ตอนที่ 11 - 2 เหล่าหงส์สลับเพศ

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2]

“ไอ้เวรเอ๊ย รู้อยู่แล้วว่าพวกเจ้าทำแต่เรื่องไว้ใจไม่ได้!” นางมือไม้พันกันพยายามจะมัดผมอีกครั้ง แต่เจ็ดสังหารรีบร้อนขวางนางไว้

 

 

“เปลี่ยนทำไมเล่า? ปลอมตัวเป็นบุรุษไม่ดีหรือ? หากมีคนคอยสังเกตมือสังหาร ย่อมต้องรวบรวมสมาธิค้นหามือสังหารหญิง ผู้ใดจะสนใจบุรุษผู้หนึ่ง?”

 

 

จิ่งเหิงปัวหยุดมือทันที…นั่นสินะ

 

 

พอลองมองในกระจก เอ๊ะ เหมือนผู้ชายไม่เบาเลยแฮะ แม้แต่รอยเจาะหูบนใบหูยังใช้ดินเหนียวสีเนื้ออุดไว้แล้ว แม้เจ็ดสังหารจะติดตลกไปบ้าง แต่พอกล่าวถึงวรยุทธ์กับวิชาต้มตุ๋นหลายอย่าง ทั่วโลกนี้ก็ยากจะมีคนเทียบเทียมจริงแท้

 

 

“เซ่าซือกับฮูหยินของเขา ข้าเป็นเซ่าซือ แล้วฮูหยินเล่า?” นางเคาะโต๊ะ หันหน้ามายิ้มแย้ม

 

 

หางตาชำเลืองมองผ่านเหยียลี่ว์ฉี เหยียลี่ว์ฉีมีสีหน้าเขียวคล้ำโดยพลัน

 

 

“ไม่ได้ เจ้าปลอมตัวเป็นผู้ชายไม่ไหว พวกเรายังคงทำตามแผนการเดิม วางใจเถิด ข้าจะปกป้องเจ้าเต็มที่” เหยียลี่ว์ฉีคัดค้านด้วยวาจาเคร่งขรึม

 

 

เขาไม่ยินยอม ผู้อื่นยินยอม

 

 

“วะฮ่าๆๆ เขาไม่ยินยอม เขาไม่ทำข้าทำเอง!”

 

 

“เจ้าริ้วรอยทั่วหน้าจะถึงตาเจ้าได้เยี่ยงไร ข้าเอง!”

 

 

“ข้างดงามที่สุดในแผ่นดิน ผิวกายบอบบางจนแตะมิได้ ต้องเป็นข้าเท่านั้น!”

 

 

“นางเป็นภรรยาข้า พวกเจ้าถอยไปอีกทางเลย!”

 

 

 

 

“ทำด้วยตนเองนับเป็นความสามารถอะไร” จิ่งเหิงปัวกล่าวประโยคหนึ่งอย่างเยือกเย็นทันทีว่า “เป้าหมายการกระทำของพวกเจ้าเจ็ดสังหารคือทำให้ผู้อื่นไม่พอใจเสมอไม่ใช่หรือ? ผู้ใดไม่เต็มใจยิ่งต้องบังคับให้เขาทำให้ได้ เช่นนี้ถึงนับเป็นความสามารถ”

 

 

เจ็ดคนพลันหันหน้าโดยพร้อมเพรียง จ้องมองเหยียลี่ว์ฉี

 

 

เหยียลี่ว์ฉีที่ยืนอยู่ข้างประตูโดยตลอดถูกสายตาแปลกประหลาดของพวกเขาจ้องมองจนขนลุก เอื้อมมือปัดเสื้อคลุมยาว เอ่ยเพียงว่า “พวกเจ้าค่อยๆ ปรึกษาหารือกัน” แล้วรีบหันกายจากไป

 

 

“คว้าเขาไว้!” อีชีตะโกนลั่นเสียงหนึ่ง

 

 

เงาคนเจ็ดสายพุ่งเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง จับเหยียลี่ว์ฉีกลับมาควบคุมไว้บนม้านั่ง กระทำการปลอมตัวอย่างโหดร้ายเกินมนุษย์เบื้องหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ระหว่างนั้นพบเจอการต่อต้านเชิงสัญลักษณ์จากคุณชายเหยียลี่ว์นับมิถ้วนครั้ง

 

 

ผ่านไปครึ่งชั่วยาม จิ่งเหิงปัว จื่อหรุ่ยและยงเสวี่ยก็หัวเราะจนท้องคัดท้องแข็งอยู่ในลานบ้าน

 

 

“งดงาม…งดงามอ่อนหวานกระไรนั่น…โดยแท้…” จิ่งเหิงปัวหายใจแทบไม่ทัน

 

 

“คุณชายเหยียลี่ว์ประทินโฉมแล้ว…” จื่อหรุ่ยเช็ดน้ำตาจากการหัวเราะ เอ่ยว่า “แลดูงดงามยิ่งนักเชียว เพียงแต่ตัวสูงไปหน่อย…”

 

 

“เขาเสแสร้ง” ยงเสวี่ยเอ่ยวาจาตรงประเด็นว่า “เขาจงใจให้เจ็ดสังหารคว้าไว้ตั้งแต่แรก เขาไม่คิดจะให้ผู้อื่นปลอมตัวอยู่แล้ว”

 

 

จิ่งเหิงปัวกลั้นหัวเราะ ผ่านไปครู่ใหญ่หัวเราะฮ่าๆ เสียงหนึ่ง

 

 

“มองดูเจ้าสาวโฉมงามของพวกเรา” เจ็ดสังหารโหวกเหวกโวยวายผลักคนออกมา

 

 

จิ่งเหิงปัวชะงักงัน

 

 

สตรีวัยแรกแย้มที่พิงกำแพงก้มหน้าท่าทางนุ่มนวลตรงธรณีประตูคือใครกัน?

 

 

เกศาโสภาดวงหน้าโสภณฑ์ ผิวพรรณขาวผ่องดุจหิมะ ขนตาดกดำแผ่สยายดั่งขนกา ผ้าไหมเขียวครามเปล่งประกายแสงอาทิตย์ยามบ่ายอันโชติช่วง ทว่าไม่อาจกลบกลืนความแวววาวพราวแพรวประหนึ่งท่วมท้นด้วยสายธารยามสารทจากนัยน์เนตรของนางได้

 

 

ส่วนริมฝีปากแดงฉ่ำดุจดั่งดอกท้อกิ่งแรกยามวสันต์ใหม่ งามเพริศแพร้วจนพาให้ผู้คนไม่อาจหักใจเด็ดมาเชยชม

 

 

สำคัญยิ่งกว่านั้นคือนาง ‘เรือนร่างเล็กกระจ้อย ทรวดทรงบอบบางวิจิตร’!

 

 

จิ่งเหิงปัวเขย่งเท้าขึ้นนับจำนวนเจ็ดสังหาร คิดจะมองดูว่าใช่ซือซือหรือเปล่า

 

 

“วิชาหดกระดูกไงล่ะ” เจ็ดสังหารหัวเราะลั่น

 

 

จิ่งเหิงปัวถอนหายใจเฮือกหนึ่ง หยิบพัดพับที่ใช้สำหรับปลอมตัวโดยเฉพาะที่จื่อหรุ่ยส่งมาให้แล้วเดินส่ายไปส่ายมาก้าวไปข้างหน้า เชิดคางของโฉมงามเหยียลี่ว์อย่างแผ่วเบาท่ามกลางเสียงหัวเราะลั่นอย่างลำพองใจของเจ็ดสังหาร

 

 

“แม่สาวน้อยงดงามดั่งมวลผกา ไม่เคยคิดยินยอมสมรสบ้างหรือ” นางยิ้มหยอกเย้า

 

 

โฉมงามเหยียลี่ว์เงยหน้า พริบตาหนึ่งนั้นแสงรุ่งโรจน์วูบไหวกลางนัยน์ตาคล้ายมีความหมายลึกซึ้ง จากนั้นมุมปากเชิดเป็นรอยยิ้มเช่นกัน

 

 

ดุจดอกท้อยามวสันต์โดยแท้ เอ่ยได้ว่าสะกดผู้คน

 

 

“ด้วยเพราะยามแรกทำผิดต่อนาง บัดนี้ยินยอมติดตามสุดขอบฟ้า” เขาหัวเราะแผ่วเบา

 

 

มือของจิ่งเหิงปัวหยุดชะงัก

 

 

มองเข้าไปในดวงตาคู่นั้นเพียงพริบตาเดียว กลางนัยน์ตาไร้ซึ่งรอยยิ้ม ลึกซึ้งลึกล้ำคล้ายซุกซ่อนความในใจนับพันนับหมื่น

 

 

นางค่อยๆ ยกมือขึ้น

 

 

พัดพับขาวราวหิมะไร้อักษร บดบังสายตาจ้องมองกันและกันของทั้งคู่

 

 

นึกถึงยามนั้นตำแหน่งสูงส่ง ชื่นชมความงดงามทั่วตี้เกอ ความในใจนับพันนับหมื่นต่างพร่าเลือน ระหว่างแปรผันเย้ยหยันโลกมนุษย์ว่าโง่เขลายิ่งนัก

 

 

จนบัดนี้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง จิตใจประคองความสำเร็จ ทว่าจำแนกความจริงความลวงไม่ได้อีกแล้ว

 

 

เพียงเอ่ยเสียงหนึ่ง วันนี้หิมะหนักเหลือเกิน

 

 

 

 

พระราชวังกษัตริย์แคว้นเซียงยามเข้าสู่ราตรีลุกโชนด้วยแสงตะเกียงทั่ววัง ตะเกียงทรงแตงสีแดงเข้มผืนหนึ่งวาดเค้าโครงสูงตระหง่านของพระราชวัง มองจากที่ห่างไกลคล้ายบนพื้นปฐพีมืดมิดมีนครเปลวเพลิงเงาวาวแห่งหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่

 

 

ต้นไม้สูงใหญ่ทั้งสองข้างจัตุรัสประตูวังต่างคลุมด้วยแพรต่วนหลากสีสัน ภายใต้โคมไหมโปร่งหกเหลี่ยมลายมังกรคู่หงส์กับอักษรมงคลส่องสะท้อนลำแสงสายรุ้ง พื้นผิวแพรวพราวตระการตาดุจปูด้วยพรมหลากสีสันเช่นกัน

 

 

หน้าจัตุรัสรถราหนาแน่น อาภรณ์หอมจอนผมสยาย เบียดเสียดแน่นขนัดค่อนจัตุรัส รถม้าทุกรูปแบบที่มองเห็นได้ในฉงอานต่างมาชุมนุมกัน ซ้ำยังมีขุนนางชั้นสูงตระกูลสูงศักดิ์มากมายจากฉงอานแม้กระทั่งตี้เกอมารวมตัวกันด้วย

 

 

นอกจากผู้มีฐานะทรงเกียรติยิ่งนักที่เป็นส่วนน้อยแล้ว แขกส่วนใหญ่จะลงรถที่จัตุรัส จากนั้นชาววังจะเข้ามานำทางไปเข้าร่วมงานเลี้ยงที่ตำหนักเยียนสี่ภายในพระราชวัง

 

 

พิธีหมั้นหมายของราชวงศ์แคว้นเซียงทั้งหรูหราทั้งสั้นกระชับ แม้เชิญแขกเยอะแยะแต่ตัวพิธีกรรมเองไม่นับว่าซับซ้อน พอถึงเวลานั้นเหอหว่านที่เป็นว่าที่เจ้าสาวจะไปเข้าเยี่ยมคารวะศาลบรรพชนของราชวงศ์ก่อน จากนั้นออกมาจากภายในวัง ร่วมกับยงซีเจิ้งประทับตราลงบนสมุดทองคำที่กองพิธีการจัดเตรียมไว้ต่อหน้าแขกจากทุกแคว้น นับว่าเสร็จสิ้นพิธีการ

 

 

แต่เล่ากันว่าพิธีกรรมของหกแคว้นแปดชนเผ่าในต้าฮวงยังมีความแตกต่างกันออกไป ส่วนแต่ละแคว้นทำอย่างไร คงต้องคอยดูกฎเกณฑ์พิเศษของทางแคว้นเซียง

 

 

เมื่อจิ่งเหิงปัวกับเหยียลี่ว์ฉีลงจากรถ ยื่นบัตรเชิญแล้ว ก็ได้ยินขุนนางพิธีการป่าวร้องเสียงยืดยาวว่า “ปั๋วเซ่าซือแห่งแคว้นอวี่พร้อมฮูหยินมาถึง…”

 

 

จากนั้นมีชาววังเข้ามาต้อนรับโดยพลัน เดินมาโค้งคำนับตรงหน้าจิ่งเหิงปัวอย่างเป็นธรรมชาติยิ่งนัก แล้วเอ่ยว่า “เชิญใต้เท้าเซ่าซือ” ซ้ำยังมีนางกำนัลอ่อนวัยก้าวเข้ามาประคอง ‘ฮูหยิน’ เหยียลี่ว์

 

 

แขนเสื้อของจิ่งเหิงปัวปิดปากไว้ ไอโขลกสองเสียง สะกดกลั้นเสียงหัวเราะที่ใกล้จะพุ่งพรวดออกมาจากปาก

 

 

‘ฮูหยิน’ เหยียลี่ว์พิงหัวไหล่นางอย่างอ่อนช้อย หยิกแขนของนาง พร้อมกระซิบว่า “ท่วงท่าบุรุษ ท่วงท่าบุรุษ!”

 

 

จิ่งเหิงปัวกระแอมไอ ยืนตัวตรงแน่ว

 

 

ท่าทางแบบผู้ชายต้องเรียนรู้ด้วยหรือ? ไม่ต้องหรอก แค่หวนนึกถึงสีหน้าท่าทางของไท่สื่อหลันก็พอแล้ว

 

 

แม้จิ่งเหิงปัวจะคิดเองเออเองว่าเป็นศัตรูคู่อาฆาตกับไท่สื่อหลัน แต่ยังจำเป็นต้องยอมรับว่าบนโลกนี้ก็ไม่มีใครปลอมตัวเป็นผู้ชายได้เหมือนมากกว่าไท่สื่อหลันอีกแล้ว ไม่ใช่เพราะว่ากิริยาท่าทางของเธอหยาบกระด้างเหมือนผู้ชาย แต่เพราะว่าเธอมีท่วงท่าตรงแน่วโดยกำเนิด นิสัยกล้าได้กล้าเสีย ซ้ำยังมีท่าทางสง่างามจนแม้แต่ผู้ชายยังเทียบไม่ติด บางครั้งมองเห็นเธอ คุณรู้แน่ชัดว่าเธอเป็นผู้หญิง แต่มักรู้สึกเสมอว่าถ้าเธอเป็นผู้ชายที่สยบทั่วโลกหล้าคงจะเหมาะสมอย่างยิ่งเช่นกัน

 

 

เมื่อเลียนแบบสีหน้าท่าทางของไท่สื่อหลัน ก็รู้สึกขึ้นมาได้ในทันทีว่าจิตใจเกิดความรู้สึกฮึกเหิมห้าวหาญ จิ่งเหิงปัวใจลอยขึ้นมาเล็กน้อย…ตอนนี้ไท่สื่อหลันทำอะไรอยู่? อีกสองตัวที่เหลือทำอะไรอยู่? พวกเธอคิดจนหัวแทบระเบิดคงจะนึกไม่ถึงว่าตอนนี้ใครคนนั้นที่เป็นผู้หญิงมากที่สุดกำลังปลอมตัวเป็นผู้ชาย ตอนนี้ใครคนนั้นที่เกียจคร้านที่สุดกำลังดิ้นรนอย่างยากลำบากที่สุดล่ะมั้ง?

 

 

นางยกมือขึ้นลูบบริเวณหน้าอก มุมปากกลายเป็นรอยยิ้มสุขุมผืนหนึ่ง…เล่ากันว่าคนที่อยู่ด้วยกัน ดวงชะตาจะเกิดความเปลี่ยนแปลง นางน่าเวทนาขนาดนี้ น่าจะทำให้สามตัวนั้นสงบสุขราบรื่นตลอดทางได้ล่ะมั้ง? พอคิดแบบนี้แล้วก็รู้สึกคุ้มค่าอยู่เหมือนกัน แน่นอนว่าถ้าได้พบเจอกันภายหลังจะต้องให้พวกเธอจ่ายค่าเหน็ดเหนื่อยคืนมาให้ได้ โดยเฉพาะไท่สื่อหลันนั่นต้องจ่ายเป็นสองเท่า…ไท่สื่อหลันเนื้อหนังหยาบหนาขนาดนั้นควรจะแบกรับความลำบากมากที่สุดสิ นางเนื้อหนังบอบบางขนาดนี้ควรจะเสวยสุขมากที่สุดไม่ใช่หรือ? ตอนนี้ที่นางไม่ได้เสวยสุขต้องเป็นเพราะว่ากำลังแบกรับโชคชะตายากลำบากแทนไท่สื่อหลัน แน่นอนว่าต้องให้เธอจ่ายชดเชยเป็นสองเท่า

 

 

แต่ว่าถ้าหากนางลำบากแล้ว สามตัวนั้นไม่ได้มีชีวิตสงบสุขเหมือนกัน นางจะต้องต่อยสวรรค์ชั่วร้ายแบบนี้แน่นอน!

 

 

พอเหยียลี่ว์ฉีที่ยืนอยู่ข้างนางหันหน้ามาเห็นรอยยิ้มยามนี้ของนาง ก็ชะงักงันเล็กน้อย