ตอนที่ 177 พิษสงของคู่ต่อสู้

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

ขณะนี้บนลานประลอง โอวหยางชิงเฟิงและหลิวหว่านเยียนกำลังยืนเผชิญหน้า ทั้งสองใช้สายตาดุดันจับจ้องฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่ลดละ

วันนี้โอวหยางชิงเฟิงสวมใส่ชุดสีน้ำเงินเข้ม มุมปากบางยกขึ้นเป็นรอยยิ้มน้อย ๆ ใบหน้าหล่อเหลายังคงดูอ่อนเยาว์ใสกระจ่างเหมือนอย่างเคย ทว่าสีหน้าและแววตากลับดูเย็นชาเชือดเฉือนจนสามารถกลบเกลื่อนความน่ารักที่มากเกินไปและเพิ่มความคมเข้มให้กับเขาได้

ส่วนหลิวหว่านเยียนมาในชุดรัดกุมสีเหลืองอ่อน ความกระชับของตัวชุดเผยให้เห็นสัดส่วนอันงดงามสมบูรณ์แบบ เมื่อรวมเข้ากับดวงตาคู่หวานราวดอกท้อบานก็ยิ่งขับเน้นความน่าหลงใหลจนเปี่ยมล้น

อย่างไรก็ตาม เมื่อนำมาเทียบกับฉินอวี้โม่ เจียงหลิวเยว่ รวมทั้งเพ่ยหลงแล้ว ความงามของหลิวหว่านเยียนนับว่าธรรมดาไปเลย

ความงดงามอันแสนดึงดูดของหลิวหว่านเยียนไม่สามารถเทียบได้กับรูปลักษณ์สมบูรณ์พร้อมของเจียงหลิวเย่ว ความตรงไปตรงมาของเพ่ยหลง และความโดดเด่นของฉินอวี้ได้

“โอวหยางชิงเฟิง เราสองคนก็ไม่เคยมีความแค้นต่อกันเป็นการส่วนตัว แม้ว่าสหายของเจ้ากับข้าอาจจะเคยมีเรื่องบาดหมางกันบ้าง แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนัก อีกอย่างข้าเป็นเพียงสตรีบอบบางมีหรือจะสู้บุรุษอย่างเจ้าได้ เหตุใดเจ้าไม่เปิดทางให้ข้าผ่านเข้ารอบต่อไปเสียเล่า ? ถ้าเป็นเช่นนั้นข้าจะขอบคุณเจ้ามาก”

หลิวหว่านเยียนเริ่มต้นเจรจาน้ำเสียงออดอ้อน ทว่าด้วยวาจาดังกล่าว เหล่าสหายอวี้โม่ต่างก็คิดเห็นเช่นเดียวกันว่า ‘ช่างไร้ยางอายสิ้นดี’

โอวหยางชิงเฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้มบาง “ต้องขออภัยเจ้าแล้วแม่นางหลิว แต่ในพจนานุกรมของข้าไม่มีคำว่า ‘ยั้งมือให้สตรี’ ขอเพียงเป็นศัตรูไม่ว่าจะเป็นเด็ก ผู้หญิงหรือคนแก่ ข้าก็ทุบตีได้ไม่ละเว้น เช่นนั้นแล้วเจ้าคิดว่าข้าจะปล่อยให้เจ้าเข้ารอบไปได้ง่าย ๆ อย่างนั้นหรือ ? ”

จริงอยู่ว่าโอวหยางชิงเฟิงมิใช่คนใจร้าย แต่บุรุษหน้าใสก็ไม่เคยสนใจแบ่งแยกเพศและอายุ ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง เด็กหรือแก่ ขอเพียงเป็นศัตรูที่หมายใจจะคุกคามเขาและพวกพ้อง หรือเป็นพวกชอบรังแกผู้ที่อ่อนแอกว่า เขาก็ไม่คิดละเว้น

หลิวหว่านเยียนถือเป็นศัตรูกับเหล่าสหายสาวของเขา สตรีชั่วร้ายผู้นี้เคยถึงกับส่งคนตามทำร้ายฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วตั้งแต่เมื่อแรกที่คนทั้งสามพบหน้ากัน ทั้งเขาและเยว่ชิงเฉิงที่ทราบเรื่องในภายหลังต่างพากันเคืองแค้นอย่างหนัก ในวันนี้เมื่อเขามีได้ประมือกับโฉมงามจอมริษยา เยว่ชิงเฉิงจึงกำชับหนักหนาว่าต้องเล่นงานนางให้สาสม และก็แน่นอนว่าคุณชายรองตระกูลโอวหยางไม่มีทางปล่อยให้โอกาสเหมาะสมสำหรับสั่งสอนคนตรงหน้าหลุดมือไปแน่

มิใช่เพียงฉินอวี้โม่และสหายในกลุ่มของนางเท่านั้น แม้แต่ผู้ชมที่อยู่โดยรอบเองก็ขมวดคิ้วอย่างขัดใจเมื่อได้ยินวาจาของหลิวหว่านเยียน โดยเฉพาะเหล่านักเรียนหญิงที่อดเบ้ปากคว่ำกลอกตามองสูงไม่ได้ อย่างไรก็ตามเมื่อได้ฟังคำตอบโต้ของโอวหยางชิงเฟิงหลายคนก็เฮลั่นด้วยความสะใจ

“โอวหยางชิงเฟิงพูดถูกแล้ว นี่คือการแข่งขัน เราทุกคนอยากจะเห็นการต่อสู้ที่ดุเดือดสมศักดิ์ศรีของยอดฝีมือแห่งโรงเรียนราชสำนักที่ผ่านเข้ารอบสิบหกคนสุดท้าย ฉะนั้นจงอย่าคิดจะใช้ความเป็นสตรีมาเป็นข้ออ้าง”

คนผู้หนึ่งในกลุ่มฝูงชนอดส่งเสียงออกมาไม่ได้ ดูเหมือนว่าจะมีคนจำนวนไม่น้อยที่ไม่ชอบความเย่อหยิ่งของหลิวหว่านเยียน

แม้ว่าหลิวหว่านเยียนจะมีรูปลักษณ์ที่งดงามน่าหลงใหล ทว่าบุรุษหนุ่มทั้งหลายกลับไม่ค่อยชื่นชอบนางมากนัก ผู้ที่จะถูกความงามของสตรีผู้นี้ดึงดูดได้มีแต่คนที่เพิ่งเคยพบเห็นนางเป็นครั้งแรกเท่านั้น ซึ่งเหตุผลก็เป็นเพราะเมื่อได้รู้จักจะทราบว่าบรรยากาศจากตัวโฉมงามผู้นี้ไม่ชวนให้เข้าใกล้และไม่น่าคบหาแม้แต่น้อย

“ไม่อยากเชื่อเลยว่านางจะเป็นหนึ่งในสิบโฉมงามแห่งแผ่นดิน ข้าไม่คิดว่านางคู่ควรกับตำแหน่งนั้นเพราะแค่ในโรงเรียนเราก็มีตั้งหลายคนที่งดงามกว่านางแล้ว”

คนผู้หนึ่งเอ่ยวิพากษ์วิจารณ์

ในฐานะผู้ชายคนหนึ่ง การได้เห็นสาวงามอยู่ใกล้ ๆ ย่อมทำให้จิตใจกระชุ่มกระชวย

ในโรงเรียนราชสำนักนี้ก็มีโฉมงามที่เป็นเลิศอยู่หลายคน หนึ่งในนั้นก็คือฉินอวี้โม่ คุณหนูสี่ตระกูลฉินคือสตรีที่อยู่ในดวงใจของใครหลายคน ไม่ใช่เพียงแค่รูปโฉมแต่นางยังมีความแข็งแกร่งอันโดดเด่นไม่เป็นรองผู้ใด เจียวหลิวเยว่ก็เช่นกัน ถึงแม้คราอยู่ในโรงเรียนนางจะชอบแฝงตัวอย่างเงียบเชียบ ไม่เคยอวดอ้างความเป็นโฉมงามอันดับหนึ่ง แต่ความงดงามอันเย็นชาของเจียงหลิวเยว่ก็น่าติดตาตรึงใจจนคงความโดดเด่นและเป็นเลิศของโฉมงามแห่งแผ่นดินไว้ได้ ความเป็นคนเข้าถึงง่ายและตรงไปตรงมาของเพ่ยหลงก็น่าประทับใจมาก เสน่ห์ของนางน่ารักใคร่ชวนให้เข้าหา เช่นเดียวกันกับความอ่อนน้อมของเหย่าเซียน์เอ๋อร์ที่บุรุษมากมายต่างต้องการจะปกป้องทะนุถนอม

นอกจากนี้ก็ยังมีสาวงามที่เงียบขรึมและดูเข้มแข็งอย่างหลิงซวง สตรีที่หาญกล้าอย่างเยว่ชิงเฉิง ฉินอี้เพ่ยเองก็เป็นที่นิยมไม่น้อย และสตรีคนอื่น ๆ อีกหลายคนที่ไม่ด้อยไปกว่าหลิวหว่านเยียน สตรีเหล่านี้ถือเป็นเลิศและเฉิดฉายในแบบฉบับของตน แต่ก็เป็นสิ่งที่สตรีแซ่หลิวผู้เย่อหยิ่งไม่มี

ฉะนั้นแล้วเหล่าบุรุษทั้งหลายจึงกังขาตำแหน่งหนึ่งในสิบโฉมงามของนางเป็นอย่างมาก

ยิ่งไปกว่านั้นบางคนที่คลั่งไคล้ฉินอวี้โม่ยังคิดด้วยว่า แม้แต่สตรีที่โดดเด่นอย่างนางในดวงใจของพวกเขายังไม่ได้เข้าไปอยู่ในสิบอันดับโฉมงาม ดังนั้นอันดับสิบโฉมงามนี้ไม่ควรจะมีอยู่อีกต่อไป

เมื่อได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์แสนระคายหูของเหล่าผู้ชม สีหน้าของหลิวหว่านเยียนก็เปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยว

หลิวหว่านเยียนไม่ได้มีตระกูลที่แข็งแกร่งหนุนหลังหรือมีพรสวรรค์ที่สูงส่ง ฉะนั้นแล้วสิ่งเดียวที่ทำให้นางภาคภูมิใจได้ก็คือตำแหน่งสิบโฉมงาม เมื่อได้ยินคำครหาเกี่ยวกับเรื่องนี้จึงทำให้นางโกรธมาก

“หลิวหว่านเเยียน เลิกว่อกแว่กและหยุดกล่าววาจาไร้สาระได้แล้ว รีบ ๆ แสดงพลังของเจ้าออกมาเสียที มิฉะนั้นข้าก็อาจจะทุบตีเจ้าให้มีสภาพไม่ต่างจากจีชาง”

โอวหยางชิงเฟิงยิ้มเหี้ยม เขาไม่อยากจะเสียเวลาเจรจาเหลวไหลมากความกับสตรีผู้นี้อีกแล้ว คุณชายรองตระกูลโอวหยางเรียกอสูรมายาสามตัวออกมาทันที

เขาไม่ใช่ผู้ฝึกสัตว์อสูร อีกทั้งยังไม่ได้ก้าวถึงระดับขอบเขตทูตสวรรค์ ฉะนั้นอสูรมายาจำนวนมากที่สุดที่เขาทำพันธสัญญาได้จึงมีเพียงสามตัว หากไม่ใช่เพราะมีข้อจำกัดนี้อยู่ เขาก็คงจะทำพันธสัญญากับอสูรมายานับไม่ถ้วนไปแล้ว

เมื่อเห็นอสูรมายาทั้งสามตัวที่โอวหยางชิงเฟิงเรียกออกมา หลิวหว่านเยียนก็มีสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก

แท้จริงแล้ว หากเทียบกันด้วยความแข็งแกร่งส่วนตัวแล้ว ตัวนางไม่ได้ด้อยไปกว่าโอวหยางชิงเฟิงเลย ทว่าถ้าเปรียบเทียบกันที่อสูรมายา อสูรมายาของนางมีระดับด้อยกว่าฝ่ายบุรุษตระกูลโอวหยางขั้นหนึ่ง มิหนำซ้ำนางยังครอบครองอสูรมายาเพียงสองตัวเท่านั้น

โฉมงามผู้เย่อหยิ่งกัดฟันแน่น ไม่ว่าอย่างไรนางก็ยังไม่อยากยอมแพ้ เป็นถึงสาวงามอันดับเจ็ดของแผ่นดินแต่กลับจะต้องก้มหน้าพ่ายแพ้กลายเป็นตัวตลกให้ผู้คนเย้ยหยัน เรื่องเช่นนั้นนางยอมรับไม่ได้

หลิวหว่านเยียนจ้องมองโอวหยางชิงเฟิงด้วยสายตาดุดัน ก่อนจะเรียกอสูรมายาออกมาและสั่งให้โจมตีคนตรงหน้าในทันที

“เอาเถอะ ข้าก็ไม่อยากจะเอาเปรียบเจ้านักหรอก ผู้คนจะกล่าวหาว่าข้าที่เป็นบุรุษลงมือกับสตรีอย่างเจ้าหนักหนาเกินไป ถ้าข้าใช้อสูรมายาจำนวนมากกว่าถึงจะเอาชนะเจ้าได้ก็ไม่นับว่าสมศักดิ์ศรี”

สิ้นประโยคนั้น โอวหยางชิงเฟิงก็เรียกอสูรมายากลับไปหนึ่งตัว บัดนี้ฝ่ายของเขาเหลืออสูรในจำนวนที่เท่าเทียมกับฝ่ายตรงข้ามแล้ว

ขณะเดียวกันตัวเขาเองก็เรียกก้อนพลังมายาออกมาและขวางเข้าใส่คู่ต่อสู้โดยไม่รอช้า นี่คือกระบวนท่าที่ผู้มีสมญาสายลมแห่งป่าแสงจันทร์ถนัดใช้งานมากที่สุด

ก้อนพลังมายาของโอวหยางชิงเฟิงนั้นแฝงไปด้วยพลังธาตุลม มันจึงเคลื่อนที่ได้รวดเร็วและมีพลังทำลายล้างมหาศาล

เมื่อเห็นก้อนพลังมายาพุ่งเข้ามาหาหลิวหว่านเยียนก็ขมวดคิ้วแน่น นางไม่กล้าประมาทโดยเด็ดขาด พลันโฉมงามก็รวบรวมสมาธิปลดปล่อยพลังมายาของตัวเองออกไปปะทะกับก้อนพลังของโอวหยางชิงเฟิง

ก้อนพลังมายาของหลิวหว่านเยียนเองก็มีพลังธาตุที่เด่นชัด ก้อนพลังนั้นมีสีเขียวสดและมีกลิ่นอายแห่งพงไพรที่ซึ่งบ่งบอกถึงพลังธาตุไม้อันแข็งแกร่ง

แม้พลังมายาธาตุพฤกษาของสาวงามอันดับเจ็ดจะนับว่าแข็งแกร่งในหมู่ธาตุเดียวกัน แต่ต้องทราบก่อนว่าในด้านการต่อสู้พลังธาตุไม้ถือเป็นธาตุที่มีพลังทำลายล้างต่ำที่สุด โดยปกติแล้วผู้ที่ฝึกฝนพลังธาตุนี้จะมีจุดประสงค์เพื่อใช้ในการรักษาเสียมากกว่า ทักษะวิชาที่เกี่ยวเนื่องด้วยทั้งหมดก็เป็นไปในทางการเยียวยาและสนับสนุนความสมบูรณ์พร้อมในฝ่ายเดียวกัน ดังนั้นถึงแม้จะไม่โดดเด่นในเชิงยุทธ์ แต่ผู้ฝึกพลังธาตุไม้ก็มีความสำคัญและเป็นที่ต้องการในหลายขุมกำลัง ซึ่งในครั้งนี้เมื่อเปรียบกับธาตุลมของโอวหยางชิงเฟิง ก้อนพลังมายาของหลิวหว่านเยียนจึงเป็นรองอยู่มาก

ที่สำคัญไม่ใช่เพียงแต่ในด้านการโจมตีเท่านั้นที่พลังธาตุไม้อ่อนด้อย สำหรับด้านป้องกันธาตุไม้ก็มีพลังที่ด้อยกว่าธาตุอื่น ๆ เกือบทั้งหมด

พลังมายาของคู่ประชันทั้งสองปะทะกันอยู่กลางอากาศ พลังสองธาตุยื้อยุดกันอยู่เพียงไม่นาน ทุกสายตาก็มองเห็นว่าก้อนพลังของหลิวหว่านเยียนเล็กลงอย่างรวดเร็ว

“หลิวหว่านเยียน ดูเหมือนพลังของเจ้าก็ไม่เท่าไหร่เลยนะ เห็นทีว่าในสองรอบก่อนหน้าที่มีคนกล่าวว่าเจ้าพึ่งพาโชคจนเข้ารอบมาได้คงจะไม่ผิด แต่ถ้าให้ข้าเดาเจ้าคงจะอาศัยความงามของตัวเองทำให้คู่ต่อสู้พลาดพลั้งเพื่อให้ได้ชัยชนะด้วยใช่หรือไม่ ?”

โอวหยางชิงเฟิงอดกล่าวคำเย้ยหยันไม่ได้ ใบหน้าของเขามีรอยยิ้มดูแคลน

ในการประลองรอบก่อนหน้านี้ของหลิวหว่านเยียน เขาเองก็ได้ดูเช่นกัน นางอาศัยลูกไม้ง่าย ๆ ในการทำให้คู่ต่อสู้พลัดตกลงไปจากลานประลอง หากไม่ใช่เพราะอาศัยโชคและความงาม นางคงไม่สามารถผ่านเข้ารอบมาได้ไกลถึงเพียงนี้

“ถูกต้องแล้ว แต่ความงามก็คือหนึ่งในพลังและความแข็งแกร่งของข้า !”

หลิวหว่านเยียนเบี่ยงตัวหลบก้อนพลังที่กำลังจะปะทะเข้ามาก่อนจะสาดวาจาเย็นชาตอบกลับไป ในตอนนี้ก้อนพลังของนางถูกพลังของฝ่ายตรงข้ามทำลายไปหมดสิ้น

“จริงอยู่ว่ารูปลักษณ์อาจจะถือเป็นพลังได้ แต่ต้องเป็นรูปลักษณ์ที่งามระดับฉินอวี้โม่เท่านั้นถึงจะสะกดทุกคนได้ รูปลักษณ์ที่ทรงพลังอีกอย่างหนึ่งก็คือรูปลักษณ์น่ากลัว อสูรที่มีหน้าตาสยองขวัญดูอำมหิตสามารถใช้ความน่าหวาดหวั่นให้เป็นอาวุธเพื่อขู่ผู้คนจนทำให้ไม่กล้าเข้าใกล้ได้ แต่สำหรับเจ้า เจ้าไม่ได้ทั้งงดงามและสยดสยอง เพราะฉะนั้นรูปลักษณ์ของเจ้าไม่ได้มีผลอะไรในการต่อสู้”

โอวหยางชิงเฟิงเอ่ยวาจาเสียดสีคู่ต่อสู้ด้วยรอยยิ้มร้าย ในใจจริงแท้แล้วเขาไม่ได้มีเจตนายกยอสหายตระกูลฉินหรือปรามาสรูปลักษณ์ของเหล่าอสูร แต่ที่กล่าวเช่นนั้นก็เพราะบุรุษหน้าใสทราบดีว่าการเปรียบเทียบความงามของสตรีผู้นี้ด้วยชื่อของฉินอวี้โม่จะทำให้นางขุ่นเคือง

และก็เป็นไปตามคาด คำกล่าวของโอวหยางชิงเฟิงทำให้ใบหน้าของหลิวหว่านเยียนบิดเบี้ยวมากขึ้นกว่าเดิม วาจาของเขาชัดเจน ความหมายของมันคือความงามของนางนั้นถือว่าธรรมดาไม่โดดเด่น และยิ่งเมื่อเทียบกับคุณหนูบ้านนอกน่าชังนั่นก็ยิ่งดูไร้ค่า หลิวหว่านเยียนโกรธแค้นถึงที่สุด มือบางกำหมัดแน่น ทว่านางก็อ้ำอึ้งเสียจนไม่สามารถสรรหาถ้อยคำมาโต้ตอบเรื่องนี้ได้

“บุรุษหน้าไม่อาย เจ้าหยุดพล่ามเรื่องไร้สาระเดี๋ยวนี้นะ !” สตรีผู้หยิ่งทะนงในตำแหน่งสาวงามแห่งแผ่นดินแผดเสียงดังลั่น

“เหอะ ๆ เช่นนั้นก็มาจบการต่อสู้นี้เลยดีกว่า” โอวหยางชิงเฟิงมองหลิวหว่านเยียนที่มีสีหน้าคล้ายถูกบังคับให้กลืนยาขมพลางกล่าวด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า

แม้ว่าความแข็งแกร่งของหลิวหว่านเยียนจะดูไม่ต่างจากโอวหยางชิงเฟิงมากนัก ทว่าประสบการณ์ในการต่อสู้กลับห่างชั้นกันไม่อาจเทียบ ยิ่งสู้กับนางไปโอวหยางชิงเฟิงก็ยิ่งไม่เข้าใจว่าเหตุใดสตรีผู้นี้จึงอาจหาญทำเรื่องท้าทาย นางไปเอาความกล้าและมาดมั่นมาจากที่ใดถึงคิดท้าทายฉินอวี้โม่

การรับมือกับคนอย่างหลิวหว่านเยียนไม่ต้องถึงมือฉินอวี้โม่ด้วยซ้ำ แค่อสูรมายาสักตนหรือสองตนของนางก็เอาชนะคนผู้นี้ได้ง่ายดายแล้ว

ก้อนพลังธาตุลมอีกก้อนพุ่งเข้าใส่หลิวหว่านเยียนที่เร่งรีบปล่อยพลังธาตุพฤกษาออกมารับมือ

— ตูม ! —

ในครานี้ทันทีที่ก้อนพลังมายาทั้งสองปะทะกัน การระเบิดอันรุนแรงก็ปะทุขึ้นกลางอากาศ โอวหยางชิงเฟิงไม่รอท่า ผู้ใช้พลังธาตุลมชักกระบี่ยาวออกมาแล้วฉวยโอกาสในเสี้ยวอึดใจนั้นพุ่งประชิดตัวคู่ต่อสู้  ร่างของเขาปรากฏขึ้นตรงหน้าสตรีจอมริษยา กระบี่เล่มบางเสือกแทงเข้าที่คอไม่ปรานี

โอวหยางชิงเฟิงหยุดมือลง คมกระบี่อยู่ห่างจากคอของโฉมงามอันดับเจ็ดเพียงไม่กี่ชุ่นเท่านั้น

“ในเมื่อแพ้แล้ว เจ้าก็ลงไปจากลานประลองด้วยตัวเองเถอะ”

คุณชายรองตระกูลโอวหยางเผยยิ้มอย่างผู้ชนะพลางชักกระบี่กลับมา เขาเลิกสนใจคู่ต่อสู้และหันหลังกลับทันที

แม้ปากจะกล่าวว่าไม่คิดปรานีเพราะอีกฝ่ายเป็นสตรีแต่โอวหยางชิงเฟิงก็ยังรู้สำนึกชั่วดีมีความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ ในเมื่อบัดนี้รู้ผลแพ้ชนะแล้วเหลือเพียงรอคอยให้กรรมการบนเวทีประกาศผลอย่างเป็นทางการเท่านั้น

ทว่าบุรุษตระกูลโอวหยางกลับคิดละเว้นคนผิด ในพริบตานั้นเอง ดวงตาดอกท้อของหลิวหว่านเยียนก็แปรเปลี่ยนไป รังสีสังหารอันเข้มข้นสาดกระจายออกไปทุกทิศ มือขาวผ่องทั้งสองจับกระชับกระบี่คมไม่ทราบที่มา พลันพุ่งแทงเข้าหาร่างของโอวหยางชิงเฟิงอย่างรวดเร็ว

โอวหยางชิงเฟิงนั้นอยู่ใกล้กับอีกฝ่ายมาก แม้จะสัมผัสรังสีสังหารของนางได้ แต่กระบี่ของหลิวหว่านเยียนก็พุ่งเข้ามาอย่างกะทันหัน

“ระวัง !”

เมื่อเห็นการกระทำของหลิวหว่านเยียน เยว่ชิงเฉิงก็อดกรีดร้องออกมาไม่ได้ ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก

ในอึดใจเดียวกัน ร่างของฉินอวี้โม่ก็หายวับไปจากที่นั่งของผู้ชมทันที นางพุ่งตรงไปยังตำแหน่งของประลองทั้งสองบนเวทีหวังปัดป้องกันการโจมตีนั้นให้ได้

“หึ !” หลิวหว่านเยียนแค่นเสียงด้วยความสาแก่ใจ

จุดที่นั่งอยู่ของฉินอวี้โม่ห่างไกลเกินไป ที่สำคัญนางมั่นใจว่าการเคลื่อนไหวของตนรวดเร็วยิ่งยวด เมื่อบวกรวมกับความประมาทของบุรุษปากร้ายทำให้ผลลัพธ์สุดท้ายก็คือไม่ว่าจะตอบสนองอย่างไรอีกฝ่ายก็ล่าช้ากว่านางไปมากแล้ว

“ฮ่า ๆ ๆ ใครบอกว่าข้าจะยอมแพ้กัน ตามกติกาขอแค่ไม่ลงไปจากเวทีประลองหรือประกาศว่ายอมแพ้ก็ยังไม่แพ้ ตอนนี้เป็นเจ้าต่างหากที่จะต้องแพ้ !”

ในเวลาแค่เสี้ยวอึดใจ กระบี่ของหลิวหว่านเยียนก็แทงทะลุร่างของโอวหยางชิงเฟิงเป็นที่เรียบร้อย ใบหน้าอ่อนเยาว์ของบุรุษหน้าใสดูเจ็บปวดน่าหวาดหวั่น ขณะเดียวกันสตรีผู้เพิ่งใช้ช่องโหว่ลอบกัดผู้อื่นได้สำเร็จกลับระเบิดเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง

เป็นดังที่โฉมนารีอันดับเจ็ดกล่าว ในเมื่อนางยังไม่ได้ก้าวลงไปจากลานประลอง นางก็ยังไม่ถือว่าแพ้ ทว่าตามปกติแล้ว หากเป็นคู่อื่น ๆ เมื่อทราบผลแพ้ชนะดังเช่นที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ฝ่ายที่พ่ายก็มักจะยอมรับความปราชัยแต่โดยดีและก้าวออกจากสังเวียนไปด้วยตนเองเพื่อธำรงเกียรติยศเหมือนเช่นคู่ของปู้เฟยเทียน

ทว่าผู้ใดจะคิดว่านอกจากความเย่อหยิ่งอย่างน่าชังแล้วหลิวหว่านเยียนยังเป็นสตรีที่ซึ่งไร้น้ำใจเยี่ยงจอมยุทธ์ ไม่เพียงไม่คิดจะยอมรับในความพ่ายแพ้ของตนแต่ยังใช้วิธีสกปรกด้วยการลอบกัดผู้อื่น

เมื่อเห็นกระบี่ในมือหลิวหว่านเยียนแทงทะลุร่างโอวหยางชิงเฟิง ผู้เข้าชมทั่วทั้งสนามประลองก็ได้แต่กรีดร้องพลางเอามือป้องปากเพราะความตกใจ ไม่มีใครคาดฝันว่าจะมีเรื่องน่ารังเกียจเช่นนี้เกิดขึ้นในศึกประชันยุทธ์ของโรงเรียนราชสำนักได้

ร่างของฉินอวี้โม่มาจนถึงขอบของลานประลองแล้ว ทว่าคุณหนูสี่กลับหยุดอยู่เพียงเท่านั้น คิ้วได้รูปขมวดแน่น

นางรู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกประหลาด แม้จะถูกกระบี่ของหลิวหว่านเยียนแทงทะลุร่าง แต่สภาวะพลังของโอวหยางชิงเฟิงกลับไม่ได้อ่อนแอลงเลย

ยิ่งกว่านั้นนางก็รู้สึกว่ามันผิดปกติอีกเช่นกัน เพราะกลอุบายตื้น ๆ อย่างการลอบกัดเช่นนี้ จอมยุทธ์ระดับสูงอย่างมู่อวิ๋นที่ชมการต่อสู้อยู่ก็น่าจะมองออกและยับยั้งได้ ทว่าเขากลับไม่ขยับตัวเลย ยิ่งไปกว่านั้นบนใบหน้าของท่านอธิการผมสีประหลาดกลับปรากฏเป็นรอยยิ้มบาง

เมื่อหันไปมองยังพื้นที่ว่างด้านหลังของหลิวหว่านเยียน ฉินอวี้โม่ก็ตกใจไม่น้อย

“นั่น !”

ขณะที่ผู้ชมทั้งหลายกำลังตื่นตะลึงกับเหตุการณ์คล้ายลอบสังหารและเป็นกังวลกับอาการของโอวหยางชิงเฟิง คนผู้หนึ่งก็ร้องขึ้น เขาชี้ไปยังด้านหลังของสตรีตระกูลหลิวพลางทอแววตาแตกตื่น เมื่อมองตามทิศทางนั้น ทุกคนก็มองเห็นร่างร่างหนึ่งปรากฏอยู่ราวกับภูตผี ร่างดังกล่าวทำให้หลายคนอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึงยิ่งกว่าเดิม

เยว่ชิงเฉิงและเหล่าสหายคนอื่น ๆ ถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างโล่งอก ใบหน้าของพวกนางมีรอยยิ้มได้อีกครั้ง

“โง่จริง ๆ ข้าไม่รู้ว่าทำไมเจ้าถึงยังดูภาคภูมิใจอยู่ได้”

เสียงเรียบนิ่งดังกระทบโสตประสาทของหลิวหว่านเยียน เสียงดังกล่าวทำให้นางแข็งค้างไปในทันที ร่างของโอวหยางชิงเฟิงที่ถูกแทงก่อนหน้านี้จู่ ๆ ก็กลายเป็นผงทราย สลายหายไปกับสายลมอย่างน่าประหลาด

“ไสหัวลงไปซะ นังผู้หญิงน่ารังเกียจ !”

เสียงพูดดังขึ้นมาอีกครั้ง ครานี้มันเต็มไปด้วยความไม่สบอารมณ์ถึงขีดสุด ทุกคนเห็นร่างที่อยู่ด้านหลังหลิวหว่านเยียนยกเท้าถีบก้นนาง โฉมงามอันดับเจ็ดแห่งแผ่นดินกระเด็นตกไปจากลานประลองอย่างสิ้นท่า

.