พอจิ่งเหิงปัวเงยหน้า ดวงตาสว่างวูบ
เป็นบุคคลที่สง่างามอย่างยิ่ง
แม้เสื้อคลุมยาวสีฟ้าอ่อนทั่วร่างสกปรกมอมแมม ผมดำขลับทั่วศีรษะพัดพลิ้วปลิวสยาย แต่ไม่ว่าแต่งกายตามใจชอบอย่างไรต่างขับรูปร่างหน้าตางดงามโดยกำเนิดของเขาให้โดดเด่นได้อย่างพอดิบพอดี เขามีคิ้วที่เย่อหยิ่งยิ่งนัก ดวงเนตรที่เรียวยาวทว่านัยน์ตากลมนั้นดำขลับยวดยิ่ง รูปร่างหน้าตาสอดคล้องกลายเป็นท่าทางเปิดเผยรักอิสระ ยามหัวเราะลั่นพาให้นึกถึงเมฆหมอกที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วก่อนพายุฝนหรือสายลมที่พัดพาแสงเดือนแสงดาวเหนือท้องนภาให้สูญสิ้น
มองหน้าตาของคนผู้นี้โดยละเอียดก็ไม่นับว่างดงามล้ำเลิศ เหนือกว่าผู้อื่นตรงบุคลิกแจ่มชัด ท่วงท่าพาให้เห็นแล้วยากลืมเลือน
สายตาที่เหยียลี่ว์ฉีมองเขาไม่ได้ชื่นชมขนาดจิ่งเหิงปัว เอ่ยอย่างเย็นชาว่า “อิงไป๋ สุราของวันนี้ยังไม่ทำให้เจ้าเมามายจนสิ้นชีพอีกหรือ?”
หัวคิ้วของจิ่งเหิงปัวกระตุกวูบ
สมุหราชองครักษ์อิงไป๋แห่งอวี้จ้าวหลงฉี!
ได้ยินชื่อมานาน แต่เพิ่งได้เห็นเป็นครั้งแรก
ผู้ใดในตี้เกอต่างรู้ว่าสมุหราชองครักษ์อิงไป๋คือผู้นำทางจิตวิญญาณแห่งอวี้จ้าว ตำแหน่งเทียบเท่าเฉิงกูมั่วแห่งคั่งหลง ทว่าอ่อนวัยและมีชื่อเสียงยิ่งกว่าเฉิงกูมั่ว เล่ากันว่าเขามาจากตระกูลขุนนาง ยามเป็นเด็กหนุ่มล้างผลาญตระกูลจนหมดสิ้นทรัพย์สินแล้วจึงสมัครเป็นทหาร เป็นตั้งแต่ทหารชั้นผู้น้อยจนกระทั่งก้าวสู่ผู้บัญชาการ ซ้ำยังเป็นหนึ่งในผู้ช่วยมากความสามารถของกงอิ้นด้วย เพียงแต่เจ้าคนนี้ไม่ชื่นชอบอำนาจทางทหาร ชื่นชอบเพียงสุราเลิศรสกับโฉมสะคราญ หลังจากเป็นสมุหราชองครักษ์แล้วอยู่ว่างเอ้อระเหยลอยชาย มักขอลาป่วยไม่ยอมทำงาน ทุกคนต่างรู้ว่าเขาน่าจะไปหอคณิกาหรือเหลาสุรา อย่างไรเสียกงอิ้นยังทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ผู้อื่นยิ่งไม่สนใจไยดี
ก่อนหน้านี้จิ่งเหิงปัวเคยได้ยินเรื่องเล่าเกี่ยวกับอิงไป๋มาบ้าง ทหารอวี้จ้าวพอเอ่ยถึงเขาก็มีสีหน้าเลื่อมใสอย่างยิ่ง เอ่ยกันว่าเขาคือไอดอลดีเด่นที่ ‘ดวลสุราไม่เคยพ่ายแพ้ นอนกับสตรีไม่ต้องจ่ายเงินเอง’
เรียกได้ว่า ‘ร่ำสุราทั่วตี้เกอยังยืนไหว ร่วมหลับใหลทุกหอคณิกา’
นึกไม่ถึงว่าบุคคลที่ตอนอยู่ตี้เกอยังไม่เคยได้พบเห็น คราวนี้จะตามมาที่แคว้นเซียงด้วย
“ราชครูเหยียลี่ว์ยังไม่สิ้นชีพ แล้วอิงไป๋จะกล้าสิ้นชีพได้อย่างไร?” อิงไป๋ดื่มสุราภายในกระบอกสุราน้อยติดกายอึกหนึ่ง หัวเราะฮ่าๆ แล้วเอ่ยว่า “ไม่ว่าอย่างไรจะต้องจับกุมมือสังหารก่อนแล้วค่อยสิ้นชีพสิ”
“มือสังหารจากที่ใดกัน” เหยียลี่ว์ฉียิ้มแย้ม กล่าวว่า “ข้าช่วยเจ้าจับดีหรือไม่?” เสียงวาจายังไม่ทันสิ้น เรือนร่างกะพริบวูบ แสงสีดำสายหนึ่งพุ่งตรงสู่หน้าอกของอิงไป๋
อิงไป๋รีบถอยหลัง แสงสีดำหยุดชะงัก จากแสงเดียวแบ่งแยกออกเป็นแสงสีดำอีกสองสายท่ามกลางเสียงคำรามนั้น คราวนี้แยกกันขัดขวางเส้นทางข้างบนข้างล่างของเขา อิงไป๋ทอดกายไปข้างหลังครั้งหนึ่งเพื่อหลบหลีก แสงสีดำหยุดชะงักอีกครั้ง จากสองแสงแบ่งแยกเป็นสี่แสง พุ่งสู่จุดสำคัญทั่วร่างเขา อิงไป๋ได้แต่หลีกถอยอีกครั้ง ถูกบังคับให้ถอยอีกสามจั้งในพริบตา
“เหยียลี่ว์ฉีชาติก่อนเจ้าต้องเป็นสตรีแน่ถึงได้ลอบโจมตีเก่งนัก!” อิงไป๋ยิ่งถอยยิ่งห่างไกล ดื่มสุราไปพลางตะโกนกลางอากาศไปพลางว่า “นี่ แม่นาง หากมีโอกาสก็มาซดน้ำแกงปลาที่ข้าตุ๋นสิ! น้ำแกงปลาของอิงไป๋เลื่องชื่อทั่วตี้เกอ น้ำแกงบริสุทธิ์รสเลิศ เหล่าบุตรสาวผู้ดีในตี้เกอแย่งกันหัวร้างข้างแตก…”
“ไอ้กุ๊ย!” จิ่งเหิงปัวตะโกนด่า
…
ไกลออกไปมีป่าไม้เบาบางแห่งหนึ่ง
กลางป่าไม้มีผู้เอามือไพล่หลังยืนตรงตระหง่าน ไม่ขยับเขยื้อนแม้เพียงน้อย คล้ายกำลังมองทิวทัศน์เหมันต์เปล่าเปลี่ยวแห่งนี้
เงาร่างกะพริบวูบ คนผู้หนึ่งทอดลงข้างกายเขา ลมหายใจสงบนิ่ง ยิ้มแย้มเล็กน้อย
“เป็นอย่างไร”
“น่าสนุกอยู่บ้าง”
“ข้าถามว่าเหตุใดเจ้าจึงจับเขากลับมาไม่ได้”
“สู้ไม่ไหว”
เสียงเงียบสนิทระลอกหนึ่ง
“ข้าว่านะนายท่าน…”
“หืม?”
“วันนี้เจ้าให้ข้าไล่ตามครั้งนี้ ก็ตั้งใจให้ข้าจับคนหรือว่าให้ข้ามองคนกันแน่? ให้ข้าจับเขาหรือว่ามองนางกันแน่เล่า”
เงียบสนิทระลอกหนึ่ง
“อิงไป๋”
“อืม”
“เจ้าดูสิ ฟ้าใกล้มืดแล้ว”
…
ระหว่างทางกลับ เหยียลี่ว์ฉียื่นบัตรเชิญใบหนึ่งให้จิ่งเหิงปัว
จิ่งเหิงปัวมองบนบัตรเชิญ ความหมายคร่าวๆ คือราชวงศ์เชิญใต้เท้าปั๋วตำแหน่งเซ่าซือ[1]แห่งแคว้นอวี่และฮูหยินจุ่นเข้าร่วมงานเลี้ยงหมั้นหมายขององค์หญิงเหอหว่านในค่ำคืนนี้
“ฐานะที่เฟยหลัวตระเตรียมให้เจ้าหรือ?”
“ไม่ใช่ ข้าไม่ได้ใช้ฐานะที่นางตระเตรียมไว้ให้ ซ้ำยังคิดหาวิธีอื่นด้วย ข้าเพียงเอ่ยกับเฟยหลัวว่าพอถึงยามนั้นใช้สัญญาณลับกระทำเรื่องราว”
จิ่งเหิงปัวพยักหน้า รู้สึกว่าแบบนี้เหมาะสมยิ่งกว่า เดิมทีนางวางแผนจะแฝงตัวเข้าสู่ขบวนนางกำนัลของเหอหว่าน ปรากฏตัวพร้อมนางแล้วค่อยฉวยโอกาสตามเหตุการณ์ ในเมื่อเกิดความผิดพลาดกลางคัน อย่างนั้นก็ทำตามแผนการเดิม
ไม่รู้เหมือนกันว่ากงอิ้นสัญญาอะไรกับเหอหว่าน วางแผนจะทำอย่างไร จิ่งเหิงปัวได้แต่คอยดูสถานการณ์แล้วค่อยวางแผน แต่ปล่อยเฟยหลัวไปไม่ได้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม
ภายในโรงเตี๊ยม นางตั้งอกตั้งใจแต่งหน้าแปลงโฉมมากยิ่งขึ้น สถานการณ์ในค่ำคืนนี้สำคัญอย่างยิ่ง ต้องปรากฏตัวต่อหน้าคนคุ้นเคยมากมายขนาดนั้น ถ้าถูกมองออกในแวบเดียวต้องเกิดปัญหาแน่
เจ้าหมาโง่กระโดดโลดเต้นอยู่ฝั่งหนึ่ง เอียงศีรษะอย่างประหลาดใจบ่อยครั้ง ไม่เข้าใจว่าเหตุใดต้าปัวพลันกลายเป็นตัวประหลาดขนาดนี้แล้ว
“เจ้าหมาโง่ ข้างดงามหรือไม่” จิ่งเหิงปัวยิ้มหยาดเยิ้มในกระจกเงาให้เจ้าหมาโง่
เจ้าหมาโง่ถอนหายใจเสียงยาว เอ่ยว่า “ดาวคล้อยทุ่งกว้างใหญ่ จันทร์พลิ้วไหวตามธารา พอต้าปัวหันหน้า วัวของข้าตกใจตาย”
จิ่งเหิงปัวดีดนิ้วครั้งหนึ่ง เฟยเฟยเดินเตร่เข้ามาตบท่านนกจนล้มลงบนพื้นในฝ่ามือเดียว
จิ่งเหิงปัวเตะเจ้านกที่กลายเป็นก้อนจนนับครั้งไม่ถ้วนไปทางซอกมุมเพื่อจะได้ไม่ขวางทาง ได้ยินเสียงดังเอะอะระลอกหนึ่งที่นอกประตู ฟังเสียงก็รู้ว่าเจ็ดสังหารกลับมาแล้ว
พวกเฮฮาขายตัวเองไปเที่ยวเล่นในตระกูลใหญ่โตของแคว้นเซียงหนึ่งวัน ไม่รู้ว่าได้อะไรกลับมาบ้าง
เพียงแต่ไม่ต้องให้นางไปถาม พวกเฮฮาก็ต้องรีบร้อนอวดของล้ำค่ากันอยู่แล้ว
เสียงมาถึงก่อนเจ้าของร่างอย่างที่คิดไว้ สับสนวุ่นวายดังอึกทึกกว่าเจ้าหมาโง่
“ดูของสะสมของข้า!”
“ดูของล้ำค่าที่ข้าแสวงหามาคืนนี้!”
“พวกเจ้าหยิบสิ่งใดกันมา ของข้าถึงเป็นของล้ำค่าอันดับหนึ่งสิ่งเดียวไม่มีสอง แต่นแตนแต๊น!”
จิ่งเหิงปัวเดินมาถึงข้างประตู สิ่งของเรียวยาวชิ้นหนึ่งลอยมาปะทะใบหน้า คลุกเคล้าเสียงร้องยินดีตื่นเต้นดีใจของพวกเฮฮาว่า “ปัวปัวๆ มอบให้เจ้า!”
จิ่งเหิงปัวคว้าลงมามอง ผ้าซับระดู
พอมองดูห่อผ้าใหญ่ที่เหล่าเจ็ดสังหารแบกไว้ นอกจากเงินทองเครื่องประดับแล้วยังมีตู้โตวห่อใหญ่ ชั้นในห่อใหญ่ ถุงเงินห่อใหญ่ ชาดแดงแป้งร่ำห่อใหญ่ รองเท้าปักลายห่อใหญ่ ถุงเท้าไหมห่อใหหญ่…ส่วนใหญ่เป็นสิ่งของข้างกายสตรี
เมื่อคืนนี้เหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องน่าจะได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นอิงแอบแนบชิดทั้งคืน ฉะนั้นสิ่งของที่ฉวยโอกาสปล้นได้จึงมีแต่ของใช้ส่วนตัวในห้องนอนของสตรี
ยามที่เปิดห่อสิ่งของออก กลิ่นผงหอมหอมกรุ่นตลบอบอวล กลิ่นหอมหลากหลายชนิดผสมผสานเข้าด้วยกัน กลิ่นอายภายในห้องพาให้หายใจไม่ออกโดยพลัน
ดวงตาของเทียนชี่สว่างวูบ พุ่งเข้าไปทั้งหยิบทั้งเลือก เหยียลี่ว์ฉีอุดจมูกไว้หลีกลี้ไปไกลโพ้น อีชีหัวเราะฮ่าๆ อยากจะเข้าไปร่วมคึกคักด้วย แต่พอมองเห็นสีหน้าของจิ่งเหิงปัวแล้วจึงนั่งตัวตรงอย่างสง่าผ่าเผยอยู่ฝั่งหนึ่งโดยพลัน แสดงตนว่าแตกต่างจากพวกนั้น
เจ้าหมาโง่ถูกผ้าซับระดูผืนหนึ่งพันไว้ ดิ้นรนอย่างไร้เรี่ยวแรง เฟยเฟยกระโดดเข้ากลางกองตู้โตวตั้งนานแล้ว มุดเข้าไปข้างในอย่างต่อเนื่อง เหลือเพียงหางใหญ่ฟูฟ่องโผล่ออกมา
“เจ้าดูสิชุดนี้เป็นอย่างไร แล้วชุดนี้ล่ะ ไอ้หยา ชุดนี้สีสันไม่เลว!” เหล่าเจ็ดสังหารนั่งยองอยู่ในกองอาภรณ์สตรี ช่วยเทียนชี่ทั้งหยิบทั้งเลือก
จิ่งเหิงปัวรู้สึกว่าโลกใบนี้ช่างแฟนตาซีเหลือเกิน
“ประเดี๋ยวค่อยเลือก! ประ! เดี๋ยว! ค่อย! เลือก!” จิ่งเหิงปัวตะโกนลั่นเสียงหนึ่ง ทุกคนเงยหน้าโดยพร้อมเพรียง
“มองหน้าข้า” จิ่งเหิงปัวชี้จมูกพลางถามเจ็ดสังหารว่า “พวกเจ้าไม่รู้สึกประหลาดใจแม้แต่น้อยเลยหรือ?”
บนใบหน้านางก็แปลงโฉมเสร็จเรียบร้อยแล้ว เหตุใดเจ็ดสังหารมองเห็นนางแล้วถึงไม่มีสีหน้าประหลาดใจเลยแม้แต่น้อย?
“นั่นสิ ประหลาดใจจังเลย” ซือซือเอ่ยว่า “ปัวปัว เหตุใดวันนี้เจ้าประทินโฉมได้อัปลักษณ์เยี่ยงนี้?”
จิ่งเหิงปัวยกมือทาบอก…ไม่หรอกมั้ง? ชัดเจนขนาดนั้นเลยเหรอ แล้วก่อนหน้านี้ทำไมไม่มีใครจำได้ นางมองไปทางเหยียลี่ว์ฉีด้วยสายตาขอความช่วยเหลือ เหยียลี่ว์ฉีส่ายหน้า เขารู้สึกว่าการแปลงโฉมของจิ่งเหิงปัวมีทักษะที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไม่ค่อยคล้ายการแปลงโฉมในยุคสมัยนี้เท่าใด อันที่จริงไม่ได้มองออกได้ง่ายดายขนาดนั้น
“มองปราณสิ” พวกเฮฮาหัวเราะฮ่าๆ แย่งกันเอ่ยวาจาว่า “พวกเรามองคนไม่มองหน้าตา พวกเรามองปราณ อาจารย์เคยสอนวิธีมองปราณให้พวกเรา ปราณของทุกคนแตกต่างกัน ต่อให้เจ้าแปลงโฉมเป็นร้อยใบหน้า พวกเราก็จำได้อยู่ดีล่ะ”
จิ่งเหิงปัวโล่งอก อย่างน้อยก็ไม่ใช่เพราะนางมีฝีมือไม่พอ
“อีกทั้งสายตาของเจ้า” วาจาต่อมาของซานอู่ทำลายการปลอบโยนตัวเองของนางอย่างโหดร้ายว่า “สายตาเจ้าแตกต่างจากผู้อื่น เปล่งประกายดุจสายธารโดยกำเนิด งดงามเป็นธรรมชาติ จ้องมองดวงตาเจ้าอีกชั่วครู่ย่อมรู้ได้” เขาหยุดอยู่ครู่หนึ่ง เอ่ยเสริมว่า “โดยเฉพาะบุรุษ”
จิ่งเหิงปัวเกาคาง…เช่นนี้แล้วทำอย่างไรดีล่ะ?
“ตนเองยังรู้สึกว่าไม่เหมือน เช่นนั้นอย่าได้หวังว่าผู้อื่นคิดว่าเจ้าเหมือน อยากหลอกลวงผู้อื่นย่อมต้องหลอกลวงตนเองให้ได้ก่อน อมิตพุทธ” อู่ซานพนมมือ
พระปลอมรอบรู้ศาสตร์แห่งการหลอกลวง
“เรื่องเช่นแปลงโฉมปลอมตัวนี้” ชีอี้ที่ค่อนข้างเอ่ยวาจาน้อยสุดเคร่งขรึมมากสุดในหมู่เจ็ดสังหารพลันเอ่ยว่า “ปลอมตัวจนผู้ใดก็นึกไม่ถึงจะมั่วซั่วผ่านด่านได้ง่ายดายเป็นที่สุด”
“ผู้ใดก็นึกไม่ถึง?” จิ่งเหิงปัวเท้าแก้มครุ่นคิด
“ไว้ใจพวกเราได้เลย!” เจ็ดสังหารหัวเราะฮ่าๆ ก้าวเท้าวิ่งเข้าไปผลักนางลงบนที่นั่ง จิ่งเหิงปัวอยากจะดิ้นรน พวกเฮฮาเชื่อไม่ได้เป็นที่สุด แต่สู้พละกำลังมากมายของหลายคนไม่ได้ ซ้ำยังคิดว่าอย่างไรเสียพอมีเวลาอยู่บ้าง มองดูผลลัพธ์แล้วค่อยว่ากัน อาจจะได้ดีใจระคนแปลกใจก็ได้นะ
เจ็ดคนช่วยกันคนละไม้ละมือด้วยเพราะกลัวว่าจิ่งเหิงปัวจะไม่เห็นด้วย คนยกน้ำก็ยกน้ำ คนเช็ดหน้าก็เช็ดหน้า คนเตรียมเครื่องมือก็เตรียมเครื่องมือ คนทาดินเหนียวก็ทาดินเหนียว อีชียืนอยู่ข้างหลังนาง แกะผมของนางออกแล้วคว้าไว้หวีเป็นมวยผมมั่วซั่ว ผ่านไปไม่นาน เจ็ดคนจึงเอ่ยโดยพร้อมเพรียงกันว่า “เสร็จแล้ว!”
จิ่งเหิงปัวแอบคิดว่าทำไมรวดเร็วขนาดนี้ พอหันหน้ามองกระจกแล้วแทบจะคว่ำโต๊ะ
ในกระจกคือผู้ชาย!
[1] เซ่าซือ ตำแหน่งขุนนางผู้ช่วยของกษัตริย์