ตอนที่ 640

Elixir Supplier

640 หมอที่ยอดเยี่ยม มองดูพลังฉี

 

“ถ้าคุณรับการรักษาต่อไปเรื่อยๆ คุณก็จะหายได้ครับ” หวังเย้าพูด

 

“ค่ะ” เวินหว่านพูด

 

ท้องฟ้าที่มืดมนก่อนหน้านี้ ตอนนี้มันกลับเต็มไปด้วยแสงตะวันที่สว่างไสว ขอแค่ชีวิตเต็มไปด้วยความหวัง ทุกอย่างก็จะสดใส

 

หวังเย้ามีคนไข้จำนวนมาก เขารักษาคนไข้รายสุดท้ายตอนบ่ายสามโมงกว่า หนึ่งชั่วโมงต่อมา หลี่ชื่อหยูก็ขับรถบรรทุกมาพร้อมกับต้นไม้อีกชุดหนึ่ง เขาขนต้นไม้ลงไว้ที่ตีนเขา และหวังเย้าก็จัดการขนทั้งหมดขึ้นไปไว้บนเขา จนกระทั่งท้องฟ้าเริ่มมืดลง

 

มันใช้เวลาประมาหนึ่งอาทิตย์หรือนานกว่านั้นเล็กน้อย แต่กำแพงต้นไม้ระหว่างเนินเขาหนานชานกับเนินเขาตงชานก็ถูกสร้างขึ้นมาจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว

 

 

ภายในหมู่บ้านที่อยู่ติดกับชานเมืองเขตเหลียนชาน ชายวัยกลางคนคนหนึ่งกำลังเดินเล่นอยู่บนถนนอย่างมีความสุข ท่าเดินของเขาดูติดขัดเล็กน้อย แต่หากไม่ดูดีดีก็จะไม่สังเกตเห็นเลย

 

“อาเฟิง เป็นยังไงบ้าง?” ชาวบ้านคนหนึ่งถาม

 

“โอ้ ฉันสบายดีเหมือนเกิดใหม่เลยล่ะ” เขาพูดด้วยรอยยิ้ม

 

“นายกำลังจะไปที่ไหนเหรอ?” ชาวบ้านถาม

 

“ฉันกำลังจะไปซื้อเค้กน่ะ พอดีมีแขกจะมาหาที่บ้าน” อาเฟิงพูด เขายังคงเดินต่อไปเรื่อยๆ

 

“ผ่านไปแค่ไม่กี่วัน เขาดูแข็งแรงขึ้นนะ” ชาวบ้านพูด

 

“ดูท่าเดินเขาก็รู้แล้ว ว่ามันดีขึ้นน่ะ” ชาวบ้านอีกคนพูด “เขาไปรักษาที่ไหนมานะ?”

 

“ฉันได้ยินมาว่า เขาไปรักษาที่หมู่บ้านในเขาแถวซงป่ายน่ะ เขาไปฝังเข็มที่นั่นมา” ชาวบ้านคนแรกพูด

 

“นี่ เหมาชุนก็เป็นแบบนี้เหมือนกันไม่ใช่เหรอไง?” ชาวบ้านอีกคนพูด “ฉันได้ยินมาว่า เขาก็ไปฝังเข็มมาเหมือนกัน แล้วยังถึงขนาดไปช๊อตไฟฟ้ามาด้วยนะ!”

 

“รักษาด้วยการช๊อตไฟฟ้าเหรอ? อะไรกันน่ะนั่น?” ชาวบ้านคนแรกถาม

 

“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ดูสภาพเขาสิ ดูเหมือนว่ามันจะยิ่งแย่กว่าเดิมด้วยซ้ำ ถ้าเขาไปรักษาที่เดี่ยวกับอาเฟิง เขาก็อาจจะดีขึ้นก็ได้ ดูเขาแข็งแรงขึ้นมากเลยนะ” ชาวบ้านอีกคนพูด

 

ระหว่างทางที่เดินไปซื้อเค้ก อาเฟิงได้พบกับชาวบ้านตามท้องถนนอยู่หลายคน พวกเขาต่างพยักหน้าและพูดทักทายเขากันทุกคน ชาวบ้านส่วนใหญ่รู้เรื่องอาการป่วยของเขากันทั้งนั้น ในเวลานี้ หากพวกเขาไม่รู้มาก่อนว่าเขาป่วยเป็นอะไร คนก็คงจะคิดว่า เขาแค่เจ็บเข่าก็เลยเดินโขยกเขยกเท่านั้น

 

เขามีความสุขมาก ครอบครัวของเขาก็มีความสุขมากเช่นกัน บางทีอาจจะมีความสุขมากกว่าเขาด้วยซ้ำ ภรรยาของเขาทำอาหารกลางวันไว้ถึง 12 อย่าง แม้ว่าแขกที่มาจะมีแค่ไม่กี่คนก็ตาม ซึ่งก็คือพี่น้องอีกสองคนของอาเฟิงเอง

 

“พี่ เรามาดื่มกันเถอะ” น้องชายคนหนึ่งของเขาพูด

 

“ดื่มสิ ยังไงนายก็ไม่ต้องขับรถกลับอยู่แล้วนี่” อาเฟิงพูดอย่างมีความสุข

 

“หมอหวังบอกว่าคุณห้ามดื่มเหล้านะ” ภรรยาของเขาพูด

 

“ฉันดื่มแค่นิดเดียวเอง ไหนๆวันนี้เราก็มีความสุขกันมากนี่นา” อาเฟิงพูด “ฉันจะผสมน้ำลงไปด้วย”

 

เขาเทน้ำไปครึ่งหนึ่งและไวน์อีกครึ่งหนึ่งลงไปในแก้ว

 

 

ในหมู่บ้านกลางเขา ชายคนหนึ่งมาที่คลินิกในตอนเช้า

 

“หมอหวัง ผมกินยาที่คุณให้ไปแล้ว แต่มันไม่ได้ผลเลย” เขาพูด

 

เขามาพร้อมกับถุงใต้ตาและใบหน้าที่ซีดเซียว มันไม่ใช่เรื่องปกติอย่างการนอนหลับไม่สนิทเท่านั้น

 

หวังเย้าสามารถจดจำคนคนนี้ได้ เขาเป็นคนขับรถแท็กซี่ เขามาที่คลินิกครั้งแรกเมื่อไม่กี่วันก่อน เขาบอกว่า หลังจากที่รับผู้โดยสารกลางดึกคืนนั้นแล้ว เขาก็ฝันร้ายมาโดยตลอด แล้วเขาก็ยังฝันเห็นชายไร้หน้าคนนั้นอยู่ทุกคืนด้วย

 

“คุณยังฝันถึงเขาอยู่เหรอครับ?” หวังเย้าถาม

 

“ใช่แล้ว คราวนี้ เขาไม่ได้นั่งเงียบๆ แต่ยังคุยกับผมด้วย คุณคิดภาพคนไม่มีหน้ากำลังคุยกับคุณออกไหมล่ะ? มันเลวร้ายมากเลยล่ะ” เขาอดที่จะตัวสั่นไม่ได้เลย มันราวกับว่า ชายไร้หน้าคนนั้นกำลังอยู่ข้างๆเขา

 

“ผมไม่กล้าขับรถตอนกลางคืนอีกเลย เวลานอนก็ต้องเป็นโคมไฟบนหัวเตียงเอาไว้ด้วย” เขาพูด

 

ปัญหานี้หนักกว่าที่หวังเย้าคิดเอาไว้มาก เขาคิดเอาไว้ว่า หลังจากที่ชายคนนี้ได้กินยาเข้าไป มันก็จะช่วยให้ใจของเขาสงบลงและสามารถนอนหลับได้ แต่กลายเป็นว่า อาการของเขากลับหนักขึ้นแทน ยาไม่ได้ช่วยบรรเทาอาการของเขาเลยแม้แต่น้อย

 

“มันเป็นเพราะวิญญาณร้ายจริงๆเหรอ?” หวังเย้าถามตัวเอง

 

บางคนอาจจะบอกว่า มันคือเรื่องเหนือธรรมชาติ และมันก็ไม่สามารถใช้วิทยาศาสตร์มาอธบายได้ด้วย

 

“หมอ หมอช่วยผมได้ไหม?” เขาร้องขอ

 

“อืม ผมกำลังหาทางอยู่ครับ” หวังเย้าพูด

 

อาการหวาดกลัวนั้น เขาเคยอ่านเจอเคสแบบนี้ในตำรา “โรครักษาได้ยาก” ที่ได้จากระบบ ซึ่งเกี่ยวกับเด็กคนหนึ่งกำลังเดินเล่นอยู่บนถนนติดริมแม่น้ำในตอนเย็น และเกิดอาการหวาดกลัวเพราะเสียงร้องของนกฮูก ในคืนนั้น เด็กมีไข้ขึ้นและพูดละเมอออกมาในตอนที่หลับอยู่ เคสนี้มีความคล้ายคลึงกับอาการของชายคนนี้อยู่

 

ยาที่หวังเย้าจ่ายให้ไปก็คือยาแบบนี้กับในเคสนี้ แต่มันกลับไม่ได้แสดงผลที่ชัดเจนออกมาเลย

 

“หมอ” อยู่ๆชายคนนั้นก็ตัวสั่นขึ้นมา

 

“หืม?” อยู่ๆหวังเย้าก็อึ้งไป “เป็นอะไรไปครับ?”

 

“เปล่าๆ ผมแค่อดคิดถึงเรื่องนั้นไม่ได้น่ะ” เขาพูด

 

ในบางครั้ง ยิ่งเรากลัวมากเท่าไหร่ เราก็ยิ่งหยุดคิดเรื่องนั้นไม่ได้ แต่ยิ่งคิด มันก็ยิ่งทำให้เรากลัวมากขึ้นไปอีก มันเป็นวงจรที่โหดร้ายมาก

 

อยู่ๆหวังเย้าก็รู้สึกถึงบางอย่างที่ค่อนข้างพิเศษได้ มันคืออะไรกัน?

 

เมื่อเห็นหวังเย้าจับจ้องมาที่ตัวเองเป็นเวลานาน เขาจึงอดส่งเสียงเรียกออกไปเบาๆไม่ได้ “หมอหวัง?”

 

“โอ้ ผมกำลังคิดถึงอาการป่วยของคุณอยู่น่ะครับ” หวังเย้าพูด “ส่วนคนคนนั้น เขาแต่งตัวยังไงเหรอครับ?”

 

“ช่วงบนเป็นเสื้อเชิ้ตสีขาว และข้างล่างเป็นกางเกงขายาวครับ” เขาพูด “เขาใส่รองเท้าหนังด้วย”

 

แล้วใบหน้าของคนไข้ก็เปลี่ยนสีอีกครั้ง อยู่ดีดีเขาก็หยุดพูดไป และมีอาการสั่นเทา

 

ความรู้สึกนี้แหละ! หวังเย้าคิด พลังฉี พลังฉีของชายคนนี้ไม่ปกติ!

 

หวังเย้าปลดปล่อยพลังฉีออกมาเพื่อเชื่อมต่อกับฟ้าดิน

 

ทุกคนล้วนมีพลังฉีเป็นของตัวเอง โดยปกติแล้ว มันจะมีการไหลเวียนที่สมดุล ถ้าหากคนหนึ่งป่วย พลังฉีของคนคนนั้นก็จะอ่อนกำลังลง อ่อนกำลังกับไม่ทำงานนั้นต่างกัน พลังฉีของชายตรงหน้าเขาดูปั่นป่วน และมีบางอย่างที่ดูพิเศษปะปนอยู่ในนั้นด้วย มันเป็นเหมือนกับน้ำหมึกที่หยดลงไปในน้ำที่ใสสะอาด

 

แล้วฉันจะขับมันออกมาได้ยังไง?

 

หวังเย้าพยายามส่งพลังฉีของเขาออกมาภายนอก เขารวบรวมมันเอาไว้จนกลายเป็นหอกยาวเล่มหนึ่ง แล้วแทงมันเข้าไปในตัวของชายคนนั้น ราวกับตุ๊กตาหิมะพบเจอกับแสงแดด พลังฉีที่ชั่วร้ายซึ่งซ่อนตัวอยู่ภายในก็ได้จางหายไป

 

“เกิดอะไรขึ้นน่ะ?” ชายคนนั้นถาม

 

นี่เป็นครั้งแรกที่หวังเย้าได้พบเจอกับเหตุการณ์แบบนี้ หรือการที่เขาต้องใช้พลังฉีในแนวทางนี้ ถึงแม้ว่าเขาจะรู้วิธีปลดปล่อยและรวมพลังฉี แต่เขาก็ไม่เคยนำมันมาใช้แบบนี้มาก่อนเลย

 

แทบจะในเวลาเดียวกัน ชายคนนั้นก็ถอนหายใจออกมาและรู้สึกว่า ร่างกายของเขาสบายขึ้นมาก

 

“ยาที่ผมให้ไปคราวที่แล้วยังเหลืออยู่ไหมครับ?” หวังเย้าถาม

 

“เหลืออยู่นิดหน่อยครับ” เขาพูด

 

“งั้นผมจะจ่ายเพิ่มให้นะครับ” หวังเย้าเดินไปหยิบยามาเพิ่ม “กลับบ้านไป แล้วกินยาต่ออีกสักอาทิตย์หนึ่งนะครับ ถ้ามันยังไม่ได้ผลอีก ก็ให้กลับมาหาผม”

 

“หมอ ยานี่มันจะได้ผลเหรอ?” เขาถามด้วยความสงสัย เขาไม่อยากจะทรมานอีกต่อไปแล้ว เขาต้องหวาดกลัวแทบจะทุกคืนที่เข้านอน

 

“มันจะได้ผลครับ” หวังเย้าพูด

 

“ก็ได้ ผมจะลองกินดูสักอาทิตย์หนึ่ง” เขาพูด เขาไม่มีทางเลือกอื่นแล้วจริงๆ

 

หลังจากที่เขาออกไปแล้ว หวังเย้าก็รีบจดบันทึกการรักษาเคสนี้ลงไปอย่างรวดเร็ว

 

บางที นี่อาจจะเป็นวิธีการวินิจฉัยอีกแบบหนึ่งก็ได้ การมองดูพลังฉี!

 

ครั้งนี้ มันถือเป็นการเก็บเกี่ยวที่คาดไม่ถึง ซึ่งเป็นการเปิดประตูบานใหม่ ที่เขาไม่เคยคิดมาก่อนและได้เห็นโลกที่ต่างออกไป

 

กริ๊ง! กริ๊ง! โทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะส่งเสียงดังขึ้น

 

“หวังเชียนเชิง คุณอยู่ที่คลินิกเหรอคะ?” ที่ปลายสายเป็นน้ำเสียงที่อ่อนโยนและมีความสุขของซูเสี่ยวซวี

 

“ใช่ ผมเพิ่งตรวจคนไข้ไปหลายคนเลย” หวังเย้าพูด

 

“หวังเชียนเชิง อย่าลืมกินข้าวด้วยนะคะ อย่าปล่อยให้ร่างกายต้องหิวเพราะมัวแต่ทำงาน” เธอพูด

 

“ได้สิ เธออยู่ที่นั่นก็ต้องใส่ใจสุขภาพของตัวเองด้วยนะ” หวังเย้าพูด

 

ทั้งสองพูดคุยกันอยู่สักพัก หลังจากวางสาย บนใบหน้าของซูเสี่ยวซวีก็เผยให้เห็นรอยยิ้มหวาน

 

“เสี่ยวซวี ลงมากินข้าวไปแล้วจ๊ะ” ซงรุ่ยปิงพูด

 

ซูเสี่ยวซวีเดินฮัมเพลงลงมาจากบนบ้าน

 

“ลูกมีความสุขเรื่องอะไรเหรอจ๊ะ?” ซงรุยปิงถามด้วยรอยยิ้ม

 

“มันเป็นความลับค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด “คุณแม่คะ หนูอยากออกไปข้างนอกค่ะ”

 

“อะไรนะ? ทำไมล่ะจ๊ะ?” ซงรุ่ยปิงรู้สึกแปลกใจกับคำขอที่คาดไม่ถึงของลูกสาว

 

“หนูไม่อยากจะอยู่แต่ในบ้านแบบนี้นี่คะ” ซูเสี่ยวซวีพูด

 

“ทำไมจะไม่ได้ล่ะจ๊ะ?” ซงรุ่ยปิงถาม

 

“คุณแม่คะ ตอนนี้หนูอายุ 24 แล้วนะคะ หนูลองคิดดูแล้วค่ะ หนูต้องเรียนให้จบและหางานทำได้แล้ว” ซูเสี่ยวซวีพูด เธอต้องหยุดเรียนเพราะอาการป่วย

 

“อืม ถ้าลูกอยากจะไปเรียน มันก็ไม่มีปัญหาหรอกนะจ๊ะ แต่ลูกจะนอนหอพักไม่ได้นะ” เธอเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยเยียนจิง ซึ่งเป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดของประเทศจีน

 

“คุณแม่!” ซูเสี่ยวซวีไม่ยินยอม

 

“ห้ามต่อรองจ๊ะ” ซงรุ่ยปิงพูด เธอไม่ยอมปล่อยให้เกิดเรื่องอะไรกับลูกสาวของเธอได้อีก