เดิมทีข่าวนี้กระจายอยู่ในวงแคบเท่านั้นและไม่มีใครเชื่อ แต่เมื่อจู้ซิงมีเดียออกมาช่วยนำหลักฐานออกมาแสดงประกอบ เหตุการณ์นี้ก็ลุกลามไปทั่ววงการทันที
ไม่มีใครสามารถยอมรับได้ที่นิยายขึ้นหิ้งของพวกเขาจะถูกกระทำเช่นนี้
โดยเฉพาะนิยายชื่อดังขนาดนี้ด้วยแล้ว
ช่างน่าผิดหวังเหลือเกิน
คนเขียนบทรีบพยายามชี้แจงเรื่องนี้บนโลกออนไลน์ แต่นักเขียนคนอื่นๆ ได้ว่าจ้างทนายความและยื่นหลักฐานต่อชั้นศาลเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นมันจึงถูกนำมายืนยันต่อหน้าสาธารณชนอย่างรวดเร็ว จากนั้นไห่รุ่ยจึงเริ่มออกมาแก้ข่าวที่ถูกใส่ความ
ไห่รุ่ยได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่าพวกเขาได้เป็นเจ้าของสัญญาของลัวเซิงและเริ่มชี้แจงสถานการณ์เรื่องคุณหมอโจรสลัด
พวกเขาอธิบายว่าลัวเซิงรู้ถึงปัญหาด้านลิขสิทธิ์มาตั้งแต่แรก ทั้งคนเขียนบทยังร้ายกาจจนลัวเซิงปฏิเสธที่จะมีส่วนร่วมในสิ่งที่ผิดศีลธรรมขนาดนี้
เขาตัดสินใจเช่นนั้นแม้รู้ว่าตัวเองจะถูกวิพากษ์วิจารณ์ก็ตาม
“เราไม่ดีพอสำหรับละครไอพีระดับพระกาฬเช่นนี้ เราเพียงต้องการผลิตผลงานที่มีคุณภาพออกมาเท่านั้น ยังมีสิ่งล่อตาล่อใจอยู่มากที่มาพร้อมกับหนทางที่จะได้มาซึ่งผลประโยชน์ แต่ในเมื่อคนเราเลือกที่จะหลอกลวงและใช้วิธีการสกปรก อย่างไรพวกเขาจะต้องถูกเปิดโปงไม่ช้าก็เร็วและต้องลุกขึ้นมาเผชิญหน้ากับสถานการณ์ เราหวังว่าทุกคนจะสามารถให้เกียรติความคิดสร้างสรรค์และสิทธิ์ทางปัญญา รวมถึงหวังว่าคุณหมอโจรสลัดจะเลิกกล่าวถึงลัวเซิง เพราะเราไม่อนุญาตให้พวกเขาใช้ชื่อของเราเพื่อการพาณิชย์”
ทันทีที่แถลงการณ์นี้ถูกปล่อยออกไป ในที่สุดทุกคนก็ได้รู้ว่าเหตุใดลัวเซิงถึงได้ปฏิเสธโอกาสที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ที่แท้ละครเรื่องนี้ก็มีเงื่อนงำมากมายซ่อนไว้
และลัวเซิงไม่อาจเมินเฉยจิตสำนึกของตัวเอง ที่ร่วมงานกับผู้จัดอย่างนี้ได้พราะเขารู้จุดยืนของตัวเองดี
[ตอนนี้ฉันรู้แค่ว่าศิลปินของจู้ซิงมีเดียทุกคนยืนหยัดในความถูกต้องเป็นที่สุด]
[ใช่ๆ ถึงก่อนหน้านี้เขาจะถูกใส่ความเป็นบ้าเป็นหลังมาก่อนหน้านี้ แต่ตอนนี้เราก็ได้เห็นแล้วว่าจริงๆ แล้วเขาเป็นนักแสดงที่ดีซึ่งมั่นคงในจุดยืนของตัวเองคนหนึ่ง น่าชื่นชมจริงๆ]
[เขาทำให้ฉันปวดใจ ต่อไปนี้ฉันจะติดตามผลงานของเขาทุกเรื่องเลย]
ไม่นานความคิดเห็นของทุกคนต่อลัวเซิงดีขึ้นอย่างทันตา อย่างไรเสียความจริงก็ทำให้คนรู้สึกผิดกับเขา นี่เป็นเหตุผลที่ถังหนิงและไห่รุ่ยไม่รีบร้อนที่จะออกมาชี้แจง หากพวกเขาทำมันก่อนหน้านี้ เขาคงไม่ได้รับความเห็นอกเห็นใจอย่างในตอนนี้
ไม่เพียงแต่แผนของประธานฟ่านจะพัง ตอนนี้เจ้าตัวยังต้องเผชิญหน้ากับความสูญเสียครั้งใหญ่ นึกถึงเรื่องที่ถังหนิงหลอกล่อเขาทีไรความกรุ่นโกรธก็ก่อตัวขึ้นในใจทุกทีไป
“ฉันต้องทำยังไงถึงจะกำจัดนังนี่ไปได้กัน ฉันได้ประกาศสงครามกับเธออย่างเป็นทางการแล้ว”
…
ระหว่างนี้ หน้าที่การงานของทั้งลัวเซิงและซิงหลานเริ่มกลับมาเข้าที่เข้าทาง ในขณะที่ลัวอิงหงค่อยๆ สร้างชื่อในวงการแฟชั่น ในที่สุดถังหนิงจึงได้กลับไปจดจ่อกับการถ่ายทำมดราชินี ในตอนนี้ฉากของโม่ถิงและโคโค่ลีดำเนินใกล้มาถึงตอนจบแล้ว
ตอนนี้ถังหนิงที่กำลังตั้งท้องอยู่พอมีเวลาไปเยี่ยมกองถ่าย หลังจากมองโม่ถิงถ่ายทำฉากในถ้ำ เธอก็อดยกยิ้วชื่นชมเฉียวเซินไม่ได้
อีกฝ่ายตื่นเต้นอย่างถึงที่สุดกับผลงานที่จะออกมา ยิ่งเมื่อหนูน้อยโคโค่ลีวัยเจ็ดขวบแสดงได้ดีขึ้นเรื่อยๆ อย่างที่นักแสดงอายุน้อยที่สุดยังไม่สามารถทำได้
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ มาทานมื้อเย็นด้วยกันเถอะ ถึงเวลาที่เราจะให้รางวัลทีมงานที่ทุ่มเททำงานหนักแล้วนะคะ”
“โอเคสิ” เฉียวเซินพยักหน้า “ถังหนิง ฉันตื่นเต้นขึ้นทุกวันเพราะความคาดหวังที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ฉันว่าผลงานที่ออกมาจะต้องดังเป็นพลุแตกแน่ๆ ”
“ฉันรู้ว่าคุณกำลังหลงใหลในผลลัพธ์ที่ออกมาค่ะ แต่คุณจะทำงานหามรุ่งหามค่ำแบบนี้ต่อไปไม่ได้นะคะ” ถังหนิงออกปากเตือน ทุกวันนี้เฉียวเซินทุ่มเททำงานหนัก ทุกครั้งที่การถ่ายทำเสร็จ เขาก็ยังคอบควบคุมดูแลกระบวนการหลังการถ่ายทำเพราะรู้สึกว่าตัวเองต้องตรวจสอบมัน
“ทำไมคุณบ่นฉันเหมือนลูกสาวของฉันเลยล่ะ”
เฉียวเซินหัวเราะก่อนหันกลับไปจดจ่อกับการถ่ายทำฉากต่อไป
ถังหนิงมองทีมงานกำลังยุ่งพร้อมสัมผัสได้ถึงความคาดหวังในใจเช่นกัน มีภาพยนตร์ไซไฟมากมายในตลาดต่างประเทศ แต่จีนยังไม่มีการสร้างที่เป็นภาพยนตร์ภายในประเทศอย่างแท้จริง เธอจึงไม่เชื่อว่าวงการบันเทิงที่กว้างขวางจะไม่สามารถผลิตผลงานชิ้นงามออกมาได้
ทว่าสายโทรศัพท์ที่ได้รับในวันถัดมาทำให้เธอตกตะลึงแทบสิ้นสติ
เป็นสายจากลูกสาวของเฉียวเซิน เมื่อถังหนิงรับสาย เสียงสะอื้นไห้ของหญิงสาวก็ดังลอดมาจากปลายสาย “ถังหนิง พ่อของฉันเส้นเลือดในสมองแตกเฉียบพลันเสียชีวิตแล้วค่ะ!”
ถังหนิงเพิ่งจะป้อนข้าวเช้าเจ้าตัวแสบทั้งสองคนเสร็จ เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทุกอย่างราวกับเป็นความฝัน “เป็นไปได้ยังไงกัน ฉันเพิ่งจะคุยกับเขาเมื่อวานอยู่เลยนะคะ”
“เรื่องจริงค่ะ… เมื่อคืนไม่มีใครทันสังเกตเห็น พวกเขามารู้เอาตอนเช้าแล้ว ตอนนั้นตัวของพ่อแข็งไปหมดแล้วค่ะ” ลูกสาวเขาร้องไห้ “ฉันทนรับไม่ได้เลยส่งตัวเขาไปที่โรงพยาบาลเพื่อความมั่นใจ แต่หมอยืนยันแล้วว่าเขาเสียชีวิตไปตอนตีสองของเมื่อคืนค่ะ”
ถังหนิงพูดอะไรไม่ออก เมื่อวานชายสูงวัยขี้เล่นคนนี้ยังยิ้มให้เธออยู่เลย เพียงหนึ่งคืนผ่านไปเขาก็ได้จากไปเสียแล้ว
“ถังหนิง ฉันไปพบคุณได้ไหมคะ”
“ตอนนี้คุณอยู่ที่โรงพยาบาลไหนคะ ฉันจะไปหาเดี๋ยวนี้แหละคะ” ถังหนิงถามพลางมุ่งหน้าไปทางประตู หลังรู้ที่อยู่โรงพยาบาล หญิงสาวก็กระโจนขึ้นรถโดยที่ไม่ได้บอกให้ใครรู้ก่อนเร่งมุ่งหน้าไปยังโรงพยาบาลจนเกือบขับรถชนคนระหว่างทาง
ไม่นานเธอก็มาถึงโรงพยาบาลและเห็นร่างที่นอนแข็งของเฉียวเซินในห้องดับจิต ลูกสาวของเขาปล่อยโฮออกมาอย่างหนักอยู่ด้านข้าง
“คุณ…คุณมาถึงแล้ว”
ถังหนิงค่อยๆ ก้าวเข้าไปหาเฉียวเซินและลูกสาวของเขา มีเพียงสองคำที่หลุดออกมาจากปากของเธอ “ฉันขอโทษ…”
“ไม่หรอกคะ เป็นความผิดของฉันเองที่ไม่ดูแลเขาให้ดี ฉันเป็นลูกสาวที่แย่ คุณไม่ได้ทำผิดอะไร กลับช่วยให้พ่อของฉันได้มีช่วงที่มีความสุขที่สุดในชีวิตของเขาด้วยซ้ำ ฉันไม่เคยเห็นเขามีความสุขขนาดนี้มาก่อนเลยนะคะ
“แต่ฉันก็ต้องขอโทษที่มดราชินีไม่สามารถถ่ายทำให้เสร็จก่อนที่เขาจะจากไปด้วยค่ะ…”
พูดจบ เธอก็ส่งบทบางส่วนและแผนงานให้กับถังหนิง “นี่เป็นสิ่งที่เขาทิ้งเอาไว้ข้างหลังค่ะ ถังหนิง คุณต้องถ่ายทำมดราชินีเพื่อส่งวิญญาณพ่อของฉันให้ไปสู่สุคตินะคะ”
ถังหนิงรับเอกสารปึกใหญ่มาทั้งน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม
เธอนึกไม่ถึงว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นกะทันหันขนาดนี้ มันแทบจะเป็นเหมือนละครน้ำเน่า
สิ่งที่แย่ที่สุดคือการที่เฉียวเซินคาดหวังกับมดราชินีไว้สูง หากแต่ตอนนี้เขากลับจากไปเสียแล้ว
ถังหนิงจำได้เพียงคำพูดสุดท้ายที่เขาเอ่ยกับเธอ ‘ทำไมคุณบ่นฉันเหมือนลูกสาวของฉันเลยล่ะ’
เหตุใดชายสูงวัยคนนี้ถึงได้ด่วนจากไปนัก ถังหนิงกลั้นน้ำตาและหยิบโทรศัพท์ต่อสายหาอันจื่อเฮ่า “จื่อเฮ่า ฉันมีเรื่องอยากให้คุณช่วย…”
“มีอะไรเหรอครับ”
“ช่วยฉันถ่ายทำมดราชินีต่อหน่อยนะ ผู้กำกับเฉียวเซินเสียชีวิตแล้ว…” ถังหนิงเอ่ยคำสุดท้ายท่ามกลางเสียงสะอื้นไห้ พาให้อันจื่อเฮ่าถึงกับอึ้งไป
เขาไม่เคยเห็นน้ำตาของถังหนิงมาก่อน!
ไม่เคยแม้แต่น้อย!