ตอนที่ 11 - 1 เหล่าหงส์สลับเพศ

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2]

พอจิ่งเหิงปัวเงยหน้า ดวงตาสว่างวูบ

 

 

เป็นบุคคลที่สง่างามอย่างยิ่ง

 

 

แม้เสื้อคลุมยาวสีฟ้าอ่อนทั่วร่างสกปรกมอมแมม ผมดำขลับทั่วศีรษะพัดพลิ้วปลิวสยาย แต่ไม่ว่าแต่งกายตามใจชอบอย่างไรต่างขับรูปร่างหน้าตางดงามโดยกำเนิดของเขาให้โดดเด่นได้อย่างพอดิบพอดี เขามีคิ้วที่เย่อหยิ่งยิ่งนัก ดวงเนตรที่เรียวยาวทว่านัยน์ตากลมนั้นดำขลับยวดยิ่ง รูปร่างหน้าตาสอดคล้องกลายเป็นท่าทางเปิดเผยรักอิสระ ยามหัวเราะลั่นพาให้นึกถึงเมฆหมอกที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วก่อนพายุฝนหรือสายลมที่พัดพาแสงเดือนแสงดาวเหนือท้องนภาให้สูญสิ้น

 

 

มองหน้าตาของคนผู้นี้โดยละเอียดก็ไม่นับว่างดงามล้ำเลิศ เหนือกว่าผู้อื่นตรงบุคลิกแจ่มชัด ท่วงท่าพาให้เห็นแล้วยากลืมเลือน

 

 

สายตาที่เหยียลี่ว์ฉีมองเขาไม่ได้ชื่นชมขนาดจิ่งเหิงปัว เอ่ยอย่างเย็นชาว่า “อิงไป๋ สุราของวันนี้ยังไม่ทำให้เจ้าเมามายจนสิ้นชีพอีกหรือ?”

 

 

หัวคิ้วของจิ่งเหิงปัวกระตุกวูบ

 

 

สมุหราชองครักษ์อิงไป๋แห่งอวี้จ้าวหลงฉี!

 

 

ได้ยินชื่อมานาน แต่เพิ่งได้เห็นเป็นครั้งแรก

 

 

ผู้ใดในตี้เกอต่างรู้ว่าสมุหราชองครักษ์อิงไป๋คือผู้นำทางจิตวิญญาณแห่งอวี้จ้าว ตำแหน่งเทียบเท่าเฉิงกูมั่วแห่งคั่งหลง ทว่าอ่อนวัยและมีชื่อเสียงยิ่งกว่าเฉิงกูมั่ว เล่ากันว่าเขามาจากตระกูลขุนนาง ยามเป็นเด็กหนุ่มล้างผลาญตระกูลจนหมดสิ้นทรัพย์สินแล้วจึงสมัครเป็นทหาร เป็นตั้งแต่ทหารชั้นผู้น้อยจนกระทั่งก้าวสู่ผู้บัญชาการ ซ้ำยังเป็นหนึ่งในผู้ช่วยมากความสามารถของกงอิ้นด้วย เพียงแต่เจ้าคนนี้ไม่ชื่นชอบอำนาจทางทหาร ชื่นชอบเพียงสุราเลิศรสกับโฉมสะคราญ หลังจากเป็นสมุหราชองครักษ์แล้วอยู่ว่างเอ้อระเหยลอยชาย มักขอลาป่วยไม่ยอมทำงาน ทุกคนต่างรู้ว่าเขาน่าจะไปหอคณิกาหรือเหลาสุรา อย่างไรเสียกงอิ้นยังทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ผู้อื่นยิ่งไม่สนใจไยดี

 

 

ก่อนหน้านี้จิ่งเหิงปัวเคยได้ยินเรื่องเล่าเกี่ยวกับอิงไป๋มาบ้าง ทหารอวี้จ้าวพอเอ่ยถึงเขาก็มีสีหน้าเลื่อมใสอย่างยิ่ง เอ่ยกันว่าเขาคือไอดอลดีเด่นที่ ‘ดวลสุราไม่เคยพ่ายแพ้ นอนกับสตรีไม่ต้องจ่ายเงินเอง’

 

 

เรียกได้ว่า ‘ร่ำสุราทั่วตี้เกอยังยืนไหว ร่วมหลับใหลทุกหอคณิกา’

 

 

นึกไม่ถึงว่าบุคคลที่ตอนอยู่ตี้เกอยังไม่เคยได้พบเห็น คราวนี้จะตามมาที่แคว้นเซียงด้วย

 

 

“ราชครูเหยียลี่ว์ยังไม่สิ้นชีพ แล้วอิงไป๋จะกล้าสิ้นชีพได้อย่างไร?” อิงไป๋ดื่มสุราภายในกระบอกสุราน้อยติดกายอึกหนึ่ง หัวเราะฮ่าๆ แล้วเอ่ยว่า “ไม่ว่าอย่างไรจะต้องจับกุมมือสังหารก่อนแล้วค่อยสิ้นชีพสิ”

 

 

“มือสังหารจากที่ใดกัน” เหยียลี่ว์ฉียิ้มแย้ม กล่าวว่า “ข้าช่วยเจ้าจับดีหรือไม่?” เสียงวาจายังไม่ทันสิ้น เรือนร่างกะพริบวูบ แสงสีดำสายหนึ่งพุ่งตรงสู่หน้าอกของอิงไป๋

 

 

อิงไป๋รีบถอยหลัง แสงสีดำหยุดชะงัก จากแสงเดียวแบ่งแยกออกเป็นแสงสีดำอีกสองสายท่ามกลางเสียงคำรามนั้น คราวนี้แยกกันขัดขวางเส้นทางข้างบนข้างล่างของเขา อิงไป๋ทอดกายไปข้างหลังครั้งหนึ่งเพื่อหลบหลีก แสงสีดำหยุดชะงักอีกครั้ง จากสองแสงแบ่งแยกเป็นสี่แสง พุ่งสู่จุดสำคัญทั่วร่างเขา อิงไป๋ได้แต่หลีกถอยอีกครั้ง ถูกบังคับให้ถอยอีกสามจั้งในพริบตา

 

 

“เหยียลี่ว์ฉีชาติก่อนเจ้าต้องเป็นสตรีแน่ถึงได้ลอบโจมตีเก่งนัก!” อิงไป๋ยิ่งถอยยิ่งห่างไกล ดื่มสุราไปพลางตะโกนกลางอากาศไปพลางว่า “นี่ แม่นาง หากมีโอกาสก็มาซดน้ำแกงปลาที่ข้าตุ๋นสิ! น้ำแกงปลาของอิงไป๋เลื่องชื่อทั่วตี้เกอ น้ำแกงบริสุทธิ์รสเลิศ เหล่าบุตรสาวผู้ดีในตี้เกอแย่งกันหัวร้างข้างแตก…”

 

 

“ไอ้กุ๊ย!” จิ่งเหิงปัวตะโกนด่า

 

 

 

 

ไกลออกไปมีป่าไม้เบาบางแห่งหนึ่ง

 

 

กลางป่าไม้มีผู้เอามือไพล่หลังยืนตรงตระหง่าน ไม่ขยับเขยื้อนแม้เพียงน้อย คล้ายกำลังมองทิวทัศน์เหมันต์เปล่าเปลี่ยวแห่งนี้

 

 

เงาร่างกะพริบวูบ คนผู้หนึ่งทอดลงข้างกายเขา ลมหายใจสงบนิ่ง ยิ้มแย้มเล็กน้อย

 

 

“เป็นอย่างไร”

 

 

“น่าสนุกอยู่บ้าง”

 

 

“ข้าถามว่าเหตุใดเจ้าจึงจับเขากลับมาไม่ได้”

 

 

“สู้ไม่ไหว”

 

 

เสียงเงียบสนิทระลอกหนึ่ง

 

 

“ข้าว่านะนายท่าน…”

 

 

“หืม?”

 

 

“วันนี้เจ้าให้ข้าไล่ตามครั้งนี้ ก็ตั้งใจให้ข้าจับคนหรือว่าให้ข้ามองคนกันแน่? ให้ข้าจับเขาหรือว่ามองนางกันแน่เล่า”

 

 

เงียบสนิทระลอกหนึ่ง

 

 

“อิงไป๋”

 

 

“อืม”

 

 

“เจ้าดูสิ ฟ้าใกล้มืดแล้ว”

 

 

 

 

ระหว่างทางกลับ เหยียลี่ว์ฉียื่นบัตรเชิญใบหนึ่งให้จิ่งเหิงปัว

 

 

จิ่งเหิงปัวมองบนบัตรเชิญ ความหมายคร่าวๆ คือราชวงศ์เชิญใต้เท้าปั๋วตำแหน่งเซ่าซือ[1]แห่งแคว้นอวี่และฮูหยินจุ่นเข้าร่วมงานเลี้ยงหมั้นหมายขององค์หญิงเหอหว่านในค่ำคืนนี้

 

 

“ฐานะที่เฟยหลัวตระเตรียมให้เจ้าหรือ?”

 

 

“ไม่ใช่ ข้าไม่ได้ใช้ฐานะที่นางตระเตรียมไว้ให้ ซ้ำยังคิดหาวิธีอื่นด้วย ข้าเพียงเอ่ยกับเฟยหลัวว่าพอถึงยามนั้นใช้สัญญาณลับกระทำเรื่องราว”

 

 

จิ่งเหิงปัวพยักหน้า รู้สึกว่าแบบนี้เหมาะสมยิ่งกว่า เดิมทีนางวางแผนจะแฝงตัวเข้าสู่ขบวนนางกำนัลของเหอหว่าน ปรากฏตัวพร้อมนางแล้วค่อยฉวยโอกาสตามเหตุการณ์ ในเมื่อเกิดความผิดพลาดกลางคัน อย่างนั้นก็ทำตามแผนการเดิม

 

 

ไม่รู้เหมือนกันว่ากงอิ้นสัญญาอะไรกับเหอหว่าน วางแผนจะทำอย่างไร จิ่งเหิงปัวได้แต่คอยดูสถานการณ์แล้วค่อยวางแผน แต่ปล่อยเฟยหลัวไปไม่ได้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม

 

 

ภายในโรงเตี๊ยม นางตั้งอกตั้งใจแต่งหน้าแปลงโฉมมากยิ่งขึ้น สถานการณ์ในค่ำคืนนี้สำคัญอย่างยิ่ง ต้องปรากฏตัวต่อหน้าคนคุ้นเคยมากมายขนาดนั้น ถ้าถูกมองออกในแวบเดียวต้องเกิดปัญหาแน่

 

 

เจ้าหมาโง่กระโดดโลดเต้นอยู่ฝั่งหนึ่ง เอียงศีรษะอย่างประหลาดใจบ่อยครั้ง ไม่เข้าใจว่าเหตุใดต้าปัวพลันกลายเป็นตัวประหลาดขนาดนี้แล้ว

 

 

“เจ้าหมาโง่ ข้างดงามหรือไม่” จิ่งเหิงปัวยิ้มหยาดเยิ้มในกระจกเงาให้เจ้าหมาโง่

 

 

เจ้าหมาโง่ถอนหายใจเสียงยาว เอ่ยว่า “ดาวคล้อยทุ่งกว้างใหญ่ จันทร์พลิ้วไหวตามธารา พอต้าปัวหันหน้า วัวของข้าตกใจตาย”

 

 

จิ่งเหิงปัวดีดนิ้วครั้งหนึ่ง เฟยเฟยเดินเตร่เข้ามาตบท่านนกจนล้มลงบนพื้นในฝ่ามือเดียว

 

 

จิ่งเหิงปัวเตะเจ้านกที่กลายเป็นก้อนจนนับครั้งไม่ถ้วนไปทางซอกมุมเพื่อจะได้ไม่ขวางทาง ได้ยินเสียงดังเอะอะระลอกหนึ่งที่นอกประตู ฟังเสียงก็รู้ว่าเจ็ดสังหารกลับมาแล้ว

 

 

พวกเฮฮาขายตัวเองไปเที่ยวเล่นในตระกูลใหญ่โตของแคว้นเซียงหนึ่งวัน ไม่รู้ว่าได้อะไรกลับมาบ้าง

 

 

เพียงแต่ไม่ต้องให้นางไปถาม พวกเฮฮาก็ต้องรีบร้อนอวดของล้ำค่ากันอยู่แล้ว

 

 

เสียงมาถึงก่อนเจ้าของร่างอย่างที่คิดไว้ สับสนวุ่นวายดังอึกทึกกว่าเจ้าหมาโง่

 

 

“ดูของสะสมของข้า!”

 

 

“ดูของล้ำค่าที่ข้าแสวงหามาคืนนี้!”

 

 

“พวกเจ้าหยิบสิ่งใดกันมา ของข้าถึงเป็นของล้ำค่าอันดับหนึ่งสิ่งเดียวไม่มีสอง แต่นแตนแต๊น!”

 

 

จิ่งเหิงปัวเดินมาถึงข้างประตู สิ่งของเรียวยาวชิ้นหนึ่งลอยมาปะทะใบหน้า คลุกเคล้าเสียงร้องยินดีตื่นเต้นดีใจของพวกเฮฮาว่า “ปัวปัวๆ มอบให้เจ้า!”

 

 

จิ่งเหิงปัวคว้าลงมามอง ผ้าซับระดู

 

 

พอมองดูห่อผ้าใหญ่ที่เหล่าเจ็ดสังหารแบกไว้ นอกจากเงินทองเครื่องประดับแล้วยังมีตู้โตวห่อใหญ่ ชั้นในห่อใหญ่ ถุงเงินห่อใหญ่ ชาดแดงแป้งร่ำห่อใหญ่ รองเท้าปักลายห่อใหญ่ ถุงเท้าไหมห่อใหหญ่…ส่วนใหญ่เป็นสิ่งของข้างกายสตรี

 

 

เมื่อคืนนี้เหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องน่าจะได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นอิงแอบแนบชิดทั้งคืน ฉะนั้นสิ่งของที่ฉวยโอกาสปล้นได้จึงมีแต่ของใช้ส่วนตัวในห้องนอนของสตรี

 

 

ยามที่เปิดห่อสิ่งของออก กลิ่นผงหอมหอมกรุ่นตลบอบอวล กลิ่นหอมหลากหลายชนิดผสมผสานเข้าด้วยกัน กลิ่นอายภายในห้องพาให้หายใจไม่ออกโดยพลัน

 

 

ดวงตาของเทียนชี่สว่างวูบ พุ่งเข้าไปทั้งหยิบทั้งเลือก เหยียลี่ว์ฉีอุดจมูกไว้หลีกลี้ไปไกลโพ้น อีชีหัวเราะฮ่าๆ อยากจะเข้าไปร่วมคึกคักด้วย แต่พอมองเห็นสีหน้าของจิ่งเหิงปัวแล้วจึงนั่งตัวตรงอย่างสง่าผ่าเผยอยู่ฝั่งหนึ่งโดยพลัน แสดงตนว่าแตกต่างจากพวกนั้น

 

 

เจ้าหมาโง่ถูกผ้าซับระดูผืนหนึ่งพันไว้ ดิ้นรนอย่างไร้เรี่ยวแรง เฟยเฟยกระโดดเข้ากลางกองตู้โตวตั้งนานแล้ว มุดเข้าไปข้างในอย่างต่อเนื่อง เหลือเพียงหางใหญ่ฟูฟ่องโผล่ออกมา

 

 

“เจ้าดูสิชุดนี้เป็นอย่างไร แล้วชุดนี้ล่ะ ไอ้หยา ชุดนี้สีสันไม่เลว!” เหล่าเจ็ดสังหารนั่งยองอยู่ในกองอาภรณ์สตรี ช่วยเทียนชี่ทั้งหยิบทั้งเลือก

 

 

จิ่งเหิงปัวรู้สึกว่าโลกใบนี้ช่างแฟนตาซีเหลือเกิน

 

 

“ประเดี๋ยวค่อยเลือก! ประ! เดี๋ยว! ค่อย! เลือก!” จิ่งเหิงปัวตะโกนลั่นเสียงหนึ่ง ทุกคนเงยหน้าโดยพร้อมเพรียง

 

 

“มองหน้าข้า” จิ่งเหิงปัวชี้จมูกพลางถามเจ็ดสังหารว่า “พวกเจ้าไม่รู้สึกประหลาดใจแม้แต่น้อยเลยหรือ?”

 

 

บนใบหน้านางก็แปลงโฉมเสร็จเรียบร้อยแล้ว เหตุใดเจ็ดสังหารมองเห็นนางแล้วถึงไม่มีสีหน้าประหลาดใจเลยแม้แต่น้อย?

 

 

“นั่นสิ ประหลาดใจจังเลย” ซือซือเอ่ยว่า “ปัวปัว เหตุใดวันนี้เจ้าประทินโฉมได้อัปลักษณ์เยี่ยงนี้?”

 

 

จิ่งเหิงปัวยกมือทาบอก…ไม่หรอกมั้ง? ชัดเจนขนาดนั้นเลยเหรอ แล้วก่อนหน้านี้ทำไมไม่มีใครจำได้ นางมองไปทางเหยียลี่ว์ฉีด้วยสายตาขอความช่วยเหลือ เหยียลี่ว์ฉีส่ายหน้า เขารู้สึกว่าการแปลงโฉมของจิ่งเหิงปัวมีทักษะที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไม่ค่อยคล้ายการแปลงโฉมในยุคสมัยนี้เท่าใด อันที่จริงไม่ได้มองออกได้ง่ายดายขนาดนั้น

 

 

“มองปราณสิ” พวกเฮฮาหัวเราะฮ่าๆ แย่งกันเอ่ยวาจาว่า “พวกเรามองคนไม่มองหน้าตา พวกเรามองปราณ อาจารย์เคยสอนวิธีมองปราณให้พวกเรา ปราณของทุกคนแตกต่างกัน ต่อให้เจ้าแปลงโฉมเป็นร้อยใบหน้า พวกเราก็จำได้อยู่ดีล่ะ”

 

 

จิ่งเหิงปัวโล่งอก อย่างน้อยก็ไม่ใช่เพราะนางมีฝีมือไม่พอ

 

 

“อีกทั้งสายตาของเจ้า” วาจาต่อมาของซานอู่ทำลายการปลอบโยนตัวเองของนางอย่างโหดร้ายว่า “สายตาเจ้าแตกต่างจากผู้อื่น เปล่งประกายดุจสายธารโดยกำเนิด งดงามเป็นธรรมชาติ จ้องมองดวงตาเจ้าอีกชั่วครู่ย่อมรู้ได้” เขาหยุดอยู่ครู่หนึ่ง เอ่ยเสริมว่า “โดยเฉพาะบุรุษ”

 

 

จิ่งเหิงปัวเกาคาง…เช่นนี้แล้วทำอย่างไรดีล่ะ?

 

 

“ตนเองยังรู้สึกว่าไม่เหมือน เช่นนั้นอย่าได้หวังว่าผู้อื่นคิดว่าเจ้าเหมือน อยากหลอกลวงผู้อื่นย่อมต้องหลอกลวงตนเองให้ได้ก่อน อมิตพุทธ” อู่ซานพนมมือ

 

 

พระปลอมรอบรู้ศาสตร์แห่งการหลอกลวง

 

 

“เรื่องเช่นแปลงโฉมปลอมตัวนี้” ชีอี้ที่ค่อนข้างเอ่ยวาจาน้อยสุดเคร่งขรึมมากสุดในหมู่เจ็ดสังหารพลันเอ่ยว่า “ปลอมตัวจนผู้ใดก็นึกไม่ถึงจะมั่วซั่วผ่านด่านได้ง่ายดายเป็นที่สุด”

 

 

“ผู้ใดก็นึกไม่ถึง?” จิ่งเหิงปัวเท้าแก้มครุ่นคิด

 

 

“ไว้ใจพวกเราได้เลย!” เจ็ดสังหารหัวเราะฮ่าๆ ก้าวเท้าวิ่งเข้าไปผลักนางลงบนที่นั่ง จิ่งเหิงปัวอยากจะดิ้นรน พวกเฮฮาเชื่อไม่ได้เป็นที่สุด แต่สู้พละกำลังมากมายของหลายคนไม่ได้ ซ้ำยังคิดว่าอย่างไรเสียพอมีเวลาอยู่บ้าง มองดูผลลัพธ์แล้วค่อยว่ากัน อาจจะได้ดีใจระคนแปลกใจก็ได้นะ

 

 

เจ็ดคนช่วยกันคนละไม้ละมือด้วยเพราะกลัวว่าจิ่งเหิงปัวจะไม่เห็นด้วย คนยกน้ำก็ยกน้ำ คนเช็ดหน้าก็เช็ดหน้า คนเตรียมเครื่องมือก็เตรียมเครื่องมือ คนทาดินเหนียวก็ทาดินเหนียว อีชียืนอยู่ข้างหลังนาง แกะผมของนางออกแล้วคว้าไว้หวีเป็นมวยผมมั่วซั่ว ผ่านไปไม่นาน เจ็ดคนจึงเอ่ยโดยพร้อมเพรียงกันว่า “เสร็จแล้ว!”

 

 

จิ่งเหิงปัวแอบคิดว่าทำไมรวดเร็วขนาดนี้ พอหันหน้ามองกระจกแล้วแทบจะคว่ำโต๊ะ

 

 

ในกระจกคือผู้ชาย!

 

 

 

 

 

 

[1] เซ่าซือ ตำแหน่งขุนนางผู้ช่วยของกษัตริย์