วันแห่งศึกประชันยุทธ์รอบสิบหกคนสุดท้ายมาถึงในเช้าวันรุ่งขึ้น
ครั้งนี้มู่อวิ๋นและผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ปรากฏกายอย่างพร้อมหน้า ดูเหมือนว่าพวกเขาจะจัดการธุระเร่งด่วนที่ทำอยู่ในช่วงสองวันที่ผ่านมาเสร็จสิ้นแล้ว
วันนี้อาจารย์ลิ้วหยวยยังคงรับหน้าที่ดูแลการแข่งขันเช่นเดิม หลังจากประกาศกฎของการแข่งขันเป็นที่เรียบร้อย อาจารย์ที่ปรึกษาของนักเรียนชั้นปีสองก็นั่งลงที่เก้าอี้กรรมการผู้ควบคุมการแข่งขันเพื่อรอให้การแข่งขันเริ่มต้น
การแข่งขันคู่แรกของวันนี้เป็นศึกระหว่างหลี่จิ้งปะทะฟางเซียวจอมยุทธ์มายาบรรพชนสี่ดารา
หลี่จิ้งนั้นถึงแม้จะใช้เวลาฝึกฝนอยู่ภายนอกโรงเรียนเป็นส่วนใหญ่แต่ก็แข็งแกร่งยากจะหาผู้เท่าเทียม ผู้ที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้นับว่ามีอยู่น้อยมาก ไม่ถึงสิบกระบวนท่าเขาก็เอาชนะฟางเซียวและผ่านเข้ารอบต่อไปได้อย่างง่ายดาย
การแข่งขันในคู่ที่สองเป็นที่จับตามองของทุกคนในโรงเรียน เพราะมันคือการประมือกันครั้งแรกระหว่างฉินอวี้โม่และจีหย่ง คู่อาฆาตที่มีเรื่องบาดหมางกันมาแสนนาน
ฝ่ายหนึ่งเป็นถึงนักเรียนระดับหัวกะทิที่ถูกจัดอยู่ในอันดับสูงสุดของโรงเรียนในเวลานี้หากไม่นับปิงเสวียนและลั่วเฉินที่สำเร็จการศึกษาไปแล้ว ส่วนอีกคนคือดาวรุ่งพุ่งแรงที่มีฝีมือโดดเด่นและเป็นที่กล่าวขวัญถึงมากที่สุดในโรงเรียน
คราแรกที่เข้ามาในโรงเรียน ฉินอวี้โม่ยังอยู่ในระดับนภมายาเก้าดารา ในตอนนั้นหากต้องเผชิญหน้ากับจีหย่งโอกาสที่นางจะเอาชนะได้มีอยู่น้อยนิด ทว่าหลังจากผ่านมาหนึ่งปีในโรงเรียน หลายคนก็คาดหวังว่านางจะพัฒนาไปมากจนไม่เป็นรอง
ทุกคนรู้ข่าวเรื่องที่คุณหนูตระกูลฉินเข้าไปเก็บตัวอยู่ในหอคอยวิญญาณในชั้นที่หกเป็นเวลากว่าครึ่งปี และยังได้เห็นนางคว้ารางวัลรองชนะเลิศในการแข่งขันแบบหมู่คณะทำให้หลายคนอยากจะรู้ถึงความแข็งแกร่งของนางเหลือเกิน
ส่วนจีหย่งนั้นถือเป็นนักเรียนที่น่าจะแข็งแกร่งที่สุดแล้วนับตั้งแต่ปิงเสวียนและลั่วเฉินออกจากโรงเรียนไป ในสายตาของทุกคนบุรุษผู้นี้ถือว่าไร้เทียมทานและไม่ควรเข้าไปยั่วยุ
ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องบาดหมางระหว่างฉินอวี้โม่กับสองพี่น้องแซ่จีก็เป็นที่รับรู้กันจนทั่ว เรียกได้ว่าศึกระหว่างยอดฝีมือทั้งสองในวันนี้ไม่อาจจะละสายตาไปได้เลย
ทุกคนต่างก็เฝ้ารอดูการแข่งขันอย่างใจจดใจจ่อ แต่ก็เป็นที่แน่นอนว่าคนที่คิดว่าฉินอวี้โม่จะเป็นฝ่ายชนะนั้นมีอยู่น้อยกว่าเพราะถึงอย่างไรความแข็งแกร่งของจีหย่งก็เป็นที่ประจักษ์ชัดเจน ขณะที่ความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่มีแต่เพียงคำเล่าลือ
อย่างไรก็ตามก็ยังมีบางส่วนที่เชื่อว่าฉินอวี้โม่จะสร้างปาฏิหาริย์และเอาชนะจีหย่งได้
ด้วยการที่การประลองในคู่นี้เป็นที่กล่าวขวัญถึงทั่วทั้งโรงเรียน จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการพนันขันต่อเกิดขึ้น นักเรียนบางคนลอบเป็นเจ้ามือเปิดรับการเดิมพันแล้ว และก็เลี่ยงไม่ได้อีกเช่นกันที่จะมีนักเรียนผู้ชื่นชอบความท้าทายเข้าไปเสี่ยง และคนเหล่านั้นก็มีจำนวนไม่น้อยเลยเป็นผลให้การแข่งขันในวันนี้ยิ่งน่าสนใจมากขึ้นไปอีก
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีคนจำนวนไม่มากที่เชื่อว่าฉินอวี้โม่จะเอาชนะได้ แต่คนที่วางเดิมพันส่วนมากกลับยังคงเลือกข้างสตรีตระกูลฉิน ซึ่งนั่นก็เนื่องมาจากความรู้สึกท้าทายล้วน ๆ เพราะถึงฉินอวี้โม่พ่ายแพ้คนเหล่านั้นก็ไม่คิดมากความ และที่สำคัญก็คือพวกเขาล้วนไม่ชอบจีหย่ง อย่างน้อย ๆ ก็ขอสนับสนุนฝ่ายศัตรูของยอดฝีมืออันธพาลผู้นั้นก็ยังดี
เรื่องนี้ทำให้ฉินอวี้โม่อดอมยิ้มไม่ได้ พื้นฐานจิตใจของนักเรียนส่วนใหญ่ในโรงเรียนนี้ล้วนเข้าข้างความดีงามและความถูกต้อง แม้ว่าจะมีบางคนเข้าร่วมการพนันขันต่อแต่ก็ยังมิวายเลือกข้างที่ตนเองคิดว่าเป็นฝ่ายคุณธรรม
ยิ่งกว่านั้นนักเรียนทุกคนที่ลอบลงเดิมพันก็ล้วนมีฐานะที่ดี มีน้อยคนนักที่วางเดิมพันเพราะหวังร่ำรวยเงินทอง ฉะนั้นการตัดสินใจในเรื่องนี้ของพวกเขาจึงเข้าใจได้ไม่ยาก ถึงอย่างไรก็ไม่มีใครขัดสนเงินทองอยู่แล้ว สำหรับคนมั่งคั่งเหล่านี้การใช้เงินซื้อความสนุกสนานเป็นเรื่องปกติธรรมดา
ในขณะนี้ฉินอวี้โม่และจีหย่งปรากฏตัวบนลานประลองเรียบร้อยแล้ว ทั้งสองยืนประจันหน้ากันและต่างฝ่ายต่างก็จ้องมองคู่ต่อสู้ด้วยแววตาแสนท้าทาย
ครั้งนี้ฉินอวี้โม่ตัดสินใจแล้วว่าจะเอาชนะจีหย่งให้ได้ แม้ว่าจะไม่มีซิวคอยช่วย แต่นางก็จะอาศัยพลังของตัวเองและบวกรวมกับอสูรมายาตัวอื่น ๆ ในสังกัดเพื่อโค่นล้มคนตรงหน้า
ทางด้านจีหย่งเองก็ตัดสินใจจะลงมือสั่งสอนฉินอวี้โม่ วันนี้นางจะต้องรู้ซึ้งถึงความทุกข์ทรมานของการเป็นศัตรูกับเขา ความแค้นที่เขามีต่อสตรีผู้นี้ฝังรากหยั่งลึกมานานแล้ว บัดนี้ได้เวลาอันสมควรที่จะล้างแค้นนั้นให้ได้
ด้วยนิสัยเจ้าคิดเจ้าแค้นอันน่าหวาดหวั่นของจีหย่งทำให้ไม่มีผู้ใดในโรงเรียนอยากจะมีเรื่องบาดหมางกับคนผู้นี้ ทั้งโรงเรียนราชสำนักนี้ นักเรียนที่กล้ามีเรื่องกับบุรุษแซ่จีไม่ว่าจะพี่หรือน้องแล้วยังใช้ชีวิตต่อไปได้อย่างเป็นสุขก็คงจะมีแต่ฉินอวี้โม่เพียงผู้เดียวเท่านั้น
“วันนี้ข้าคงต้องขอคำชี้แนะจากรุ่นพี่จีหย่ง”
ฉินอวี้โม่เอ่ยคำตามมารยาท รอยยิ้มชั่วร้ายผุดขึ้นบนใบหน้าหวานหยด ทว่าในขณะเดียวกันสภาวะพลังอันแสนรุนแรงก็ไหลทะลักออกมาจากร่างกายบอบบาง
เป็นตอนนั้นเองที่ทุกคนเริ่มตระหนักถึงระดับพลังของนาง
“สวรรค์ รุ่นน้องฉินอวี้โม่เป็นสัตว์ประหลาดอย่างที่เขาร่ำลือกันจริง ๆ!”
เมื่อได้สัมผัสสภาวะพลังอันแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่ ผู้เฝ้าดูการแข่งขันทุกคนก็แทบจะกล่าวสิ่งใดไม่ออก สีหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก
“ไม่น่าเชื่อ เมื่อปีก่อนนางยังอยู่ขอบเขตนภมายาเก้าดาราอยู่เลย แค่ปีเดียวก็แข็งแกร่งขึ้นขนาดนี้แล้วหรือ ?”
หลายคนอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ
สภาวะพลังที่รุนแรงระดับนี้มีแต่จอมยุทธ์มายาบรรพชนเจ็ดดาราขึ้นไปเท่านั้นที่จะสามารถครอบครองและแสดงมันออกมาได้ ดังนั้นในตอนนี้ฉินอวี้โม่จะต้องเป็นจอมยุทธ์มายาบรรพชนเจ็ดดาราไม่ผิดแน่ ทว่าชั่วระยะเวลาเท่านี้การไต่ระดับจากนภมายาเก้าดาราขึ้นไปจนสูงกว่ามายาบรรพชนเจ็ดดาราเป็นสิ่งที่น่าเหลือเชื่อจนไม่อาจเป็นไปได้
“ฮ่า ๆ ๆ รุ่นน้องฉินอวี้โม่ช่างมีพรสวรรค์สูงส่งยิ่งนัก ข้าคิดไม่ถึงเหมือนกันว่าเจ้าจะอยู่ขอบเขตมายาบรรพชนเจ็ดดาราแล้ว”
เมื่อได้ทราบถึงระดับพลังของฉินอวี้โม่ จีหย่งก็ยิ้มพลางเอ่ยปาก
ต้องบอกเลยว่าฉินอวี้โม่ทำให้เขารู้สึกตระหนกได้จริง ๆ มายาบรรพชนเจ็ดดาราทั้ง ๆ ที่ยังเป็นนักเรียนชั้นปีหนึ่ง นี่เป็นเรื่องที่น่าตื่นตกใจเป็นอย่างยิ่ง ทว่าแม้จะได้รับรู้ถึงความเก่งกาจอันน่ากริ่งเกรงของฉินอวี้โม่แต่สีหน้าของจีหย่งก็ยังความสงบไว้ดังเดิม ซึ่งเรื่องนี้ก็ทำให้หลายคนเริ่มรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ปกติ
“หึ ! แต่ว่าการจะเอาชนะคนอย่างข้าได้ แค่มายาบรรพชนเจ็ดดารามันยังไม่พอหรอก !”
จีหย่งไม่ปกปิดสภาวะพลังของตัวเองอีกต่อไป สภาวะพลังที่รุนแรงเกินต้านทานของเขาพรั่งพรูออกมาก่อนจะกระจายไปทั่วทุกทิศ ภายใต้สภาวะพลังที่รุนแรงนี้มีพลังบางส่วนที่ดูสูงส่งและศักดิ์สิทธิ์ผสมรวมอยู่ด้วย
สัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงระดับมายาบรรพชนเก้าดาราก็คือกระบี่เล่มน้อยกับดวงดาวทั้งเก้า อย่างไรก็ตามสัญลักษณ์ที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของจีหย่งที่เขากำลังแสดงให้เห็นในตอนนี้ก็ทำให้ฉินอวี้โม่ตกตะลึงไปไม่น้อย ไม่คิดเลยว่าสัญลักษณ์รูปกระบี่กับดวงดาวทั้งเก้าของเขาจะพร่าเลือนไป
ต้องทราบก่อนว่า สัญลักษณ์แสดงระดับพลังของจอมยุทธ์ผู้หนึ่งจะพร่าเลือนลงได้ก็ต่อเมื่ออยู่ช่วงเวลาที่จอมยุทธ์ผู้นั้นใกล้จะทะลวงพลังหรือเริ่มเหยียบย่างเข้าไปสู่ขอบเขตถัดไปแล้วเท่านั้น
เมื่อนำเรื่องนี้มารวมเข้ากับความมั่นใจอันเปี่ยมล้นของจีหย่งก็มีความเป็นได้เพียงอย่างเดียว
“หึ ๆ ๆ ไม่คิดเลยว่ารุ่นพี่จีหย่งจะแตะเข้าสู่ขอบเขตทูตสวรรค์ไปครึ่งก้าวแล้ว”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและเอ่ยปาก ถึงแม้จะถูกความแข็งแกร่งของฝ่ายตรงข้ามพุ่งเข้ากดดัน แต่ใบหน้างดงามยังคงเรียบเฉยไม่แสดงความอนาทรร้อนใจ
“รุ่นน้องฉินอวี้โม่ตาถึงจริง ๆ!”
หลังจากได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่ จีหย่งก็ยิ้มอย่างภาคภูมิ ก่อนหน้านี้แม้ว่าจะอยู่ในระดับมายาบรรพชนเก้าดาราแต่เขาก็ไม่เคยมีสัญญาของการก้าวข้ามปรากฏ ทว่าหลังจากเข้าไปในป่าเหมันต์และได้ผ่านการต่อสู้ที่ดุเดือดรุนแรงกับเหล่าอสูรมายาเก่งกาจมากมาย ในที่สุดจีหย่งก็เริ่มจับแนวทางบางอย่างได้ เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์ในขอบเขตถัดไปได้บ้างแล้ว และเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้นว่าเขาจะทะลวงเข้าสู่ขอบเขตทูตสวรรค์ได้เมื่อใด แต่ที่แน่ชัดคือคงจะใช้เวลาอีกไม่นานนัก
“หึ ๆ ขอแสดงความยินดีกับรุ่นพี่จีหย่งด้วย แต่ว่าอย่างไรการแข่งในวันนี้ข้าก็ชนะอย่างแน่นอน”
ฉินอวี้โม่เผยรอยยิ้มอันเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ
ถ้าหากว่าจีหย่งสามารถก้าวเข้าสู่ขอบเขตทูตสวรรค์ได้อย่างสมบูรณ์ไปแล้ว ในวันนี้ก็เกรงว่านางจะรับมือกับเขาได้ยากลำบากมาก ทว่าในเมื่อคู่ต่อสู้ยังก้าวเข้าสู่ขอบเขตทูตสวรรค์ได้เพียงครึ่งก้าวก็เท่ากับเขายังเป็นจอมยุทธ์มายาบรรพชนดังเดิม เช่นนี้ฉินอวี้โม่ก็ยังมั่นใจว่านางจะเอาชนะได้
“เหอะ ! ในเมื่อกล้ากล่าววาจาโอ้อวด เช่นนั้นก็จงอย่าร้องขอความเมตตาในภายหลัง !”
จีหย่งแค่นเสียงดูหมิ่น ในฉับพลันเขาก็พุ่งตัวเข้าจู่โจมฉินอวี้โม่โดยไม่รอช้า กระบี่ในมือเป็นประกายคมกล้าน่าหวาดหวั่น
ฉินอวี้โม่เองก็ไม่ลังเลเช่นกัน พลันร่างบางก็ชักกระบี่ปีกจักจั่นตวัดเข้ารับกระบี่ของจีหย่งด้วยความเร็วสูง
— เคร๊ง ! —
เสียงของสองกระบี่ปะทะกันดังสนั่นน่าเกรงขาม
รอยยิ้มเย็นชาปรากฏบนใบหน้าของสตรีตระกูลฉิน จีหย่งเองก็จ้องมองกลับไปอย่างท้าทายพลันพุ่งเข้าจู่โจมฉินอวี้โม่อีกครา ทั้งสองผลัดกันรุกผลัดกันรับพัวพันกันอยู่หลายกระบวนท่า ทว่าผ่านไปกว่าห้าเฟินก็ยังไม่มีท่าทีว่าฝ่ายใดจะได้เปรียบแม้แต่น้อย
ร่างของคู่ต่อสู้ทั้งสองเคลื่อนที่รวดเร็วราวสายฟ้า ทั่วทุกจุดในลานประลองมีแสงแห่งคมกระบี่ที่ปะทะกันพุ่งแปลบปลาบ ก่อนจะแยกตัวออกจากกันในอีกอึดใจต่อมา
ในตอนนี้สีหน้าของจีหย่งเริ่มมีความประหลาดใจปรากฏขึ้นมาแล้ว บุรุษผู้รั้งอันดับสูงสุดในทำเนียบนภาค้นพบว่าความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่นั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าเขาเลยแม้แต่น้อย
การปะทะกันเมื่อครู่ชี้ชัดว่าพลังของทั้งคู่สูสีกัน แต่ละกระบวนท่าที่ผ่านมาไม่ใช่การจู่โจมทางกายภาพเท่านั้นแต่ยังอัดแน่นอนไปด้วยพลังมายาเข้มข้น อย่างไรก็ตามเขาที่แตะเข้าสู่ขอบเขตทูตสวรรค์ไปแล้วครึ่งก้าวกลับไม่สามารถข่มนางในด้านพลังมายาได้เลย นั่นนับว่าน่าประหลาดยิ่งนัก
ทางด้านฉินอวี้โม่เองก็ขมวดคิ้วแน่น ใบหน้านวลก็ปรากฏแววแห่งความฉงนเช่นกัน นางไม่คิดว่าความแข็งแกร่งของจีหย่งจะสูงส่งถึงเพียงนี้ ดูเหมือนว่าความห่างชั้นของมายาบรรพชนเก้าดาราธรรมดากับมายาบรรพชนเก้าดาราที่แตะเข้าสู่ขอบเขตทูตสวรรค์แล้วครึ่งก้าวจะแตกต่างกันอย่างมหาศาล
แม้ว่าเมื่อครู่อดีตนักฆ่าในร่างคุณหนูสี่จะสู้ได้อย่างไม่เป็นรอง แต่นั่นก็เป็นเพราะการใช้ทักษะการต่อสู้เฉพาะตัวอันสูงส่งสร้างสรรค์เป็นกระบวนท่าที่เหนือชั้นและบวกรวมเข้ากับประสบการณ์การต่อสู้ตัวต่อตัวอันโชกโชนของนางทำให้มีข้อได้เปรียบอยู่เล็กน้อย ทว่าทุกครั้งที่ปะทะกันนางพบว่ามือที่กำกระบี่อยู่ชาขึ้นมาทันทีจนเกือบจะทำกระบี่หลุดมือ นี่บ่งบอกแล้วว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นต่อในด้านพลังมายาอยู่ขั้นหนึ่ง
แต่ผู้ที่กำลังตกตะลึงยิ่งกว่าก็คือบรรดาผู้ชมทั้งหลาย นั่นเพราะไม่มีใครคิดว่าทั้งคู่จะปะทะกันได้อย่างไม่เป็นรองและสูสีถึงเพียงนี้
ทุกคนต่างก็รับรู้ว่าจีหย่งแตะเข้าสู่ขอบเขตทูตสวรรค์แล้ว ขออีกเพียงครึ่งก้าวเขาก็จะเป็นจอมยุทธ์ทูตสวรรค์เต็มตัว ฉะนั้นความต่างของพลังมายาระหว่างคนคู่นี้ ฝ่ายจีหย่งก็สมควรจะมากกว่า และต้องมากกว่าที่เป็นอยู่ ณ ตอนนี้ แต่ผลที่ออกมาฉินอวี้โม่กลับไม่เสียเปรียบมากเท่าที่คาดการณ์
ดูเหมือนว่าผลลัพธ์ของการแข่งในคู่นี้จะยังไม่อาจตัดสินได้
“จงแสดงพลังของเจ้า ผึ้งเพชฌฆาต !”
ในตอนนั้นเอง จู่ ๆ จีหย่งก็เผยรอยยิ้มเป็นต่อ บุรุษแซ่จีตะโกนเรียกอสูรมายาของตน ไม่ถึงพริบตาผึ้งขนาดเท่ากับบุรุษร่างใหญ่ตัวหนึ่งก็ปรากฏตัวอยู่ข้างกายเขา กระแสลมและเสียงหึ่ง ๆ จากการกระพือปีกของมันกระจายไปทั่วบริเวณ
ผึ้งเพชฌฆาตเป็นอสูรสวรรค์ที่โดดเด่นด้านความเร็วและความยืดหยุ่นพลิ้วไหว เหล็กในที่ก้นของมันก็มีพิษที่ทรงพลังไม่ด้อยไปกว่าพิษของจงอางขนาดยักษ์ มันจัดเป็นอสูรสวรรค์ที่ทรงพลังจนชวนขนลุก สภาวะพลังของมันสามารถข่มอสูรสวรรค์ที่อยู่ในระดับเดียวกันตัวอื่น ๆ ได้โดยง่าย
“น่ารำคาญจริง ๆ”
เมื่อได้ยินเสียงหึ่ง ๆ ของผึ้งที่ดังลั่นไปทั่วลานประลอง คิ้วได้รูปของฉินอวี้โม่ก็ขมวดมุ่น
‘นายหญิงให้ข้ารับมือกับเจ้าผึ้งน่าโมโหนี่เอง’
ทันใดนั้น เสียงของมารยาก็ดังขึ้นในห้วงจิตของฉินอวี้โม่ มารยาเองก็รู้สึกขัดใจกับเสียงที่น่ารำคาญของผึ้งเพชฌฆาต ต้องทราบก่อนว่ามารยานั้นไม่ได้เกรงกลัวพิษของผึ้งเพชฌฆาตเลยแม้แต่น้อย นั่นก็เพราะร่างกายของนางเป็นเพียงก้อนน้ำแข็ง ที่สำคัญมันเกิดและเติบโตในป่าเหมันต์อันเงียบเชียบ อสูรสาวจ้าวแห่งอาคมจึงเดือดดาลกับเสียงน่ารำคาญเช่นนั้นอย่างมาก
ฉินอวี้โม่พยักหน้าและเรียกมารยาออกมาทันที
มารยาในร่างสตรีมนุษย์แสนงดงามปรากฏตัวเคียงข้างฉินอวี้โม่ อสูรในแดนหิมะปลดปล่อยสภาวะพลังที่รุนแรงออกไปโดยไม่รอช้า แปรเปลี่ยนสภาพอากาศโดยรอบให้คล้ายเข้าสู่เหมันตฤดูขึ้นมาอย่างเฉียบพลัน
ภาพของการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของหญิงสาวในชุดขาวที่ทรงพลังและแฝงไปด้วยบรรยากาศอันหนาวเหน็บดึงดูดสายตาของผู้คนมาก สตรีผู้มาใหม่นี้งดงามราวเทพเซียนไม่ต่างจากฉินอวี้โม่ที่ยืนอยู่ด้านข้าง ยิ่งไปกว่านั้นยิ่งมองนางก็ยิ่งไม่อาจละสายตาได้ เหตุใดสตรีชวนหลงใหลจึงมาปรากฏกายบนสังเวียนแห่งการประชันยุทธ์ในโรงเรียนเช่นนี้
“เอ๊ะ ! สาวงามผู้นั้นคงไม่ใช่อสูรมายาของฉินอวี้โม่หรอกใช่ไหม ?”
“จริงรึ ? / เหลือเชื่อ !”
ในที่สุดก็มีผู้นึกเอะใจ ซึ่งเมื่อพิจารณารูปลักษณ์อันงดงามของมารยา หลายคนที่เพิ่งทราบความจริงก็เปล่งเสียงอุทานอย่างไม่อยากเชื่อ
“น่าจะเป็นเช่นนั้น แม้ว่ามันจะดูงดงามก็จริง แต่ดูไร้ชีวิตชีวาไม่มีกลิ่นอายของมนุษย์ ไม่ว่าอย่างไรก็ดูเหมือนจะเป็นอสูรมายาของฉินอวี้โม่ไม่ผิดแน่”
แม้ว่าหลายคนจะเชื่อว่ามันเป็นอสูรมายาเพราะไม่มีกลิ่นอายของมนุษย์ แต่ก็ไม่คิดว่ามันคืออสูรมายาปกติธรรมดาด้วย เพราะถ้าหากเป็นอสูรมายาปกติก็ควรจะมีกลิ่นอายตามแบบของอสูรอยู่ และถึงแม้จะอยู่ในร่างมนุษย์ก็จะไม่สามารถอำพรางได้มิด อีกทั้งยังแยกแยะได้ง่ายดายมาก
อย่างไรก็ตามอสูรตนนี้กลับไร้ซึ่งกลิ่นอายของทั้งอสูรมายาและมนุษย์ราวกับเป็นสิ่งไร้ชีวิต ในเรื่องนี้นับว่าไม่แปลกเพราะมารยาเป็นอสูรมายาพิเศษที่เกิดจากน้ำแข็งของปราสาทเหมันต์ ยิ่งไปกว่านั้นด้วยความเชี่ยวชาญด้านการใช้อาคมอสูรสาวยังสามารถปกปิดกลิ่นอายและพลังของตัวเองได้ดีด้วย
“เจ้าผึ้งน้อยน่ารำคาญ นี่ก็ถึงฤดูกาลแล้วเหตุใดยังไม่รีบออกไปหาน้ำผึ้งอีกเล่า จะมัวมาสร้างเสียงน่ารำคาญอยู่ที่นี่ทำไม !”
มารยาก้าวเข้าไปใกล้ผึ้งเพชฌฆาตทีละก้าว ๆ อย่างเชื่องช้า ใบหน้างดงามเผยรอยยิ้มหวานหยดย้อย อสูรที่เกิดจากก้อนน้ำแข็งชม้ายชายตาให้คู่ต่อสู้อย่างยั่วยวน
“เจ้าเป็นตัวอะไรกัน ? เหตุใดข้าถึงสัมผัสถึงกลิ่นอายอะไรจากเจ้าไม่ได้เลย ?”
ในที่สุดเสียงหึ่ง ๆ ก็หยุดลง ตอนนั้นเองที่ผึ้งเพชฌฆาตเปลี่ยนร่างกลายเป็นบุรุษในชุดสีเหลืองสลับดำ มันเริ่มหลงกลความงามของมารยา
ทว่าในตอนนั้นเอง…‘มนุษย์ลายดำเหลืองอย่างนั้นรึ ? เหตุใดยิ่งดูรูปลักษณ์ของอสูรตนนี้ก็น่าขันเช่นนั้นเล่า ?
“ฮ่า ๆ ๆ ๆ หน้าตาเจ้าตลกจริง ๆ”
ทั้งมารยาและฉินอวี้โม่อดหัวเราะออกมาไม่ได้ สองสตรีเพศหลุดเสียงฮาดังลั่น หน้าตาของผึ้งเพชฌฆาตบัดนี้ดูตลกมากจริง ๆ
“เจ้าพวกบ้า พวกเจ้าหาที่ตาย !”
ผึ้งเพชฌฆาตโกรธเคืองมาก แต่เดิมมันกำลังคิดจะเจรจากับแม่ตัวประหลาดโฉมงามที่อยู่ฝ่ายตรงข้าม แต่กลับถูกนางล้อเลียนไปเสียได้ ร่างมนุษย์ประหลาดลายเหลืองดำของผึ้งเพชฌฆาตหายวับไป มันพุ่งเข้าใส่มารยาในฉับพลัน ในระหว่างเคลื่อนตัวกลางอากาศเจ้าผึ้งยักษ์ก็เปลี่ยนกลับเป็นร่างอสูรที่แท้จริง มันปลดปล่อยเหล็กในส่งเข้าไปโจมตีฝ่ายศัตรู
“โธ่ ผึ้งน้อย เจ้าไปหาน้ำผึ้งจะดีกว่านะ อย่ามัวมาติดตามคนชั่วช้าเช่นนี้ให้เสียเวลาเปล่าเลย”
มารยาไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย ไม่ทันกล่าวจบร่างสตรีชุดขาวก็หายวับไปเช่นกัน ฉับพลันนั้นฝ่ามือบางก็พุ่งเข้าหาเหล็กในอันแหลมคมที่ตรงเข้ามาหา อสูรสาวคว้าจับมันด้วยมือเปล่า
“เอ้า เอาไป ข้าคืนให้เจ้า”
มารยายิ้มแล้วขว้างเหล็กในนั้นกลับไปให้ผึ้งเพชฌฆาต สิ่งที่อสูรแดนเหมันต์กระทำดูผ่อนคลายคล้ายกำลังขว้างลูกบอลหิมะก็มิปาน
ผึ้งเพชฌฆาตตกใจไม่น้อย ทว่ามันก็ไม่มีเวลาครุ่นคิดมากมัก แต่ในทันทีที่พยายามจะหลบ มันก็รู้สึกได้ถึงสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป จู่ ๆ อสูรสวรรค์ประเภทแมลงที่เก่งกาจด้านความว่องไวก็สูญเสียการรับรู้ทิศทางไปในฉับพลัน
— ฉั๊วะ ! —
เพียงชั่วพริบตา ผึ้งเพชฌฆาตก็ส่งเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ร่างแมลงขนาดเท่ามนุษย์ตกลงไปบนพื้นอย่างน่าอนาถ อย่างไรก็ตามใบหน้าของมันก็ยังเต็มไปด้วยความสับสน ดวงตายักษ์ใหญ่จำนวนมากมายเลื่อนลอยราวกับตกอยู่ในดินแดนแห่งความฝัน
“สวรรค์ อสูรสาวตนนั้นไม่ธรรมดาแล้ว !”
เหล่าผู้ร่วมชมการต่อสู้ต่างก็อดอุทานออกมาไม่ได้ กล้าจับเหล็กในของผึ้งเพชฌฆาตด้วยมือเปล่า อีกทั้งยังทำให้มันตกอยู่ในความสับสนแล้วเล่นงานมันได้อย่างง่ายดาย นี่บ่งบอกได้ถึงความเหนือชั้นทั้งในด้านพลังการต่อสู้และสติปัญญาของอสูรจากฝ่ายของฉินอวี้โม่
“บัดซบ !”
จีหย่งนิ่วหน้า พลันอสูรมายาสองตัวก็ปรากฏขึ้นข้างกายเขา พวกมันกระโจนเข้าใส่มารยาพร้อม ๆ กัน
เมื่อเห็นว่าจีหย่งต้องการจะใช้อสูรมายาที่มากกว่ารุมรังแกมารยาน้อยของนาง ฉินอวี้โม่ก็ยกมุมปากแสยะยิ้มเหี้ยมเกรียมในทันที
.