ตอนที่ 10 - 4 แหวนที่น่ามสาน

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2]

แววตาของเหยียลี่ว์ฉีจ้องเขม็ง ทอดลงตรง ‘เข็มกลัดปกเสื้อ’ บนคอเสื้อนางโดยพลัน สีหน้าเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย

 

 

จิ่งเหิงปัวรู้สึกอึดอัดขึ้นมาบ้าง ขณะที่กำลังไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไรดี ก็ได้ยินเขายิ้มแย้มพลางเอ่ยขึ้นมาทันทีว่า “กลายเป็นเข็มกลัดปกเสื้อแล้วน่ามองยิ่งกว่าเดิมจริงด้วย เจ้าชื่นชอบหรือไม่”

 

 

“หา?” จิ่งเหิงปัวงงงัน ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงกล่าวอย่างงงงวยว่า “ในห้องนั้น…เป็นเจ้าเองหรือ?”

 

 

แววตาของเหยียลี่ว์ฉีกะพริบวูบ มองข้างหลังปราดหนึ่งคล้ายครุ่นคิดบางสิ่ง ยิ้มแย้มพลางเอ่ยว่า “ใช่แล้ว”

 

 

“เป็นเจ้าได้อย่างไร…” จิ่งเหิงปัวเหม่อลอย

 

 

“เหตุใดจึงเป็นข้าไม่ได้?” เหยียลี่ว์ฉีเชิดนิ้วมือชี้มายังเข็มกลัดปกเสื้อ ยิ้มแย้มพลางเอ่ยว่า “แหวนยังสะดุดตาเกินไปหน่อย เป็นเข็มกลัดปกเสื้อเช่นนี้ดีกว่า งดงามแปลกใหม่ ซ้ำยังไม่ดึงดูดความสนใจของผู้อื่น”

 

 

จิ่งเหิงปัวคิดว่าก็แปลกใหม่อยู่หรอก แต่เข็มกลัดปกเสื้อมันสะดวกสู้แหวนเสียที่ไหน? อีกอย่างแหวนวงนี้เห็นแล้วรู้เลยว่าเป็นของสำคัญล้ำค่า โค้งงอกลายเป็นเข็มกลัดแบบนี้จะดีจริงๆ หรือ?

 

 

ยิ่งไปกว่านั้น เหตุใดวาจาประโยคนี้ของเหยียลี่ว์ฉีฟังดูแล้วผิดปกติชอบกล?

 

 

แต่ในทางกลับกัน ถ้าตัวเขาเองไม่ใช่คนลงมือกับแหวนวงนี้ เหตุใดเขาถึงไม่ตกใจไม่สืบหาแม้แต่น้อยเล่า?

 

 

ในใจนางสับสนวุ่นวาย ข้อวินิจฉัยบางอย่างถูกล้มล้าง ข้อสงสัยบางอย่างถูกอำพราง คล้ายเดินอยู่ท่ามกลางหมอกหนา แต่เดิมนึกว่าสัมผัสเป้าหมายส่วนหนึ่งแล้ว จากนั้นพลันมีคนบอกเจ้าว่าสิ่งของนั้นไม่ได้อยู่ตรงนั้นด้วยซ้ำ

 

 

“เจ้าอยู่ของเจ้าดีแล้ว จะเสี่ยงอันตรายแล่นมาวางยาสลบข้าในห้องด้วยเหตุใด? มีเรื่องใดรอให้ข้ากลับไปก่อนค่อยกระทำไม่ได้หรือ ลึกลับซับซ้อนเช่นนี้เชียว?” นางยังคงรู้สึกว่าผิดปกติ

 

 

“ข้ารู้สึกว่าสีหน้าเจ้าเปลี่ยนแปลงไป” เหยียลี่ว์ฉีดมกลิ่นนางโดยพลัน เอ่ยว่า “บนร่างเจ้ามีปราณยา ข้าไม่แน่ใจว่าปราณยานี้เป็นประโยชน์ต่อเจ้าหรือไม่ รีบร้อนอยากทำให้แน่ใจสักหน่อย ข้ากลัวว่าเจ้าจะเปล่งเสียงออกมาทำให้คนข้างนอกรู้ตัวจึงวางยาสลบเจ้าเสียเลย อีกทั้งสภาวะสงบนิ่งเป็นประโยชน์ต่อการจัดระเบียบลมปราณเป็นที่สุด เรื่องเช่นนี้กระทำรวดเร็วดีกว่าชักช้า หากเจ้าเกิดพลาดพลั้งกระไรขึ้นมา ข้ากลัวว่าข้าจะไม่ทันได้ร้องไห้”

 

 

รอยยิ้มของเขามัวสลัวภายใต้อาทิตย์อัสดง ท่วงท่าเยือกเย็นสุขุมยิ่งนัก

 

 

จิ่งเหิงปัวว้าวุ่นใจมากยิ่งขึ้น นางหันหน้าไปอีกทาง ตรงหน้าคือแม่น้ำสายน้อย บนชายฝั่งแม่น้ำมีเศษหินกระจัดกระจายอยู่ นางเดินเข้าไปล้างมือ วักคลื่นน้ำหลายครั้งหลายคราว

 

 

เงาของเหยียลี่ว์ฉีสะท้อนเลือนรางพร่ามัวอยู่กลางสายน้ำ เสียงคล้ายถูกสายลมยามเหมันต์นี้พัดพาสูญสลายไปด้วย

 

 

“เป็นข้าเอง เจ้าผิดหวังยิ่งนักหรือ”

 

 

“เปล่าสักหน่อย”

 

 

“เจ้าหวังว่าจะเป็นผู้ใดกัน”

 

 

“เกี่ยวอะไรกับเจ้า”

 

 

เกิดเป็นความนิ่งเงียบระลอกหนึ่ง

 

 

 

 

“เหตุใดต้องช่วยเขา” เขาเอ่ยขึ้นมาอีกครั้งโดยพลัน

 

 

มือที่วักน้ำของจิ่งเหิงปัวหยุดชะงัก จากนั้นก็หยิบก้อนหินขึ้นมาโยนให้กระดอนบนผิวน้ำอย่างไม่สนใจไยดีอะไรทั้งนั้น

 

 

“ข้าช่วยเหอหว่านต่างหาก”

 

 

“จริงหรือ?” เขายิ้มแย้มอยู่ข้างหลังนาง

 

 

จิ่งเหิงปัวเกลียดรอยยิ้มแบบนี้ นิ้วมือแช่อยู่กลางสายน้ำเย็นเยียบ คล้ายว่าแบบนี้ถึงสยบเพลิงร้อนรุ่มกลุ่มหนึ่งในใจได้

 

 

“จริงหรือเท็จ เรื่องนี้ต่างเป็นอิสระของพี่”

 

 

“จิ่งเหิงปัว” เหยียลี่ว์ฉีถอนใจ เอ่ยว่า “ข้าเพียงกลัวว่าเจ้าจะใจอ่อนเช่นเดิม สุดท้ายจะทำร้ายชีวิตเจ้าเอง”

 

 

“ข้ายังคงใจอ่อนโดยแท้” นางหัวเราะขึ้นมา ทัดจอนผมแล้วหันหลังกลับมามองเขา กล่าวต่อไปว่า “ไม่อย่างนั้นข้าก็ควรสังหารเจ้าเป็นคนแรกแล้วที่รัก”

 

 

“หากวันหนึ่งวันใดเจ้าสามารถสังหารข้าได้จริง เชิญจัดการให้เต็มที่ได้เลย” เขายิ้มแย้มคล้ายจริงใจและคล้ายลวงหลอก

 

 

จิ่งเหิงปัวเอื้อมมือจิ้มร่างเขา ยิ้มหยาดเยิ้มพลางกล่าวว่า “รอหน่อยนะเจ้าเด็กดี”

 

 

ผมยาวของนางยุ่งเหยิงเล็กน้อย พลิ้วสยายกลางสายลม หมู่นี้คล้ายซูบผอมลงบ้าง เรือนร่างยืนเอนเอียงโซเซอยู่ตรงนั้น ท่วงท่าดุจดั่งกิ่งหลิวบอบบางพึ่งพิงสายลม นิ้วมือเรียวยาวและอ่อนนุ่ม ไม่ได้ทาเล็บหลากหลายสีสันอีก ทว่าเปล่งแสงเป็นประกาย ยามแตะต้องแผ่วเบาเพียงครั้ง แม้แต่สายลมหนาวสะท้านยามเหมันต์ครู่นี้ยังนุ่มนวลขึ้นมาโดยพลัน

 

 

เหยียลี่ว์ฉีรู้สึกเพียงว่าดวงใจคล้ายถูกสะกิดเกาแผ่วเบา อดจะก้าวไปข้างหน้าหลายก้าวไม่ได้ สายตาพลันแน่วแน่ ก้าวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว โอบต้นคอของนางไว้แล้วก้มศีรษะลงมา

 

 

จิ่งเหิงปัวนึกไม่ถึงเลยว่าเขาจะเข้ามาใกล้อย่างกะทันหัน ยังไม่ทันได้รู้สึกตัวเรือนร่างก็ถูกลากเข้าสู่อ้อมแขนของเขาแล้ว ใบหน้าของเหยียลี่ว์ฉีประชิดใกล้ลำคอของนาง ไอร้อนจากลมหายใจราดรดบนลำคอนาง พัดผ่านปอยผมหลังใบหูจนคันยุบยิบ

 

 

นางตื่นตกใจ วิชาป้องกันตัวเองทำงานในทันที ยกเข่าขึ้นค้ำยันสัดส่วนทองคำ!

 

 

เหยียลี่ว์ฉีใช้มือคว้าเพียงครั้ง คว้าขาอ่อนของนางเอาไว้ในมือเดียว ร้องว่า “อย่าขยับ!”

 

 

จิ่งเหิงปัวทั้งโกรธเคืองทั้งขำขันทั้งรู้สึกแปลกประหลาด…เจ้าคนนี้บ้ากามขึ้นสมองกะทันหันเหรอ?

 

 

ท่วงท่าตอนนี้ของทั้งสองคนค่อนข้างคลุมเครือ เขาคว้าขาของนางไว้ ใบหน้าใกล้ชิดหลังต้นคอนาง นางยืนด้วยขาข้างเดียว เรือนร่างเอนเอียงไปข้างหลังพยายามหลบหลีก มองจากมุมใดมุมหนึ่งคล้ายเขากำลังจุมพิตข้างลำคอของนาง

 

 

จิ่งเหิงปัวกำลังคิดอยากจะตบเขาออกไป แต่รู้สึกได้ว่าเขาถอยออกมาเล็กน้อยแล้ว จากนั้นก็ยกมือทั้งบีบทั้งเคล้นบนลำคอนาง

 

 

นางเพิ่งรู้สึกว่าเจ็บปวดเล็กน้อย เขาดีดนิ้วมือแล้ว เอ่ยว่า “เสร็จแล้ว”

 

 

ซ้ำยังเอ่ยว่า “เจ้าเป็นอะไรไป ถูกตัวต่อต่อยแล้วยังไม่รู้จักเจ็บปวด? ตัวต่อชนิดนี้มีพิษ แม้ว่าต่อยครั้งเดียวเอาชีวิตเจ้าไม่ได้ ทว่าหากพิษเสียดแทงอยู่ภายในผิวกายเจ้านานวันเข้า ยามคิดจะเอาออกมาอีกครั้งย่อมยากลำบากแล้ว จะเหลือรอยแผลเป็นได้”

 

 

คราวนี้จิ่งเหิงปัวถึงลูบคลำข้างต้นคอของตนเองแล้วพบว่าบวมเป็นตุ่มขนาดใหญ่ตุ่มหนึ่งแล้ว นางถูกตัวต่อต่อยเข้าแล้วจริงด้วย เพียงแต่ตัวต่อต่อยเจ็บมากไม่ใช่หรือ? ทำไมตนเองไม่รู้สึกเลยแม้แต่น้อยเล่า

 

 

นิ้วมือของเหยียลี่ว์ฉีลูบผ่านบนต้นคอนางอย่างแผ่วเบา สายตาลุ่มหลงเล็กน้อย…ผิวกายนางละเอียดเกลี้ยงเกลา ขาวบริสุทธิ์ดุจหยกน้ำงามเลิศล้ำ หากมีรอยแผลเพียงเล็กน้อยย่อมสะดุดตาน่าตื่นตกใจยิ่งนัก ผิวกายซึ่งตัวต่อต่อยไว้แดงก่ำทั่วผืน พาให้นึกถึงดอกท้อที่โรยรากลางพื้นหิมะ

 

 

จิตใจหวั่นไหวเล็กน้อย เขาอดจะกระซิบแผ่วเบาไม่ได้ว่า “เหิงปัว เจ้าช่าง…”

 

 

จิ่งเหิงปัวยกมือคว้านิ้วมือของเขาทันที วางไว้บนตำแหน่งหน้าอกของตัวเขาเอง กล่าวพลางยิ้มแย้มว่า “นี่ อย่าขยับเขยื้อนมั่วซั่ว วางไว้ในที่ที่มันควรอยู่ โอเคนะ?”

 

 

เหยียลี่ว์ฉีเชิดสายตาขึ้น ดวงพักตร์ยิ้มแย้มผ่องอำไพจนแทบสะกดผู้คนของนางอยู่เพียงแค่เอื้อม

 

 

เพียงแต่ความสว่างไสวนี้ไม่คล้ายแสงรุ่งโรจน์เจิดจ้ายามอดีตอีกแล้ว เจือด้วยไอกระบี่หนาวสะท้านและแสงมีดดุจหิมะสามส่วน

 

 

นางงดงามเฉกเช่นยามปกติ แม้ว่าแต่งหน้าแปลงโฉม ทว่าแววตาภายในนัยน์ตาคู่หนึ่งยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ดึงดูดสายตาที่ปรารถนาความงดงามทุกคู่บนแดนมนุษย์ดั่งไข่มุกล้ำค่าพันหมื่นปีที่อยู่ก้นทะเลคู่หนึ่ง

 

 

ทว่าเขารู้สึกว่าไม่มีช่วงเวลาใดที่รู้สึกได้ถึงความห่างเหินของมุกดาแห่งโลกมนุษย์นี้อย่างลึกซึ้งได้มากยิ่งกว่าครู่นี้อีกแล้ว เพียงเหินทะยานผนึกแน่นบนระลอกคลื่นเวียนวนตรงจุดสิ้นสุดขอบฟ้า เกิดไอน้ำเกิดเมฆหมอก สาดย้อมทั่วทั้งเมืองสวรรค์มายาแสงลวงตาเรืองรอง

 

 

เขาสูดหายใจเฮือกหนึ่งอย่างเชื่องช้า ถอยหลังก้าวหนึ่ง

 

 

จิ่งเหิงปัวมองนิ้วมือของเขาค่อยๆ ห้อยลง พบทันทีว่าบนมือและบนต้นคอของเขาหลายแห่งถูกตัวต่อต่อยจนบาดเจ็บ ตอนนี้พองบวมฟกช้ำดำเขียวขึ้นมา มองดูแล้วน่าหวาดกลัวอย่างยิ่ง

 

 

ก่อนหน้านี้เขาช่วยนางไว้ก่อนตัวต่อแตกรัง ถอดเสื้อผ้าออกมาห่อหุ้มนางก่อน ตอนนั้นตัวต่อมืดฟ้ามัวดิน แม้วรยุทธ์สูงส่งกว่านี้ยังยากจะหลบเลี่ยงได้รับบาดเจ็บ

 

 

เรื่องนี้ทำให้ในใจนางเกิดความรู้สึกผิดขึ้นมาเล็กน้อย กะพริบตาพลางกล่าวว่า “เจ้าถูกต่อยด้วยหรือ? มียาหรือไม่ ข้าช่วยเจ้าทายา”

 

 

เหยียลี่ว์ฉีเชิดสายตาขึ้น ฟื้นคืนรอยยิ้มสุขุมลึกลับของเขาในพริบตาเดียว เอ่ยว่า “ยินดียิ่งนัก เพียงแต่ไม่มียา เช่นนั้นเจ้าช่วยข้าเป่าสักหน่อยได้หรือไม่”

 

 

“บ๊ายบายลาก่อนซาโยนาระ” จิ่งเหิงปัวหันกายเดินจากไปทันที

 

 

เสียงแหบแห้งเล็กน้อยหัวเราะพลางเอ่ยโดยพลันว่า “โฉมงามไม่ยอมช่วยเจ้าเป่า ข้าช่วยเจ้าดีหรือไม่? สุราเลิศรสมีผลลัพธ์อัศจรรย์กับบาดแผลจากตัวต่อ ชื่นชอบหรือไม่?”

 

 

เสียงวาจายังไม่ทันสิ้น ธารสวรรค์แวววาวเจือด้วยกลิ่นสุรากลุ่มหนึ่งพุ่งลงมาล้อมรอบศีรษะ!

 

 

เหยียลี่ว์ฉีหันกายครั้งหนึ่งส่งจิ่งเหิงปัวไปยังฝั่งตรงข้ามแม่น้ำน้อย

 

 

“อยู่นิ่งๆ ไว้!”

 

 

บนผิวแม่น้ำเกิดลมพายุสีดำเหลือบเงินลูกหนึ่งกับลมพายุสีขาวนวลดั่งดวงจันทร์ลูกหนึ่งหอบม้วนสู้รบอยู่ด้วยกัน แสงกระบี่กับกระแสหมัดสลับซับซ้อน กลางอากาศแผ่ซ่านกำจายกลิ่นหอมสุราเข้มข้นมากยิ่งขึ้น คล้ายไหสุราของผู้ใดล้มระเนระนาด

 

 

จิ่งเหิงปัวมองดูฝั่งตรงข้ามแม่น้ำ ไม่เข้าใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นไปชั่วขณะ คล้ายมีคนสะกดรอยตาม ลงมือจัดการเหยียลี่ว์ฉีกับนางกะทันหัน

 

 

เสียงของคนคนนี้ฟังดูคุ้นเคยเล็กน้อย นางครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ คล้ายเป็นเสียงหัวเราะแผ่วเบาบนยอดไม้ขณะแอบฟังในลานบ้านแห่งนั้นเมื่อครู่นี้

 

 

เรื่องสำคัญยิ่งกว่านั้นคือกลิ่นสุรานี้คุ้นจมูกอย่างยิ่ง

 

 

ทั้งสองคนสู้รบกันงดงามยิ่งนัก ยอดฝีมือสู้รบกันน่าอัศจรรย์แบบนี้ทั้งนั้นเลยหรือ?

 

 

จิ่งเหิงปัวเลือกสถานที่ตรงข้ามฝั่งแม่น้ำนอนลงอย่างสบายอกสบายใจเสียเลย แขนสองข้างประคองหลังศีรษะมองดูการต่อสู้ คิดอยู่ว่าถ้าเหยียลี่ว์ฉีชนะจะไปกระทืบซ้ำสักหน่อย ถ้าเหยียลี่ว์ฉีแพ้ค่อยรีบวิ่งหนี

 

 

สองคนนั้นสู้รบจากฝั่งแม่น้ำไปจนถึงในแม่น้ำแล้วกลับมาบนฝั่งแม่น้ำอีกรอบ กระแสฝ่ามือกระแสหมัดสะบั้นพืชน้ำมากมายกลาดเกลื่อน พาให้ปลามากมายกระเด็นกระดอนขึ้นมา หญ้าต้นหนึ่งร่วงลงข้างปากนาง พอนางได้ลิ้มรสพบว่าเป็นรสหวานชื่น รีบเด็ดมาบางส่วนมัดเป็นช่อ ซ้ำยังใช้หญ้าร้อยปลาที่กระเด็นขึ้นมาบนฝั่งอย่างยุ่งเหยิงวุ่นวาย เตรียมนำกลับไปเคี่ยวน้ำแกงปลาเย็นวันนี้

 

 

บนศีรษะคล้ายมีคนกำลังหัวเราะลั่น

 

 

ปลาเหินขึ้นมาเยอะแยะหลายตัว นางหิวแล้ว คิดอยู่ว่าไม่อย่างนั้นย่างปลากินตอนนี้เสียเลย ตะโกนลั่นบอกเหยียลี่ว์ฉีที่อยู่บนศีรษะว่า “ขอสักกระบี่ ช่วยข้าขอดเกล็ดปลาตัวใหญ่ตัวนี้หน่อย!”

 

 

เสียงพรวดเสียงหนึ่ง เหยียลี่ว์ฉีถูกนางเรียกจนปราณทะลัก ร่วงลงมาดังตุ้บเสียงหนึ่งแล้ว

 

 

จากนั้นเป็นเสียงพรืดอีกเสียงหนึ่ง เจ้าผู้นั้นตีลังกากลางอากาศแล้วเหินลงฝั่งตรงข้ามแม่น้ำ ไม่ทันได้ยืนให้มั่นคงพลันกุมท้องไว้หัวเราะฮ่าๆ

 

 

“ฮ่าๆๆ แม่หนูคนนี้น่าสนุกยิ่งนัก ฮ่าๆๆ แม่หนูต้องการสุราหรือไม่? น้ำแกงปลาและปลาย่างต้องเติมสุราถึงจะขจัดกลิ่นคาวได้นะ”

 

 

พอจิ่งเหิงปัวเงยหน้า ดวงตาก็สว่างวูบ