ตอนที่ 10 - 3 แหวนที่น่ามสาน

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2]

จิ่งเหิงปัวกำนิ้วมือแน่น ในใจเต้นดังตึกตักขึ้นมากะทันหัน 

 

 

แต่เดิมนึกว่าต้องเป็นการลอบสังหารที่ไม่มีโอกาสสำเร็จครั้งหนึ่งแน่ นึกไม่ถึงว่าแผนการของอีกฝ่ายจะเรียกได้ว่ายอดเยี่ยมเลิศล้ำ ถ้าเป็นแบบนั้น กงอิ้นอาจจะตกหลุมพรางได้จริง 

 

 

อาจจะตกหลุมพรางได้จริง… 

 

 

หัวใจนางพลันสั่นสะท้าน ความรู้สึกปวดร้าวหนักหน่วงค่อยๆ แผ่กำจาย ไม่รู้ว่าเป็นความยินดีหรือความเจ็บปวด เป็นความหวังหรือความกังวล เป็นความปรารถนาหรือความหวาดกลัว 

 

 

วิกฤตกาลสูญสิ้น องครักษ์ที่อยู่บนสันกำแพงทยอยกระโจนลงมา ลำดับแถววุ่นวายในพริบตาหนึ่ง 

 

 

เรือนร่างของจิ่งเหิงปัวกะพริบวูบ ร่วงหล่นลงบนหลังคาบ้าน 

 

 

การกะพริบวูบครั้งนี้เป็นความไม่เจตนาโดยสิ้นเชิง นางงงงวยไปครู่ใหญ่หลังจากร่วงลงมา 

 

 

ตนเองกระโดดลงมาทำอะไร? 

 

 

มีพิษก็มีพิษสิ มีพิษก็ยิ่งดีเลย เขากินแล้วตายไปจะได้แก้แค้นครั้งใหญ่ คนทำชั่วย่อมมีสวรรค์คอยลงทัณฑ์ 

 

 

ขณะที่คิดแบบนี้ นางก็แงะแผ่นกระเบื้องไปด้วย 

 

 

หลังจากแงะแผ่นกระเบื้องออกแล้ว นางก็คว้าผ้าสีเข้มผืนหนึ่งจากในอ้อมแขนออกมาบังไว้บนกระเบื้องหลังคา แสงอาทิตย์จะได้ไม่ส่องเข้ามาจนถูกพบเข้า 

 

 

ขณะที่ทำแบบนี้ นางก็นึกถึงการกระทำเช่นเดียวกันของเทียนชี่บนหลังคาศาลบรรพชนวันนั้น ในใจเกิดความรู้สึกแปลกประหลาด 

 

 

พอวางผ้าแล้วนางชะงักอีกครั้ง…นางกำลังทำอะไรอยู่เนี่ย? 

 

 

มีพิษก็มีพิษสิ มีพิษก็ยิ่งดีเลย ยังจะมองอะไรอีก? 

 

 

ผ่านไปสักพักนางก็กล่าวกับตนเองว่า อืม เพราะกลัวว่าเหอหว่านจะกินขนมพิษเข้าไป เด็กหญิงคนนี้เห็นแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นพวกตะกละตะกลาม 

 

 

ข้างหลังคาบ้านมีต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง กิ่งไม้ยืดยาวเอนเอียงอยู่บนหลังคาบ้าน ข้างบนมีสิ่งของสีดำคล้ายกำลังขยุกขยิก นางมองอยู่นานถึงรู้ว่านั่นคือรังต่อขนาดมหึมา โชคดีที่อยู่ห่างไกลจากตนเองมากนัก 

 

 

พอก้มหน้าลงมองกงอิ้น ก็มองเห็นผมยาวปานแพรต่วนสีดำขลับของเขาสยายบนหัวไหล่ประหนึ่งธารหลาก นางหลับตาลงแล้วหันหน้าไปอีกทาง 

 

 

ข้างล่างมีเสียงสนทนาแผ่วเบาแว่วเข้ามา เสียงนั้นคือเสียงของกงอิ้น น้ำเสียงนอบน้อมยิ่งนัก 

 

 

“…ยามนั้นได้รับความช่วยเหลือจากองค์หญิง จนถึงยามนี้ยังไม่ได้ตอบแทนบุญคุณครั้งก่อน บัดนี้องค์หญิงทรงเรียกใช้งาน กระหม่อมย่อมไม่กล้าบ่ายเบี่ยง” 

 

 

จิ่งเหิงปัวขมวดคิ้ว ในใจคิดว่าสองคนนี้เจอกันตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วไม่ใช่หรือ ทำไมตอนนี้ยังดื่มชาอยู่อีก ท่าทางคล้ายเพิ่งเริ่มคุยกันได้ไม่นาน? 

 

 

“แท้จริงแล้วยามนั้นเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเรื่องหนึ่ง ผ่านไปหลายปีขนาดนี้ยังใช้เรื่องนี้มารบกวนท่าน ข้ารู้สึกละอายใจโดยแท้ ท่านมีศีลธรรมมีน้ำใจไมตรียิ่งนัก…เรื่องนี้ข้ารู้เช่นกันว่าจะทำให้ท่านลำบากใจ ทว่าราชครูได้โปรดครุ่นคิดแผนการรอบคอบให้ข้าด้วย” น้ำเสียงของเหอหว่านฟังดูเคารพนบนอบ 

 

 

“องค์หญิงคงจะทรงรู้เช่นกันว่าด้วยฐานะของกระหม่อม แท้จริงแล้วไม่อาจข้องเกี่ยวเรื่องราวภายในราชวงศ์ของกษัตริย์ได้” กงอิ้นลดเสียงลง กระซิบแผ่วเบาหลายประโยคแล้วเอ่ยว่า “…พระองค์ทรงคิดว่าเช่นนี้เป็นอย่างไร?” 

 

 

เหอหว่านไตร่ตรองอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะพยักหน้าอย่างไม่ค่อยแน่ใจ ในดวงตาฉายแววกังวล 

 

 

“อันที่จริงเรื่องนี้น่าจะมีปัจจัยอื่นด้วย…” กงอิ้นมองข้างนอกปราดหนึ่งคล้ายครุ่นคิดบางสิ่ง เอื้อมมือบอกใบ้ให้เหอหว่านกินขนม 

 

 

เหอหว่านได้ปลดเปลื้องเรื่องทุกข์ใจแล้วคล้ายผ่อนคลายขึ้นมาอยู่บ้าง ตนเองหยิบขนมชิ้นหนึ่ง ซ้ำยังหยิบชิ้นหนึ่งให้กงอิ้นด้วยมือตนเอง ยิ้มแย้มพลางเอ่ยว่า “ราชครู ขนมมี่เหอซูเหล่านี้คือขนมพื้นเมือง อ่อนนุ่มหวานชื่นเป็นที่สุด ไม่มันไม่เลี่ยน เหล่าตระกูลใหญ่หลายตระกูลทำได้อร่อยนัก ท่านลองชิมดูเถิด” 

 

 

ในใจของจิ่งเหิงปัวเกร็งแน่น จากนั้นก็นึกขึ้นมาได้ว่ากงอิ้นไม่กินอาหารข้างนอก ในใจไม่รู้ว่าผิดหวังหรือโล่งใจ แทบจะถอนหายใจยืดยาวออกมา 

 

 

กงอิ้นจ้องมองขนมกรอบชิ้นนั้น ท่าทางคล้ายจะปฏิเสธ ทว่าเหอหว่านเอ่ยขึ้นอีกว่า “ยามนั้นพวกเราพบกันที่ฉงอาน ท่านถูกผู้อื่นใส่ร้ายกลั่นแกล้งจนแทบจะต้องเข้าคุก ข้าแอบออกจากวังด้วยเพราะอยากลิ้มลองขนมมี่เหอซูกับเกี๊ยวสิบสามสีสันของหอเหอเฟิงพอดี คราวนั้นถึงได้พบกับท่าน เอ่ยกันแล้วความสัมพันธ์ครั้งนี้ของพวกเราอาศัยขนมมี่เหอซูเหล่านี้เชียวนะ” 

 

 

ในแววตากงอิ้นผุดเผยรอยยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนเอื้อมมือหยิบมาชิ้นหนึ่ง 

 

 

เหอหว่านคว้าไว้ชิ้นหนึ่ง สองคนมองกันและกันพลางยิ้มแย้มเล็กน้อย 

 

 

จิ่งเหิงปัวเริ่มใจเต้น 

 

 

จะกินพร้อมกันหรือ? คราวนี้นางจะทำอย่างไร? 

 

 

ถ้าไม่เตือนเหอหว่านอาจจะสิ้นชีพ ถ้าเตือนนางเท่ากับว่าช่วยกงอิ้นไว้ นางไม่อยากช่วยเขาเลยแม้แต่น้อย! 

 

 

แต่จะเสียสละชีวิตของเหอหว่านมาทำร้ายกงอิ้นหรือ? ไม่รู้ว่าทำไมถึงไม่อยากทำแบบนั้นเลยแม้แต่น้อย 

 

 

หัวใจคล้ายมีกรงเล็บแมวขีดข่วน นางลังเลไม่ยอมตัดสินใจ หวังว่าคนที่กินก่อนจะเป็นกงอิ้น แต่มองเห็นเหอหว่านบิขนมชิ้นหนึ่งเข้าปากก่อน 

 

 

จิ่งเหิงปัวถอนหายใจ 

 

 

มือสะบัดเพียงครั้ง เบื้องหน้าพลันมีรังต่อขนาดมหึมาเพิ่มเข้ามา! 

 

 

นางไม่หยุดนิ่งเลยแม้แต่น้อย มือสะบัดเพียงครั้ง เขวี้ยงรังต่อลงมาข้างล่างอย่างรุนแรง! 

 

 

แม้ตักเตือนไม่ได้ แต่ต้องให้เจ้าได้ลำบากสักหน่อย! 

 

 

เสียง หวึ่ง! ดังขึ้น ตัวต่อนับมิถ้วนพุ่งขึ้นมาดั่งเมฆทะมึน นางกะพริบกายหลบหนี ถ้าไม่หลบหนีตนเองคงจะต้องถูกต่อยจนกลายเป็นจิ่งตัวบวมก่อนใคร! 

 

 

ยังไม่ทันได้หันหลัง นางก็ชนเข้ากับหน้าอกผืนหนึ่งอย่างกะทันหัน 

 

 

คนคนหนึ่งยิ้มแย้มพลางเอ่ยด้วยเสียงนาสิกอู้อี้อยู่ข้างบนศีรษะนางว่า “สตรีใจร้าย ต้องนำเจ้าป้อนตัวต่อเสียก่อน!” 

 

 

จิ่งเหิงปัวแอบร้องว่าแย่แน่ ตัวต่อส่วนหนึ่งร่วงลงไปแล้ว แต่ยังเหลือตัวต่อจำนวนไม่น้อยที่อยู่บนหลังคาบ้าน ไอ้หน้าโลงศพคนนี้โผล่พรวดออกมาจากไหนกันเนี่ย! 

 

 

เสียงหวึ่งๆ ที่อยู่ข้างหลังน่าหวาดกลัวยิ่งนัก นางรู้สึกได้ว่าปีกของตัวต่อพัดพาปอยผมของนางแล้ว นางขนพองสยองเกล้า ผู้ชายที่อยู่ข้างหน้าเอื้อมมือมาแตะช่วงไหล่ของนาง 

 

 

เสียงทึบดัง พลั่ก! ดังขึ้นอีกเสียงหนึ่ง บุรุษที่ขวางนางไว้พลันหายไปแล้ว บนกระเบื้องหลังคามีโพรงขนาดใหญ่เพิ่มเข้ามา ข้างล่างมีเสียงตะโกนร้องโอ๊ยเสียงหนึ่ง บุรุษผู้นั้นกำลังตะโกนว่า “ไอ้สารเลวคนใดผลักข้า!” 

 

 

“หวึ่งๆๆ!” ตัวต่อพุ่งมาบนร่างนางแล้ว 

 

 

ฟิ้ว! เบื้องหน้ามีลมหอบหนึ่งพัดมาพาตัวต่อออกไป เสื้อผ้าหนาชุดหนึ่งตามมาคลุมลงบนศีรษะนางโดยพลัน มือคู่หนึ่งโอบเอวของนางไว้แน่น ร้องว่า “ไป!” 

 

 

จิ่งเหิงปัวทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าตามคนผู้นั้น รู้สึกได้ว่าตัวต่อยังคงส่งเสียงหวึ่งๆๆ ไล่ตามอยู่ไกลโพ้น ส่วนข้างใต้หลังคาบ้าน ทั้งเสียงตะโกนจากร่างกายร่วงหล่น เสียงกรีดร้องของเหอหว่าน เสียงถ้วยชามแตกร้าว รวมทั้งเสียงร้องตะโกนของเหล่าองครักษ์ที่ขับไล่ตัวต่อค่อยๆ ห่างไกลออกไป 

 

 

เพียงแต่ไม่ได้ยินเสียงของกงอิ้นตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ 

 

 

คงไม่ได้ถูกตัวต่อที่ร่วงลงกลางศีรษะต่อยตายแล้วหรอกมั้ง? นางคิดด้วยเจตนาร้าย 

 

 

ในใจเกิดความรู้สึกเป็นทุกข์คล้ายถูกอารมณ์บางอย่างกลบกลืนจนสิ้น ไม่รู้ว่าโศกเศร้าหรือยินดีหรือผ่อนคลายหรือไม่พอใจ นางไม่อาจจำแนกอารมณ์ซับซ้อนในขณะนี้ของตนเองได้อย่างชัดเจน กระทั่งไม่อาจเข้าใจว่าทำไมตนเองต้องเกิดความรู้สึกแบบนี้ด้วย พิษวางอยู่ในจานชามของคนอื่น แต่คนที่ถูกทดสอบคล้ายกลายเป็นนาง 

 

 

เสื้อผ้ายังคลุมอยู่บนศีรษะ ไม่รู้ว่าเปรอะเปื้อนไอชื้นตั้งแต่ตอนไหน นางกะพริบตา รู้สึกได้ทันทีว่ากลิ่นของเสื้อผ้าคุ้นจมูกอยู่เล็กน้อย กลิ่นหอมหวนเย้ายวนเจือจางเหมือนจะเป็นของเหยียลี่ว์ฉี 

 

 

“ปล่อยข้าลง” นางกล่าวด้วยเสียงอู้อี้ 

 

 

เหยียลี่ว์ฉีไม่สนใจนาง โลดแล่นต่อไปอีกระลอกหนึ่ง ซ้ำยังโอบกอดนางเข้าสู่อ้อมแขนอย่างแนบแน่นมากยิ่งขึ้น 

 

 

ขณะนี้ใบหน้าของนางแนบชิดกับหน้าอกเขาผ่านเสื้อผ้า รู้สึกได้ถึงผิวกายแข็งแกร่งและหัวใจเต้นเร่าที่มั่นคงเปี่ยมพลังอย่างยิ่งใต้ผิวกายของเขา กลิ่นหอมเย้ายวนเจือจางกับลมหายใจที่ไม่อาจบรรยายได้ของบุรุษประชิดใกล้ดั่งเมฆครามก้อนหนึ่ง ย้ำเตือนนางถึงความทรงจำบางอย่าง ระหว่างเคลิบเคลิ้มนางคล้ายนึกถึงหน้าอกอีกผืนหนึ่ง ผิวกายไม่ได้แข็งแกร่งอวบอิ่มแบบนี้ ทว่าเปี่ยมพลังเช่นเดียวกัน แผ่ซ่านความหนาวเย็นที่พาให้จิตใจสงบลง หัวใจไม่ได้เต้นระรัวขนาดนี้ แลดูเชื่องช้าอย่างยิ่ง เป็นจังหวะที่พาให้จิตใจสงบแบบหนึ่งเช่นกัน ส่วนลมหายใจของเขาบริสุทธิ์อย่างยิ่ง ดุจน้ำพุเงียบสงบภายใต้หิมะบนภูเขาสูงตระหง่าน ดั่งเมฆาเบาบางก้อนหนึ่งที่ไร้ซึ่งสีสัน… 

 

 

ความคิดของนางหยุดลงกะหันทัน 

 

 

ทำไมต้องนึกถึงด้วย! 

 

 

ภายในสมองติดขัดดังกึกประหนึ่งเทปกระตุก นางโยนความทรงจำของตนเองทิ้งไปทั้งอย่างนั้น ร้องเสียงดังว่า “หยุด!” 

 

 

เรือนร่างของเหยียลี่ว์ฉีชะลอลงเล็กน้อย จิ่งเหิงปัวรู้สึกว่าเพิ่งหยุดลงเมื่อถึงสถานที่กว้างโล่ง เขาคล้ายยังอยากปลดเสื้อผ้าให้นางด้วยตนเอง จิ่งเหิงปัวถอยหลังไปหลายก้าวทันที 

 

 

คล้ายได้ยินเขาหัวเราะเล็กน้อยรำไร เสียงเย้ยหยันเจือจาง 

 

 

จิ่งเหิงปัวปลดเสื้อผ้าที่คลุมศีรษะนางไว้ออก คนที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามคือเหยียลี่ว์ฉีที่มีสีหน้าคล้ายยิ้มทว่ามิได้ยิ้มอย่างที่นางคิดไว้ เขาสวมเพียงเสื้อคลุมยาวโปร่งสีขาว ยืนอยู่กลางสายลม ให้ความรู้สึกสดใสแตกต่างจากปกติ 

 

 

แต่จิ่งเหิงปัวมองคนที่สวมชุดขาวทุกคนแล้วรู้สึกว่าขัดหูขัดตายิ่งนัก โยนเสื้อคลุมของเขาให้เขาทันที กล่าวว่า “รีบสวมก่อนเถิด มองดูทรวดทรงประหนึ่งกระบอกไม้ไผ่ของเจ้านี้สิ ตัวต่อเดินบนร่างกายเจ้ายังลื่นไถลเลย” 

 

 

เดิมทีสีหน้าของเหยียลี่ว์ฉีไม่ค่อยน่าชมนัก พอได้ยินวาจานี้ก็พลันก้มหน้ามองดูตนเอง เลิกคิ้วยิ้มแย้มพลางเอ่ยว่า “หากข้าเป็นกระบอกไม้ไผ่ บุรุษบนโลกนี้ก็อย่าได้คิดจะสวมอาภรณ์แล้วหล่อเหลาเลย” 

 

 

แววตาของจิ่งเหิงปัวเฉียดผ่านคอเสื้อที่หลุดลุ่ยเล็กน้อยของเขา แผ่นอกกำยำผิวพรรณกระชับเกลี้ยงเกลา ผุดเผยสีหยกนวลเนียนหนาแน่นอย่างยิ่ง จำเป็นต้องฝืนใจยอมรับว่าถ้ากล่าวถึงความงดงามของบุรุษ คนที่อยู่ตรงหน้าก็มีเรือนร่างให้น่าหยิ่งผยองโดยแท้ 

 

 

ฉะนั้นนางไม่คิดจะต่อปากต่อคำกับเขาอีกต่อไป เห็นท่าทางเอาจริงเอาจังแบบนั้นของเขาแล้ว ถ้าพูดต่อไปนางกังวลว่าเขาจะแหวกสาบเสื้อให้นางมองดูว่าอะไรที่เรียกว่าทรวดทรงและความหล่อเหลาที่แท้จริง