ” นางเอ่ย
ไปข้างนอก?
บรรดานางข้าหลวงนางกำนัลมองไปทางคุณหนูจวิน
ไม่กลัวหนาวหรือ?
“องค์ชายอยู่ในห้องนานเกินไปแล้ว ควรไปรับอากาศบ้าง” คุณหนูจวินเอ่ย
เช่นนี้หรือ? ที่นางพูดมีเหตุผลหรือไม่?
นางข้าหลวงสองคนสบกัน น่าจะมีเหตุผลล่ะมั้ง อย่างไรนางก็รักษาไหวอ๋องหาย
นางข้าหลวงสองคนพยักหน้า บรรดานางกำนัลวุ่นวาย สวมอาภรณ์หนาให้ไหวอ๋อง สวมผ้าคลุมสวมหมวก
“ไม่จำเป็นจะต้องเดินเลย นั่งเกี้ยวปรับตัวสักหน่อยก่อนก็ได้” คุณหนูจวินเอ่ย
บรรดานางกำนัลรีบไปให้ขันทีน้อยหามเกี้ยวมา ไหวอ๋องปล่อยให้พวกนางจัดการไม่พูดไม่จา ไม่นานก็ถูกจัดให้นั่งอยู่บนเกี้ยว นางข้าหลวงนางกำนัลกลุ่มหนึ่งพรึบพรับห้อมล้อมแบกออกจากห้องบรรทม
“คุณหนูจวินไปเดินเล่นที่ไหนดีเจ้าคะ?” นางข้าหลวงเอ่ยถาม
เอ่ยถามจบก็รู้สึกว่าคำถามนี้แปลกประหลาดอยู่บ้าง คุณหนูจวินท่านหมอที่มาจากข้างนอกคนหนึ่งทั้งไม่คุ้นเคยกับวังไหวอ๋อง นางจะรู้ได้อย่างไรว่าไปไหน
“เดินไกลสักหน่อยหรือว่าเดินวนใกล้ๆ?” นางข้าหลวงจึงเอ่ยเสริมอีก
คุณหนูจวินเงยหน้ามองรอบด้านทีหนึ่ง ราวกับค้นหาอะไร
“มีสวนดอกไม้หรือเปล่า?” นางเอ่ย “สถานที่โล่งแจ้งพื้นดินมากแล้วมีต้นไม้มากทำนองนั้นเป็นใช้ได้”
นางข้าหลวงร้องอ้อ
“ย่อมมี” นางยิ้มเอ่ย สั่งบรรดาขันทีที่แบกเกี้ยว “ถ้าอย่างนั้นก็ไปสวนหนิงชุ่ยแล้วกัน ที่นั่นไม่ไกลจากที่นี่และต้นไม้เก่าแก่มาก”
บรรดาขันทีขานรับยกเกี้ยวก้าวเดิน
“คุณหนูจวินท่านก็ตามมาด้วยกันเถอะ” นางข้าหลวงมองคุณหนูจวินที่ยืนอยู่ด้านข้างอีกครั้ง “อย่างไรองค์ชายก็เพิ่งดีขึ้น ท่านอยู่ข้างกายติดตามทุกคนย่อมวางใจ”
คุณหนูจวินขานรับหิ้วหีบยาก้าวช้าๆ ติดตามอยู่ท้ายขบวน
สวนหนิงชุ่ยไม่ใช่สวนดอกไม้ที่ใหญ่ที่สุดของวังไหวอ๋อง แล้วก็ไม่ใช่ที่ใกล้ห้องบรรทมของไหวอ๋องมากที่สุด พูดให้ชัดเป็นสถานที่ซึ่งระยะทางใกล้กับห้องบรรทมขององค์หญิงจิ่งหลิงมากที่สุด
ดอกไม้ต้นหญ้าไม่มาก ที่มากคือต้นไม้โบราณสูงเสียดฟ้า คุณหนูจวินมองเห็นต้นไม้เก่าแก่ที่หนาที่สุดต้นนั้นแต่ไกล ข้างล่างต้นไม้ยังมีชิงช้าอยู่อันหนึ่ง
ปีนั้นที่เพิ่งย้ายเข้ามาในวังไหวอ๋อง นางมักจะนั่งอยู่บนชิงช้าแกว่งไกวเอื่อยเฉื่อย ด้านข้างต้นไม้ฝังอดีตของอาจารย์รวมถึงตนเองเอาไว้
ลู่อวิ๋นฉีสงสัยแล้ว ท่านพี่ถูกไล่ไปแล้ว ตนเองก็ถูกไล่ไปได้ตลอดเวลาดังนั้นต้องรีบเอาจดหมายของอาจารย์ที่ฝังซ่อนเอาไว้ออกมาให้เร็วที่สุด
……………………………………….