ตอนที่ 176 เหนือชั้น

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

เหล่าสหายสนิทและรุ่นพี่ที่คุ้นเคยกับฉินอวี้โม่ต่างแย้มยิ้มเหยียดหยาม หากเผชิญหน้ากับโฉมงามตระกูลฉินผู้นี้แล้วพยายามจะข่มหรือเล่นงานนางด้วยจำนวนอสูรมายาที่มากกว่านั้นนับเป็นเรื่องน่าขำสิ้นดี

“ไม่คิดเลยว่ารุ่นพี่จะใช้อสูรมายาจำนวนมากรังแกอสูรตัวน้อยของข้า !”

ฉินอวี้โม่เชิดหน้าจ้องมองจีหย่ง รอยยิ้มบางปรากฏขึ้นบนมุมปาก

สีหน้าของจีเปลี่ยนไปเล็กน้อย ทว่าเขาก็ยังกล่าวตอบโต้เสียงเย็นชา “แล้วอย่างไร ? เรื่องนี้ถ้าเจ้าจะโทษก็ต้องโทษที่ตัวเองมีอสูรมายาไม่พอเอง”

ในตอนนี้แม้จะเห็นรอยยิ้มแสนมาดมั่นของฉินอวี้โม่ จีหย่งก็ยังไม่รู้สึกสะกิดใจ ดูเหมือนบุรุษผู้ครองอันดับสามแห่งทำเนียบนภาจะหลงคิดไปว่าอย่างนางคงไม่มีทางที่จะมีอสูรมายาจำนวนมาก แต่การที่เขาจะคิดเช่นนี้ก็ไม่แปลกเพราะอย่างไรจีหย่งก็แทบไม่เคยเห็นฉินอวี้โม่ใช้อสูรมายา ฉะนั้นแล้วเขาจึงไม่ทราบเรื่องที่นางเป็นผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับสูง

“ฮ่า ๆ ๆ ในเมื่อรุ่นพี่กล่าวเช่นนั้น งั้นข้าจะแสดงให้ดูเองว่าการใช้อสูรมายารังแกผู้อื่น แท้จริงแล้วเขาทำกันเช่นไร”

ฉินอวี้โม่ยิ้มกว้างไม่หุบ ในเมื่อจีหย่งเข้าใจผิดและกล้ากล่าวหาว่านางมีอสูรมายาไม่เพียงพอ เช่นนี้นางก็จะช่วยสงเคราะห์เปิดหูเปิดตาคนผู้นี้ ให้เขาได้เห็นว่าการรุมรังแกกดข่มผู้อื่นด้วยพวกพ้องหมู่มากจริง ๆ แล้วเป็นอย่างไร

“ทุกคน ออกมาสั่งสอนชายผู้นี้และอสูรมายาตัวน้อย ๆ ของเขากันหน่อย บอกให้เขาได้รู้ว่าการใช้อสูรหมู่น่ะต้องทำกันแบบไหน”

ทันทีที่สิ้นเสียงของฉินอวี้โม่  เสี่ยวจิ่ว ม่อเสีย หลิวหยา เสี่ยวเฮย เสี่ยวจิน เพียงพอนและอสูรมายาตัวอื่น ๆ เกือบทั้งหมดในสังกัดของนายหญิงโฉมงามก็ปรากฏกายขึ้นรอบ ๆ ตัวคุณหนูตระกูลฉิน

“ฮ่า ๆ ๆ นี่เป็นครั้งแรกเลยที่มีคนคิดว่านายหญิงมีอสูรมายาไม่เพียงพอ”

เสี่ยวจินหัวเราะขบขัน มนุษย์ผู้นี้ช่างโง่งมโดยแท้ที่กล้ากล่าวว่าเจ้านายของมันมีอสูรมายาไม่พอ ทำแบบนั้นไม่ต่างจากการตบหน้าตัวเองให้ศัตรูดูแม้แต่น้อย !

“ฮึ ๆ ริอ่านทำซ่าส์ กับนายหญิงของพวกเรารึ ? รู้จักอวี้โม่แอนด์*‘เดอะก๊ง’*น้อยไปซะแล้ว”

เสี่ยวเฮยใช้คำพูดตามที่นายหญิงสอน ทว่ามันก็ยังเอ่ยผิดไปหนึ่งคำจนเสี่ยวเยี่ยต้องช่วยแก้ไข

“เขาเรียก*‘เดอะแก๊ง’*นะพี่เฮย”

“เอาน่าพูดถูกก็ไม่เท่สิน้องเหมียว” อาชาสีดำในร่างบุรุษหล่อเหลารีบกลบเกลื่อน คำที่นายหญิงสอนออกจะมีมากไปสักหน่อย หลายคำมันก็เคยฟังแค่หนึ่งครั้ง หากจะพูดผิดไปบ้างก็เป็นธรรมดา

“ไปกันเถอะ แสดงให้พวกมันดูว่าการ ‘รุมกระทืบ’ ที่แท้จริงเป็นเช่นไร”

ม่อเสียกล่าวตัดบทสหาย พลันบุรุษในชุดสีดำก็เปลี่ยนร่างกลายเป็นหมีดำตัวใหญ่แล้วกระโจนเข้าใส่อสูรมายาทั้งสามที่จีหย่งส่งออกมา

ขณะเดียวกันหลิวหยาและเสี่ยวจิ่วก็มุ่งหน้าเข้าโจมตีจีหย่งโดยตรงพร้อม ๆ กัน

ขณะที่อสูรมายาตัวอื่น ๆ เข้าไปช่วยม่อเสียรุมรังแก..เอ้ย..จู่โจมอสูรทั้งสามของจีหย่งโดยไม่รอช้า บัดนี้การต่อสู้อันแสนชุลมุนได้เปิดฉากขึ้นในสังเวียนแห่งนี้แล้ว

เมื่อเห็นอสูรมายานับสิบตัวปรากฏตัวขึ้นบนลานประลอง ผู้ชมทั้งหมดก็อ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ

“สวรรค์ รุ่นน้องฉินอวี้โม่ยังเป็นคนอยู่ใช่หรือไม่ ? มีอสูรมายามากมายเช่นนี้มันจะผิดมนุษย์เกินไปแล้ว !”

“ไม่ใช่แค่นั้นนะ เจ้าอสูรมายาพวกนั้นน่ะ ยังมีแต่ระดับสูง ๆ ทั้งนั้น คนปกติแค่จะมีให้ได้สักตัวยังต้องพยายามแทบตาย อย่าว่าแต่คนทั่วไปเลย ขนาดเป็นผู้ฝึกสัตว์อสูรก็แทบจะเป็นอย่างนางไม่ได้เลยด้วยซ้ำ !”

“เฮ้อ ! เห็นทีศึกนี้จีหย่งคงมีแต่ต้องทุกข์ทรมานเสียแล้ว”

“แต่ข้าว่าก็สมควรแล้วเพราะเขาปากดีเย้ยแม่นางอวี้โม่เองนี่นาว่ามีอสูรมายาไม่พอ หากเก่งจริงเดี๋ยวเขาก็โต้กลับได้เองนั่นแหละ”

“@!%&)(”

..

.

ในตอนนั้นเองทั่วทั้งสนามประลองก็เต็มไปด้วยเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังแซงแซ่ บัดนี้สมดุลแห่งชัยชนะเริ่มเอนเอียงไปทางฝ่ายฉินอวี้โม่แล้ว

เมื่อเห็นฝ่ายสตรีที่เขาชิงชังเรียกอสูรมายาออกมาเป็นจำนวนมากสีหน้าของจีหย่งก็เปลี่ยนไปอย่างรุนแรง ใบหน้าของเขากำลังบิดเบี้ยวจนน่าเกลียด

ทันทีที่สัมผัสได้ว่าสองอสูรมายาหลิวหยาและเสี่ยวจิ่วพุ่งจิตสังหารโจมตีเข้ามาโดยไม่คิดปรานี จีหย่งก็ไม่กล้าจะประมาท สีหน้าแววตาของเขาตึงเครียดเป็นอย่างมาก

ด้านฉินอวี้โม่นั้น ยืนมองดูอยู่อีกด้านด้วยใบหน้าสงบนิ่ง ดูราวกับว่าสถานการณ์ที่เกิดทั้งหมดตกอยู่ในกำมือของนาง ราวกับว่าคุณหนูสี่ตระกูลฉินเป็นผู้ตวัดพู่กันรังสรรค์ฉากการต่อสู้นี้ไว้ก่อนแล้ว และเวลานี้ก็เหลือแค่ยืนรอชมการแสดงสนุก ๆ ของเหล่าอสูรที่น่ารักเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ถ้าเป็นคนที่สนิทกับฉินอวี้โม่จะทราบว่ายังมีอสูรทรงพลังอีกสองตัวที่นางไม่ได้เรียกออกมา

ตัวแรกก็คือซิวที่อยู่ระหว่างการเก็บตัว ส่วนอีกตัวก็คือหานอวี้ที่อยากจะพุ่งออกไปร่วมสนุกด้วยแต่ถูกนายหญิงที่มันติ๊ต่างเอาเป็นมารดาห้ามปรามไว้

ทั้งอสูรน่าเกรงขามที่ยังไม่ทราบตัวตนอันชัดเจนอย่างซิวและลูกมังกรทองห้าเล็บหานอวี้ถือเป็นไพ่ตายใบสำคัญ พวกมันทั้งสองยังต้องการการบ่มเพาะพลังอีกมาก ในยามนี้จึงเรียกใช้ได้เพียงในยามวิกฤตที่จำเป็นต้องปกป้องชีวิตฉินอวี้โม่ อีกทั้งเพื่อความปลอดภัย ผู้ฝึกสัตว์อสูรสาวจึงไม่อยากให้พวกมันปรากฏตัวต่อหน้าผู้อื่นบ่อยครั้งนัก

“เจ้าผึ้งตัวนั้นน่วมไปแล้ว พวกเรามาเล่นงานเจ้านี่ให้เละดีกว่า”

มารยาคอยยืนชี้นิ้วสั่งเหล่าสหายอสูรมายาด้วยรอยยิ้ม ไม่ทราบเช่นกันว่าด้วยเหตุใด แต่ในเวลาอันสั้นอสูรสาวแดนเหมันต์ก็สามารถทำความรู้จักและกลายเป็นที่สนิทสนมคุ้นเคยกับอสูรน้อยใหญ่ของฉินอวี้โม่ได้ ที่สำคัญมันยังสามารถสั่งการอสูรร่วมนายได้อย่างสนิทชิดเชื้อแล้วด้วย

“ได้เลย”

เสี่ยวเฮยส่งเสียงตอบรับและนำขบวนพี่น้องอสูรของมันเข้าไปรุมกระทืบอสูรมายาอีกตัวของจีหย่งอย่างรวดเร็ว

ไม่นานนัก เสียงร้องอันทุกข์ทรมานของอสูรทั้งสามจากฝ่ายบุรุษแซ่จีก็ดังระงมไปทั่วบริเวณ ยอดฝีมือรุ่นเยาว์แห่งโรงเรียนราชสำนักหลายคนเริ่มรู้สึกว่าน้ำลายของตนเหนียวจนกลืนลงคอได้ยากลำบาก และบางคนยังถึงกับทนดูต่อไปไม่ไหว

ทางด้านมังกรเกล็ดหลิวหยาและราชาอสรพิษเสี่ยวจิ่วทำให้จีหย่งปวดหัวอยู่ไม่น้อย แม้ว่าจีหย่งจะแตะเข้าสู่ขอบเขตทูตสวรรค์แล้วก็ตาม แต่ทั้งเสี่ยวจิ่วและหลิวหยาก็เป็นระดับอสูรสวรรค์ด้วยกันทั้งคู่ แน่นอนว่าเมื่อร่วมมือกันพวกมันก็ไม่รองว่าที่มนุษย์ทูตสวรรค์เลยสักนิด

หลังจากถูกอสูรทั้งสองรุกไล่อย่างหนัก จีหย่งก็ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบไป ในช่วงท้ายเขาเริ่มเหน็ดเหนื่อยจนสิ้นไร้เรี่ยวแรงจะโต้กลับแล้ว

“บัดซบเอ๊ย !”

จีหย่งสบถออกมาอย่างเดือดดาล ถึงตอนนี้เขาไม่มีวิธีใด ๆ ที่จะใช้พลิกสถานการณ์ได้เลย

อสูรทั้งสามของเขากำลังตกอยู่ในวงล้อมและถูกคณะอสูรของฉินอวี้โม่รุมเล่นงาน การประลองในรอบนี้ไม่มีเกียรติยศสำหรับเขาหลงเหลืออีกแล้ว ในลานประลองขณะนี้คล้ายกลายเป็นเวทีให้อสูรของฉินอวี้โม่เล่นสนุกกันเสียมากกว่า โดยของเล่นของพวกนั้นก็คืออสูรของเขาและตัวเขาเอง

ในตอนนี้อสูรทั้งสามของจีหย่งนอนหมอบอยู่บนพื้นอย่างน่าอนาถ ไม่มีตัวใดเหลือแรงกายเพียงพอจะเคลื่อนไหวได้ อันที่จริงพวกมันไม่เหลือแม้แต่แรงใจคิดจะเคลื่อนไหวเสียด้วยซ้ำ

— ปัง ! —

ในตอนที่เผอเรอครุ่นคิดทดท้ออยู่นั้นเอง จีหย่งก็ถูกหางของมังกรเกล็ดฟาดจนกระเด็นไปตกนอกเวทีประลอง

ด้วยแรงฟาดมหาศาลทำให้ในระหว่างที่กระเด็นลงไป บุรุษแซ่จีก็กระอักเลือดคำโตออกมากลางอากาศก่อนที่อึดใจถัดมาร่างของเขาจะตกกระแทกพื้นอย่างแรง ดูไปแล้วก็น่าจะเจ็บไม่น้อย อย่างไรก็ตาม จีหย่งก็ใช้เวลาไม่นานนักลุกกลับขึ้นมายืนอย่างมั่นคงอีกครั้ง

จอมยุทธ์ผู้รั้งอันดับที่สามแห่งทำเนียบนภาเรียกอสูรมายาสามตัวที่หมดสภาพหมอบราบคาบอยู่บนพื้นกลับมา ขณะเดียวกันก็จ้องมองฉินอวี้โม่ด้วยสายตาอาฆาตแค้น จีหย่งมองคนที่เขาเกลียดเข้าไส้อย่างหมายมาด สักวันเขาจะต้องล้างแค้นนี้ให้จงได้

และโดยไม่รอให้กรรมการประกาศนามผู้ชนะ จีหย่งก็หันหลังกลับและเดินหายลับไปจากสายตาผู้คน

เป็นถึงนักเรียนหัวกะทิที่อยู่ในอันดับสามของทำเนียบนภาแต่กลับต้องมาพ่ายแพ้ย่อยยับอย่างน่าเวทนาถึงเพียงนี้ วันนี้จีหย่งเสียหน้าไม่น้อยเลย มากกว่านั้นเรื่องราวในวันนี้คงเป็นตำนานเล่าขานกันไปอีกนาน และเขาคงจะต้องทนทุกข์กับความอับอายไปจนกว่าจะได้ล้างแค้นเป็นแน่

“ผู้ชนะคือฉินอวี้โม่ !”

“รุ่นน้องฉินอวี้โม่ไร้เทียมทาน”

“รุ่นน้องฉินอวี้โม่แข็งแกร่งจริง ๆ!”

ในตอนนั้นเองที่ทั่วทั้งสนามประลองเต็มไปด้วยเสียงชื่นชมฉินอวี้โม่

ต้องบอกเลยว่าการประลองในวันนี้คนส่วนมากต่างก็ลงใจเข้าข้างฝ่ายสตรีตระกูลฉิน หากไม่ใช่พันธมิตรของจีหย่งแล้ว ทุกคนล้วนอยากจะให้ฉินอวี้โม่ชนะกันทั้งนั้น ส่วนเหตุผลก็เข้าใจได้ง่ายมาก นั่นก็คือวีรกรรมเลวทรามต่าง ๆ นานาที่ผ่านมาของสองพี่น้องแซ่จี นอกเหนือจากสหายสนิทหรือผู้ได้ผลประโยชน์จากคนทั้งสองแล้วไม่มีผู้ใดในโรงเรียนทำใจเป็นมิตรกับพวกเขาได้เลย

“ข้าอยากจะให้การประลองระหว่างข้ากับรุ่นน้องอวี้โม่เป็นการประลองที่ดีและข้ายังมีโอกาสชนะ แต่ตอนนี้พอได้เห็นการต่อสู้ของนางครั้งนี้ ข้าก็คิดว่าคงต้องทำใจเสียแล้ว”

หลินซิวหยาส่ายศีรษะอย่างจนปัญญา เขาคิดอยู่เสมอว่าฉินอวี้โม่แข็งแกร่งมาก แต่เขาก็ไม่คิดว่าตัวเขาเองจะสู้นางไม่ได้ ทว่าเมื่อได้เห็นกองทัพอสูรแสนแข็งแกร่งนั่นในวันนี้ ความหวังของเขาก็พังทลายลงไม่เป็นท่า

จริงอยู่ที่การมีอสูรมากกว่าไม่ได้เป็นตัวบ่งบอกว่าจะได้รับชัยชนะเสมอไป แต่ก็ต้องยอมรับว่าอสูรมายาเป็นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญมากเหลือเกิน จอมยุทธ์ในโลกมายาแห่งนี้ล้วนพึ่งพาพลังจากอสูรมายา ผู้ที่มีอสูรมายาที่แข็งแกร่งกว่าย่อมข่มผู้อื่นที่มีพลังระดับเดียวกันหรือสูงกว่าเล็กน้อยได้

ที่สำคัญที่สุดคือ ฉินอวี้โม่สามารถควบคุมอสูรมายาระดับสูงจำนวนมากมายถึงเพียงนี้ได้โดยสมบูรณ์ นั่นก็แสดงให้เห็นแล้วว่าสตรีผู้ฝึกสัตว์อสูรผู้นี้มีพลังมายาและพลังวิญญาณอันมหาศาล เมื่อรวมกับพรสวรรค์ในฐานะผู้ฝึกสัตว์อสูรที่สูงส่งเกินจินตนาการก็ยากที่จะหาผู้ใดเท่าเทียมนางได้

“ใช่ ไม่ต้องกล่าวถึงพวกเราหรอก ต่อให้ปิงเสวียนและลั่วเฉินยังอยู่ในโรงเรียน ข้าก็ไม่แน่ใจว่าสองคนนั้นจะมีโอกาสเอาชนะได้ถ้าต้องเผชิญหน้ากับอสูรมายามากขนาดนี้”

เนี่ยหรูเฟิงถอนหายใจอย่างหมดสิ้นความหวัง ดูเหมือนว่าตัวเต็งแท้จริงจะคว้าชัยชนะในการประชันยุทธ์ครั้งนี้จะเผยตัวออกมาอย่างเด่นชัดแล้ว แน่นอนว่าคนผู้นั้นก็คือฉินอวี้โม่

ถึงอย่างไรตอนนี้ก็คงไม่มีใครมีพลังมากพอจะสู้กับคณะอสูรของนางได้ ตอนนี้พวกเขาจึงคิดว่าไร้หนทางที่จะชนะ

หลิวซิวหยาพยักหน้าเห็นด้วย เวลานี้เขาตัดสินใจบางอย่างได้แล้ว เขาอยากจะรู้ถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของฉินอวี้โม่ ดังนั้นแล้วหากมีโอกาสได้ประมือกับรุ่นน้องผู้เป็นเหมือนสัตว์ประหลาด เขาอยากจะสู้โดยไม่มีการพึ่งพาอสูรมายา

อันที่จริง ต้องกล่าวว่าในเรื่องนี้เหล่ารุ่นพี่ทั้งหลายคิดมากกันไปเอง เดิมทีฉินอวี้โม่ไม่มีความคิดที่จะเรียกคณะอสูรออกมาในศึกประชันยุทธ์แม้แต่น้อย ทว่าเพราะจีหย่งใช้อสูรมายาที่มากกว่ารังแกอสูรมายาของนางก่อน นี่ถือเป็นการบีบบังคับให้นางต้องใช้วิธีคล้ายเอาเปรียบเช่นนี้

มู่อวิ๋นที่นั่งชมอยู่ในที่นั่งพิเศษพยักหน้าอย่างพึงพอใจ ใบหน้าของเขาประดับด้วยรอยยิ้มบาง ๆ อาจารย์ซ่างกวนซวี่เองก็มีใบหน้าที่แสนภาคภูมิใจ ได้เห็นลูกศิษย์ของตนแข็งแกร่งถึงเพียงนั้น เขาในฐานะอาจารย์ที่ปรึกษาก็ย่อมปลาบปลื้มใจมากเป็นธรรมดา

ผู้อาวุโสหลิวก็ไม่ต่างกัน เขาคิดอยู่เสมอว่าฉินอวี้โม่ไม่ใช่ดรุณีธรรมดาแม้แต่น้อย

ส่วนอาจารย์และผู้อาวุโสคนอื่น ๆ นอกเหนือจากนี้ล้วนมีใบหน้าที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ พวกเขาไม่คิดมาก่อนเลยว่านักเรียนที่มีพรสวรรค์ระดับสัตว์ประหลาดจะปรากฏตัวขึ้นมาในโรงเรียนอีกคนหนึ่งแล้ว พรสวรรค์ของฉินอวี้โม่นั้นเรียกได้ว่าอยู่ในระดับเดียวกับอวิ๋นซื่อเทียนเมื่อร้อยปีก่อนและหานโม่ฉือที่จบการศึกษาไปได้ไม่นานนี้เลย

ร่างของคุณหนูตระกูลฉินหายวับไปจากลานประลองและมาปรากฏตัวอีกครั้งข้าง ๆ เหล่าสหาย

“อวี้โม่ เจ้าคือสัตว์ประหลาดของแท้ !”

เยว่ชิงเฉิงกล่าวเสียงดังพร้อมยกนิ้วให้สหายสาว คุณหนูตระกูลช่างหลอมไม่ลืมฉีกยิ้มหน้าบานอย่างเป็นปลื้ม แม้ว่านางจะเชื่อว่าอย่างไรฉินอวี้โม่ก็ชนะ แต่ก็ไม่คิดว่าจะเอาชนะได้ง่ายดายถึงเพียงนี้

“ฮ่า ๆ ๆ ยิ่งได้เห็นการประลองของเจ้า ข้าก็ยิ่งอยากรู้ถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเจ้ามากขึ้นเรื่อย ๆ”

ในตอนนั้นเอง เสียงหัวเราะของหลินซิวหยาก็ดังขึ้น “รุ่นน้องอวี้โม่ ถ้าเกิดว่ารอบต่อ ๆ ไปเราสองคนมีโอกาสได้เจอกัน ข้าอยากให้การประลองของเราเป็นการประลองที่ไม่พึ่งพาอสูรมายา ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นเช่นไร ข้าสัญญาจะขอยอมแพ้ในตอนสุดท้าย ข้าเพียงแต่อยากจะให้การประลองระหว่างเราเป็นการประลองที่ดีและเริ่มต้นด้วยความเท่าเทียม”

“ยินดีอย่างยิ่ง ถ้าข้ามีโอกาสได้ประลองกับรุ่นพี่ ข้าจะไม่ใช้อสูรมายา ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะก็ขอให้เป็นการประลองที่ดี”

ฉินอวี้โม่พยักหน้ารับ นางเองก็อยากจะทดสอบฝีมือของรุ่นพี่ผู้คลั่งไคล้การต่อสู้ผู้นี้เช่นกัน

เมื่อได้ฟังวาจาตกปากรับคำของฉินอวี้โม่แล้ว ไม่เพียงหลินซิวหยาแต่ทุกคนที่รอคอยชมฝีมือของสตรีผู้เก่งกาจน่าเลื่อมใสต่างล้วนเต็มไปด้วยความคาดหวัง

กล่าวด้วยตามความสัตย์จริงเลยว่า แม้แต่ฉินอี้เพ่ย ฉินอี้เฉียง เยว่ชิงเฉิงหรือโอวหยางชิงเฟิงที่สนิทสนมกับคุณหนูสี่ตระกูลฉินมากที่สุดก็ยังไม่รู้ถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริงในตอนที่นางต่อสู้อย่างสุดฝีมือเลย

ก่อนหน้านี้ในตอนที่พวกเขาเห็นนางสู้อย่างเต็มที่ก็เป็นตอนที่นางอยู่ในขอบเขตนภมายาเก้าดาราเท่านั้น แม้จะเป็นตอนนั้นแต่นางกลับสามารถสังหารผู้อาวุโสสองแห่งอารามได้แล้ว อีกทั้งในตอนที่ไปช่วยเพื่อนร่วมชั้นนางก็ยังทำให้จอมยุทธ์มายาบรรพชนดาราสูงของอารามบาดเจ็บสาหัสและเสียแขนไปข้างหนึ่งได้ แม้เวลานั้นนางจะเพิ่งเข้าสู่ขอบเขตมายาบรรพชนก็ตาม

ยิ่งเวลาผ่านไป ยิ่งความแข็งแกร่งของสตรีโฉมงามผู้นี้พัฒนาขึ้น หลายคนก็ยิ่งอยากเห็นฝีมือที่แท้จริงของนางมากขึ้นเรื่อย ๆ

ในตอนนี้เองที่ทุกคนต่างก็คาดหวังในการต่อสู้ระหว่างฉินอวี้โม่กับหลินซิวหยา ทุกคนหวังจะดูการต่อสู้ที่สนุกและดุเดือด ห้ำหั่นกันด้วยทักษะ ฟาดฟันกันด้วยพลังมายาของตนเอง

การประลองในคู่ถัดไปเป็นคู่ของลั่วอวิ๋นกับนักเรียนที่อยู่ในอันดับยี่สิบของทำเนียบนภา

คนผู้นั้นคือสหายของปิงเสวียนและอยู่ในกลุ่มเดียวกับเขาในตอนที่เข้าไปในป่าเหมันต์ เขาเป็นบุรุษที่พูดน้อยแต่ก็นิสัยดีน่าคบหา

หลังจากที่ได้เดินทางร่วมกันหลายวัน บุรุษผู้นั้นก็ทราบถึงความแข็งแกร่งของลั่วอวิ๋นดี อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่คิดจะยอมแพ้ง่าย ๆ เขาพยายามอย่างเต็มที่เพื่อเอาชนะลั่วอวิ๋นให้ได้

แม้ว่าจอมยุทธ์ในอันดับที่ยี่สิบจะมีความมุ่งมั่นและมีประสบการณ์การต่อสู้ที่สูงส่งกว่า ทว่าด้วยการที่ลั่วอวิ๋นได้เป็นจอมยุทธ์มายาบรรพชนเก้าดาราแล้ว ทำให้มีความต่างชั้นของพลังที่เด่นชัดเกินไป ในที่สุดเขาก็ต้องพ่ายแพ้ แต่ก็ถือว่าประต่อสู้ของคู่นี้เป็นการประลองที่ดีอย่างยิ่ง

และนี่เองเป็นผลให้แม้จะพ่ายแต่บุรุษผู้นั้นก็ไม่ได้ผิดหวังมากนัก เขายิ้มให้ลั่วอวิ๋นอย่างขอบคุณ ก่อนที่จะจับมือแสดงความยินดีกับนายน้อยแห่งเมืองเยว่กวางด้วยไมตรี

คู่ต่อไปเป็นการต่อสู้ระหว่างสองโฉมงาม เพ่ยหลงและเจียงหลิวเยว่

คนคู่นี้ ผู้หนึ่งคือนักเรียนหัวกะทิที่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็วจนได้ขึ้นไปอยู่ในอันดับต้น ๆ ของทำเนียบนภา นางมีรูปโฉมที่งดงามทั้งมีอัธยาศัยน่านับถือ อีกคนคือโฉมงามอันดับหนึ่งในแผ่นดิน ระดับพลังหรือฝีมือยังคงเป็นปริศนา แต่รูปลักษณ์ไม่ต้องกล่าวถึงเพราะถูกจัดว่ายอดเยี่ยมที่สุดอยู่แล้ว

แน่นอนว่าการประลองในรอบนี้เป็นที่จับตามอง โดยเฉพาะในหมู่บุรุษทั้งหลายที่ให้ความสนใจมากเป็นพิเศษ

เพ่ยหลงในวันนี้สวมใส่อาภรณ์สีแดง ขณะที่เจียงหลิวเยว่มาในชุดสีขาวบริสุทธิ์ดูตัดกันอย่างเด่นชัด ทว่าไม่เพียงแต่ชุดเท่านั้นเพราะพลังมายาของทั้งสองฝ่ายยังต่างขั้วกันโดยสิ้นเชิง

เพ่ยหลงโดดเด่นด้านพลังมายาธาตุน้ำแข็ง ขณะที่เจียงหลิวเยว่ใช้ธาตุไฟ เมื่อทั้งสองปลดปล่อยพลังพร้อมกันก็ราวกับการเริงระบำที่เล่นเฉดสีสันแดงขาวงดงามตระการตา

การต่อสู้ของสองสาวงามเป็นไปอย่างดุเดือด ทั้งก้อนน้ำแข็ง ทั้งหิมะ ลูกเพลิงและเปลวไฟสาดกระจายไปทั่วสนามประลอง

อย่างไรก็ตามสตรีคู่นี้ไม่ได้ปะทะกันในระยะประชิดเลย พวกนางเน้นการต่อสู้กันด้วยพลังมายาจากระยะไกล

สุดท้ายแล้วเป็นฝ่ายเพ่ยหลงที่มีพลังมายาสูงส่งกว่าระดับหนึ่งจึงสามารถเอาชนะไปได้

อย่างไรก็ตามหลังจากที่การประลองจบลง สองโฉมนารีก็ยังไม่ลืมที่จะแสดงไมตรีต่อกัน คู่ประชันทั้งสองเดินมาจับมือเพื่อขอบคุณซึ่งกันและกัน ก่อนจะพากันเดินลงไปจากลานประลอง

หากเปรียบเทียบกับที่ผ่าน ๆ มา การประลองในคู่นี้นับว่างดงามอลังการมากที่สุด จนมันช่วยขับเน้นความงามของสองสาวงามให้เฉิดฉายมากขึ้นกว่าเดิม และนี่ก็ยิ่งทำให้เหล่าบุรุษยิ่งหลงใหลจนเผลอกลืนน้ำลายไปหลายครา

ทว่าการประลองในคู่ถัดไปก็น่าสนใจไม่น้อยเลย และสำหรับเหล่าสหายอวี้โม่ การประชันยุทธ์ของคู่นี้ถือเป็นคู่ที่พวกเขารอคอยเสียยิ่งกว่าคู่ของสองโฉมงามเสียอีก

เพราะมันคือการปะทะกันของโอวหยางชิงเฟิงกับหลิวหว่านเยียน…

.