บทที่ 929 ความโง่ไม่มียาใดรักษาหาย

แฟนผมกลายเป็นซอมบี้

“ไม่ใช่คนก็ดีสิ ถ้าไม่ใช่คนก็จะไม่ดูถูกเรา…แต่ว่า เธอกล้าทำน้องเจ็บ! ดูตรงนี้สิ แขนถลอกหมดแล้ว…เข่าก็เลือดออก…โอ๊ยๆๆ! แผลเยอะเกินไปแล้ว! ทำยังไงดี? น้องเจ็บมากไหม?!”

“หึหึ ไม่เป็นไรน่า! เรื่องแค่นี้จิ๊บๆ อย่างมากน้องแค่ทำให้เธอเจ็บกว่านี้สิบเท่าร้อยเท่าก็ได้ พี่คิดว่าไง?”

“ดี ผีเสื้ออยากทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น”

“แต่ยิ่งสู้กับเธอ น้องก็ยิ่งชอบเธอมากขึ้น ยังไงจับเธอมาเป็นตุ๊กตาของเราดีกว่าไหม? เธอน่าจะเน่าสลายช้ามากไม่ใช่หรอ? จะว่ายังไงดีล่ะ…คู่ต่อสู้ที่น่าสนใจขนาดนี้ ถ้าทิ้งไว้ข้างนอกเฉยๆ ก็น่าเสียดายเกินไป อีกอย่าง ตอนนี้เธอก็หน้าตาเหมือนตีกตาเลยไม่ใช่หรอ?”

“น้องชอบก็ดีทั้งนั้น…”

ถ้าหากไม่ใช่ว่าเห็นกับตาตัวเอง หรือว่าได้ยินแค่เสียงล่ะก็ คงยากจะจินตนาการได้ว่าบทสนทนานี้ ออกมาจากปากของคนคนเดียวกัน

ไม่ว่าจะเป็นเสียงผู้ชายหรือเสียงผู้หญิง ไม่มีความเสแสร้งแกล้งทำแฝงอยู่เลยแม้แต่น้อย ทั้งเสียงพูด โทนเสียง และนิสัยที่แสดงออกมา ล้วนแตกต่างกันอย่างชัดเจน เทียบกับน้ำเสียงประคบประหงมและลุ่มหลงจนคลั่งของผู้ชาย น้ำเสียงของผู้หญิงแสดงออกถึงความเอาแต่ใจและป่าเถื่อน แค่ได้ยินเธอพูดประโยคน่ากลัวพวกนั้นด้วยเสียงกระเหง้ากระงอด ก็ทำให้ขนลุกชันได้แล้ว

เวลานี้ ในที่สุดรูปร่างของคนคนนั้นก็ปรากฏชัดเจน แวบแรกที่เห็นรูปร่างหน้าตาของคนคนนั้น หลิงม่อกลับไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไร แต่ถังฮ่าวกลับหน้าเปลี่ยนสีไปทันที เขาหยุดพึมพำกับตัวเอง และจ้องเงาร่างนั้นด้วยสายตาเหม่อๆ ราวกับถูกภาพตรงหน้าทำให้ตะลึงค้าง

ขณะที่กำลังฟัง “บทสนทนา” ของพวกเขา ความจริงถังฮ่าวยังแอบตั้งความหวังไว้ในใจลึกๆ…ถึงจะเจ็บตัว แต่อย่างมากก็คงแค่แผลถลอกล่ะมั้ง? ถึงแม้สถานการณ์ในตอนนี้จะดูไม่ค่อยดีนัก แต่ก็ยังไม่แน่ว่าใครจะเป็นฝ่ายได้เปรียบนี่…

แต่ตอนนี้พอเห็นสารรูปของพี่ฉี (ผีเสื้อ) ความหวังสุดท้ายของถังฮ่าวก็พังทลายลงในพริบตา…นั่นมันเรียกว่าบาดแผลได้ที่ไหนกัน…มันเรียกว่าบาดเจ็บสาหัสเลยต่างหากเล่า! พูดอย่างกับเป็นแค่แผลถลอก แต่ไอ้สภาพเลือดท่วมตัวนี่มันอะไรกัน!

ทว่าเมื่อเขาเลื่อนสายตาขึ้นไปมองที่ใบหน้าพี่ฉี กลับต้องตะลึงค้างไปอีกครั้ง เทียบกับสภาพร่างกายอันสะบักสะบอม ใบหน้าของเขากลับน่ากลัวยิ่งกว่า…

“ใบหน้าเขานั่นมัน…” ถังฮ่าวพูดเสียงตะกุกตะกัก

“เป็นอะไรไป?” หลิงม่อถามโดยไม่หันไปมอง เขากำลังขมวดคิ้วมองคนคนนั้นอยู่ ขณะเดียวกันก็กำลังสัมผัสรู้ถึงตำแหน่งของอวี๋ซือหราน ตั้งแต่ได้ยินเรื่องของอวี๋ซือหราน เขาก็ดูใจเย็นมาโดยตลอด ซึ่งความจริงเป็นเพราะสายสัมพันธ์ของเขากับเฮยซือไม่ได้มีอะไรผิดปกติ ดังนั้นไม่ว่าถังฮ่าวจะพูดให้กลัวยังไง หลิงม่อก็ไม่หลงกล

แต่ตอนนี้พอมาถึงที่เกิดเหตุ เขากลับรู้สึกได้ว่าการต่อสู้ครั้งนี้รับมือยากกว่าที่คิดไว้มาก สิ่งที่ต่างจากความคิดของถังฮ่าวก็คือ ถึงแม้หลิงม่อจะเห็นบาดแผลของพี่ฉีแล้วเหมือนกัน แต่สภาพดวงจิตของคนคนนี้กลับดีมากอย่างหาได้ยาก พูดได้ว่าสถานการณ์อย่างนี้ไม่ค่อยปกติ แต่ในขณะเดียวกันก็หมายความว่าเขาจะไม่มีทางล้มง่ายๆ แน่นอน

การต่อสู้ ยังไม่จบ…

ถังฮ่าวพูดต่อ “ผีเสื้อตัวนั้น…นั่นมัน” ขณะที่เขากำลังพูด หลิงม่อก็ได้พยักหน้า บ่งบอกว่าสังเกตเห็นแต่แรกแล้ว และน้ำเสียงของถังฮ่าวก็ทำให้เขารู้สึกได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง “เมื่อก่อนมันไม่ได้เป็นสีนั้น…”

รอยแผลเป็นรูปผีเสื้อที่อยู่กลางหว่างคิ้ว และแทบจะกลืนกินพื้นที่ใบหน้าเกือบครึ่งของพี่ฉีตัวนั้น…เวลานี้กลับกลายเป็นสีแดงโลหิต! แวบแรก เหมือนมีผีเสื้อตัวหนึ่งกำลังจะโผล่ออกมาจากตัวเขาจริงๆ!รอยนูนและรอยย่นของรอยแผลเป็น ทำให้ผีเสื้อเปลี่ยนสีตัวนี้ยิ่งดูประหลาดและกระหายเลือดมากกว่าเดิม กระทั่งทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่างมาก

ไม่เพียงเท่านี้ บริเวณรอบๆ รอยแผลเป็น ยังมีเส้นเลือดเล็กๆ มากมายกระจายอยู่ทั่วอีกด้วย การเปลี่ยนแปลงที่แปลกประหลาดนี้ ยิ่งทำให้ผีเสื้อตัวนั้นราวกับมีชีวิตขึ้นมาจริงๆ นอกจากนี้ ดวงตาทั้งสองข้างของพี่ฉีแดงก่ำและเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย และตำแหน่งที่แดงก็เป็นจุดที่ปีกผีเสื้อคู้นั้นสยายออกไป…เทียบกับรอยสักนั้น รูปร่างหน้าตาในตอนแรกของเขาธรรมดาไปเลยทีเดียว ทว่าถึงแม้อย่างนั้น ก็ยังดูออกว่าความจริงแล้วเขาเป็นคนหน้าหวานมาก บวกกับหุ่นที่ผอมมากอยู่แล้ว จึงทำให้แยกแยะได้ยากว่าเป็นหญิงหรือชายกันแน่

แต่ในขณะที่เสียงของเขาเกิดการสับเปลี่ยนเพศ พฤติกรรมและลักษณะท่าทางของเขาก็จะเปลี่ยนไปด้วย และไม่ว่าจะมองอย่างไร ก็ไม่อาจเห็นช่องโหว่ใดๆ ทั้งสิ้น เพียงแต่การสับเปลี่ยนอันสมบูรณ์แบบนี้ กลับยังคงทำให้รู้สึกประหลาดยังไม่อาจเลี่ยงได้

“จะว่าไปแล้ว ดูเหมือนว่าผีเสื้อจะมีลักษณะของการรวมเพศให้เห็นชัดเจนกว่านะ…” อยู่ๆ หลิงม่อก็พูดขึ้นเสียงเบา ดูจากสถานการณ์ตรงหน้า บางทีเรียกคนคนนี้ว่า “ผีเสื้อ” คงจะเหมาะกว่า

ขณะเดียวกัน หลิงม่อกับถังฮ่าวก็สังเกตเห็นแขนของผีเสื้อ เมื่อมองตามเลือดสีแดงฉานที่ไหลลงไปตามแนวแขน ก็จะเห็นว่าบนหลังมือและแขนอันขาวซีดของเขาก็มีรอยสักรูปผีเสื้อโผล่ขึ้นมามากมายเหมือนกัน ผีเสื้อเหล่านั้นทับซ้อนกันอยู่หลายชั้น และลากยาวไปจนถึงบริเวณหัวไหล่ของเขา

“นี่ก็คือพลังกลายพันธุ์ของเขา…” หลิงม่อลอบคิด

“หึหึ มีคนมาอีกแล้ว” เวลานี้ ผีเสื้อพลันบิดคอหันมาทางหลิงม่อกับถังฮ่าวโดยไม่มีสัญญาณบ่งบอกล่วงหน้า แม้อยู่ห่างกันขนาดนี้ แต่หลิงม่อกลับรู้สึกราวกับผีเสื้อตัวนั้นกำลังขยับปีกใส่เขา ดวงตาที่อยู่บนปีกคู่นั้น สะท้อนความโหดร้ายและเจ้าเล่ห์ออกมาจากส่วนลึก เสมือนล็อกเป้าสายตามาที่ตัวเขาในทันที

นี่มันไม่ใช่คนแล้ว แต่เป็นผีเสื้อยักษ์ในร่างคนชัดๆ!

หลิงม่ออดรู้สึกหนังศีรษะชาไม่ได้ แต่ไม่นานกลับได้ยินเสียงถังฮ่าวตะโกนเรียก “พี่ฉี…อ๊ากก!”

ไม่รอให้หลิงม่อพูดอะไร เสี่ยวป๋ายสะบัดร่างถังฮ่าวไปมาทันที การเคลื่อนไหวที่ดูเหมือนไม่ได้ตั้งใจนี้กลับนำมาซึ่งความเจ็บปวดแสนสาหัสแก่ถังฮ่าว ทำให้เขาลั่นร้องด้วยความเจ็บปวดขึ้นมาอย่างกลั้นไม่ไหว

“ถ้าฉันไม่บอกให้แกพูด แกก็อยู่นิ่งๆ จะดีกว่า” หลิงม่อพูดเสริมด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

ส่วนผีเสื้อกลับมองดูเหตุการณ์นี้ด้วยรอยยิ้ม ทั้งไม่คิดห้ามปราม และไม่คิดถามไถ่

เมื่อเสียงร้องของถังฮ่าวดังก้องไปพื้นที่กว้างแห่งนี้ ทันใดนั้นเสียงของใครอีกคนพลันดังขึ้น

“แกนี่ฆ่าไม่ตายจริงๆ สินะ”

เสียงใสๆ ของอวี๋ซือหรานดังมาจากด้านหลังของพวกหลิงม่อ หลิงม่อได้ยินก็หันไปมอง เห็นซอมบี้โลลิตัวนั้นกำลังห้อยหัวลงมาจากอาคารที่พักหลังหนึ่งพอดี เธอห้อยตัวอยู่กลางอากาศ สองมือลู่ลงข้างลำตัว มือข้างหนึ่งเปื้อนเลือดเต็มไปหมด พอหันไปเห็นรูแผลขนาดใหญ่ตรงหน้าอกของผีเสื้อ หลิงม่อก็ถอนหายใจโล่งอกออกมาทันที

โชคดี ซอมบี้โลลิตัวนี้ไม่ได้รับบาดเจ็บ…ทว่าถึงแม้อย่างนั้น ใบหน้าของเธอกลับแดงซ่านขึ้นอย่างผิดปกติ แม้แต่เฮยซือที่อยู่รอบคอเธอก็ยังดูเซื่องซึมกว่าปกติ ไม่น่าล่ะหลิงม่อถึงสลับมุมมองสายตาไม่ได้ ตอนแรกเขานึกว่เป็นเพราะพวกเธอกำลังอยู่ระหว่างการต่อสู้ แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะเป็นเพราะใช้พลังมากเกินไป

สามารถทำให้ซอมบี้ชนชั้นสูงและสัตว์กลายพันธุ์ตัวหนึ่งเหนื่อยหอบถึงขนาดนี้ได้ ความหวาดกลัวที่หลิงม่อมีต่อผีเสื้อตัวนี้ พลันเพิ่มขึ้นหนึ่งระดับทันที

“อ๊ะ…นายมนุษย์ไส้กรอก!” ที่จริงอวี๋ซือหรานเห็นหลิงม่อตั้งแต่แรกแล้ว แต่กลับยังทำเป็นตะโกนเรียกเสียงดังด้วยท่าทางโอเวอร์ เธอยกนิ้วขึ้นบีบจมูกแล้วบอกว่า “ผีเสื้อตัวนี้เหม็นมาก ทำเอาฉันแทบจะไม่ได้กลิ่นอะไรแล้วเนี่ย! แต่ฉันก็รู้แหละว่านายมาแล้ว แค่ไม่คิดว่าจะมายืนอยู่ตรงนี้แล้วเท่านั้นเอง! อ๊ะ ฉันรู้ล่ะ นายตามหาฉันผ่านเฮยซือ…”

“ข้อมูลที่เป็นผลร้ายอย่างนี้ไม่จำเป็นต้องตะโกนออกมาเสียงดังก็ได้นะ! อีกอย่างเธอขายข้อมูลของตัวเองฉันไม่ว่า ทำไมต้องขายฉันด้วยเล่า!” หลิงม่อพูดไม่ออกทันที

ทว่าหลังจากที่อวี๋ซือหรานพูดจบ เธอกลับหันไปมองผีเสื้อ แล้วขมวดคิ้วพูดอย่างเย็นชา “แกบอกว่าจะทำฉันเจ็บกว่าเป็นสิบเป็นร้อยเท่าไม่ใช่หรอ? ฉันรออยู่นี่แล้วไง”

“เออะ…” หลิงม่อชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็คิดอย่างชื่นใจ “ไม่คิดว่ายัยเด็กโง่นี่จะรู้จักใช้ประโยชน์จากข้อดีของตัวเองแล้ว…ไม่ว่าอีกฝ่ายจะแกร่งอีกแค่ไหน แต่ก็ไม่มีทางลอยตัวหรือกระโดดกระเด้งไปมากลางอากาศได้อย่างเธอหรอก แต่ว่า…”

คิดมาถึงตรงนี้ อยู่หลิงม่อกลับยกมือขึ้นกุมหน้าผากบอกว่า “ทำไมเธอถึงไม่ตามหาพื้นที่ที่มีซอมบี้ชุกชุมไปเลยเล่า…”

สำหรับซอมบี้ สถานที่ที่จะจัดการกับมนุษย์ได้ง่ายที่สุด ก็คือพื้นที่ที่พวกเดียวกันรวมตัวกันอยู่ไม่ใช่หรอไง?!

ยัยเด็กไง่คนนี้นี่…

—————————————————————————–