บทที่ 362 ไล่ล่า

บทที่ 362 ไล่ล่า

วันรุ่งขึ้น ภายในสำนักเมฆาเขียวและสำนักโลกเร้นลับ

“…เรื่องวุ่นวายที่ตระกูลอู๋มีเรื่องกับอวี้ฮ่าวหราน อู๋ลั่นได้เข้าไปกำจัดฝ่ายตรงข้าม”

ภายในโถงกลาง ผู้อาวุโสหลินพูดเกริ่นนำ เวลานี้ศิษย์ในสำนักทั้งขั้นกลางและขั้นสูงรวมตัวกันภายในโถง โดยมีชายวัยกลางคนในชุดเทานั่งอยู่ในที่นั่งสูงสุด

ชายผู้นั้นพยักหน้ารับ

“ดังนั้นทั้งหมดเป็นเพราะตระกูลอู๋งั้นเหรอ?”

“เจ้าสำนักฉินหลักแหลมสามารถเข้าใจได้ทะลุปรุโปร่ง”

ผู้อาวุโสหลินถอนหายใจอย่างโล่งอก ท่าทีของเจ้าสำนักเห็นตรงกับสำนักเมฆาเขียว

“เป็นไปไม่ได้! คนธรรมดาจะอยู่ในขอบเขตก่อรากฐานขั้นสูงได้ยังไง? เข้าใจผิดไปเองหรือเปล่า?”

ชายชราข้างเขาไม่อาจเชื่อ

“ใช่ ฉันฝึกมาหลายสิบปี แต่ว่าเพิ่งจะบรรลุขอบเขตก่อรากฐาน คนหนุ่มวัยต้น 20 อย่างนั้นจะอยู่ในขอบเขตก่อรากฐานขั้นสูงได้ยังไง?”

“ผู้อาวุโสหลิน อย่าเพิ่งตื่นตูมไปเลย!”

“…”

สิ้นคำเขา หลายคนจึงอดว่าสำทับไม่ได้

สีหน้าผู้อาวุโสหลินฉายแววทะมึนเมื่อได้ยินเช่นนี้ เขาไม่สบอารมณ์ที่ถูกคนอื่นกังขาเช่นนี้

“ฮึ่ม! ถ้าเขาไม่ได้อยู่ในขอบเขตก่อรากฐานขั้นสูง พวกนายจะถูกเล่นงานจนไม่มีปัญญาสู้กลับอย่างนี้เหรอ? อู๋ชิงกับอู๋หยวนฮัวก็อยู่ในเหตุการณ์!”

“คือว่า… จริง ๆ แล้วเราสามคนรวมพลังกันสู้กับเขา นอกจากเขาจะทำลายค่ายกลที่สร้างไว้อย่างง่ายดายแล้ว ผู้อาวุโสหลินยังถึงกับถอยเพราะว่าพลังของเขาด้วย”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ อู่หยวนฮัวลุกขึ้นเล่าเหตุการณ์ให้ฟัง

เจ้าสำนักฉินซึ่งนั่งฟังอยู่พยักหน้ารับ

“อย่างนั้นอีกฝ่ายก็คงจะอยู่ในขอบเขตก่อรากฐานขั้นสูงจริง ๆ ฉันเคยเห็นค่ายกลของผู้อาวุโสหลิน ถ้าฝีมืออยู่ในระดับเดียวกัน ไม่มีทางที่ใครจะทำลายได้”

“ท่านเจ้าสำนัก! ถึงอย่างนั้นเราก็จะปล่อยผ่านไม่ได้นะครับ”

ครั้งนี้เป็นอู๋ชิงที่ลุกขึ้น

เขาคิดค้านหัวชนฝา อู๋ลั่นเป็นเพื่อนแท้ของเขา ผ่านร้อนผ่านหนาวด้วยกันมามาก เขาจะยอมง่าย ๆ ได้อย่างไร!

ผู้อาวุโสหลินหน้านิ่วเมื่อได้ฟัง พลันกล่าวตำหนิ

“อู๋ชิง! นายรู้หรือเปล่าว่าพลังของอัจฉริยะเป็นยังไง? เราเป็นแค่สำนักเล็ก ๆ จะไปสู้เขาได้ยังไง?”

เขามาที่นี่ก็เพราะต้องการให้ทางสำนักเลิกคิดแค้นเสียที

ยังไม่ต้องกล่าวถึงพลังอันเหนือชั้นของฝ่ายตรงข้าม ลำพังเพียงพละกำลังภายในที่หลบซ่อนเอาไว้ก็เกรงว่าจะน่ากลัวเหลือทน

หากเพื่อความสงบสุขของสำนักแล้ว ยุติเรื่องนี้ไว้แต่เพียงเท่านี้คงเป็นการดีที่สุด

ทว่าเทพเจ้าคงไม่เป็นใจนัก

สุ่มเสียงฮึดฮัดอย่างไม่พอใจดังขึ้นก้องโถง!

“ฮึ่ย! ฉันบรรลุขอบเขตก่อรากฐานขั้นสูงมานาน เชี่ยวชาญเคล็ดค่ายกล ถ้าฉันไปเองคงฆ่าเจ้าเด็กนั่นได้สบาย ๆ !”

ชายชราใบหน้าเผยริ้วรอยอายุราว 50 ย่าง 60 ปีคนหนึ่งอาจหาญกล่าวขึ้น

ผู้อาวุโสหลินถึงกับปวดหัวเมื่อเห็นคนผู้นี้

“จะใช้พลังของผู้อาวุโสใหญ่ก็ได้ แต่เพื่อเห็นแก่สำนักแล้ว คุณต้องนึกถึงกำลังของผ่ายตรงข้ามด้วย ไม่ควรบุ่มบ่ามไปนัก”

ชายชราที่เอ่ยออกมาก่อนหน้านี้คือผู้อาวุโสใหญ่แห่งสำนักเมฆาเขียว

“ฮ่า ๆ นี่คุณจะบอกว่าฉันบุ่มบ่ามอย่างนั้นเหรอ? หลินคัง! คุณมาสู้กับฉันไหม?”

ท่าทีของผู้อาวุโสใหญ่เกรี้ยวกราด ว่าเหยียดหยามอีกฝ่ายอย่างรุนแรง

ความหวังของอู๋ชิงสว่างวาบ “ผู้อาวุโสใหญ่เฉลียวฉลาด ครั้งนี้เราสืบเรื่องของเขามาแล้ว อวี้ฮ่าวหรานไม่มีครอบครัว ไร้สังกัด เมื่อสามปีก่อนเขาอาจเป็นแค่คนธรรมดา ตอนนี้ความสามารถก้าวหน้าไปมาก ฉันว่าต้องเป็นเรื่องบังเอิญแน่”

“คุณ!”

เมื่อผู้อาวุโสหลินได้ยินแบบนี้ สีหน้ายิ่งถมึงทึง อู๋ชิงตั้งใจจะก่อเชื้อไฟแค้น!

“เพื่ออู๋ลั่น! คุณจะเอาความปลอดภัยของทั้งสำนักไปเสี่ยงเหรอ?”

“ฮึ่ม! เขาเป็นพี่น้องร่วมสายเลือดของฉัน! ถ้าไม่แก้แค้นให้เขา คนอื่นจะไม่ดูถูกฉันเหรอ? ฉันจำเป็นต้องทำแบบนี้!”

ผู้อาวุโสใหญ่ไม่คิดยอมแพ้เช่นกัน

“เอาล่ะ! เรื่องนี้พักเอาไว้ก่อน! คนในสำนักห้ามไปแก้แค้นอวี้ฮ่าวหรานเด็ดขาด”

เจ้าสำนักหน้าบูดบึ้ง ตัดสินใจเป็นการเฉพาะหน้าไปก่อน ด้วยรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ

“ใช่แล้ว แค่พักเอาไว้ก่อน หลังศิษย์นอกสำนักสืบรู้ข้อมูลของฝ่ายตรงข้ามค่อยตัดสินใจกันอีกที”

สิ้นคำ ความเงียบงันก็โรยตัวทั่วบริเวณ

ในเมื่อเจ้าสำนักตัดสินใจแล้ว แม้ทุกคนจะคัดค้าน หากแต่พวกเขาก็ไม่กล้าขัดคำสั่ง

……

ไม่กี่วันต่อมา ภายในโรงพยาบาล

ถึงอย่างไรหวังเหยียนก็บรรลุขอบเขตพลังภายในขั้นสูง หลังจากรักษาตัวได้ครึ่งเดือน อาการบาดเจ็บของเขาก็ฟื้นตัวขึ้นมาก

เหลือเพียงส่วนที่กระดูกแตกหัก ทำให้ยังลุกออกจากเตียงไม่ง่ายนัก

“ถ้าจะให้ผมบอก ตอนนี้เราตกที่นั่งลำบากแล้วล่ะครับ ถ้าพวกเขาร่วมมือกัน ผมว่าคงไม่น่าสู้ได้”

“ฮ่า ๆ ไม่ต้องห่วงเรื่องนี้ ฉันกับหัวหน้าโจวคุยเรื่องการตอบโต้กลับแล้ว”

หวังเหยียนนอนคุยกับลูกน้องบนเตียงโรงพยาบาล

อาการบาดเจ็บของเขาดีขึ้นมากแล้ว ด้วยอานิสงค์ของพลังภายใน สีหน้าเขาจึงกลับมามีเลือดฝาด

ในขณะเดียวกัน รถสีดำหลายคันจอดด้านหน้าโรงพยาบาล หลังจากนั้นก็ปรากฏร่างชายวัยกลางคน 7 ถึง 8 คนในชุดสูทดำลงมาจากรถ

“ลุยเลย!”

สิ้นคำสั่ง ชายสามคนก็รีบเข้าไปในโรงพยาบาล

“คุณครับ คุณหวังเหยียนอยู่ห้องไหนเหรอครับ?”

“หวังเหยียนเหรอคะ? ฉันดูให้สักครู่นะคะ”

นางพยาบาลที่นั่งประจำการอยู่ถูกยิงคำถามใส่ เธอไม่คิดว่าเป็นเรื่องแปลกจึงก้มลงไปเปิดดูบันทึกการลงทะเบียน

“อยู่ห้อง 18 ค่ะ เป็นอะไรกับเขาเหรอคะ?”

ไม่ทันที่เธอจะพูดจบ เมื่อเงยหน้าขึ้นชายทั้งสามคนก็ได้หายตัวไปแล้ว

ภายในห้อง

“หัวหน้ารอเดี๋ยวนะครับ ผมจะออกไปล้างแอปเปิ้ลให้”

ลูกน้องของเขายิ้มขณะผลักประตูห้องออกไป

ในจังหวะนี้เอง!

“พวกคุณเป็นใคร?”

เสียงโหวกเหวกพลันดังขึ้นหน้าประตู การตะลุมบอนเกิดขึ้นในทันทีหากแต่ดูเหมือนคนที่บุกมาจะแข็งแกร่งมาก!

มีคนเฝ้ายามหน้าประตูอีกสองคน รวมเป็นสามคน แต่เสียงของเขากลับเงียบลงไปภายในไม่กี่วินาที!

ประตูห้องเปิดออกในไม่ช้า!

ชายวัยกลางคนในสูทดำสามคนเดินเข้ามา! น่าเสียดายที่พวกเขาได้เห็นเพียงเตียงเปล่า

“มันหนีไปแล้ว!”

หนึ่งในพวกเขาเดินไปข้างเตียง เอื้อมมือสัมผัสอุณหภูมิบนเตียง

“ไม่! มันเพิ่งหนีไป!”

สายตาคมมองปราดไปทางหน้าต่างที่เปิดทิ้งไว้

“ตามมันไป!”

ทั้งสามคนตามไล่ล่าอีกฝ่ายตามคำสั่ง

หวังเหยียนหลบหนีออกจากโรงพยาบาล ทันทีที่ได้ยินเสียงโวยวายของลูกน้อง เขารับรู้ได้ถึงอันตราย!

แม้ร่างกายจะยังบาดเจ็บอยู่ แต่เพราะมีพลังภายในช่วยเขาจึงหนีออกมาได้อย่างรวดเร็ว

ที่ด้านนอกโรงพยาบาล

เขาหันไปมอง เห็นประตูทางออกมีรถยนต์หลายคันจอดดักอยู่ เห็นได้ชัดว่าฝ่ายตรงข้ามเจตนาร้าย

จังหวะที่เขาพลันนิ่วหน้า สัมผัสได้ว่ามีบางคนวิ่งไล่มาจากอีกฟากของกำแพง

“ตามล่ามาจริง ๆ ด้วย!”

เขาส่งสีหน้าไม่สบอารมณ์พลางสบถขึ้น รีบวิ่งหนีทั้งที่ยังบาดเจ็บอยู่

หวังเหยียนรู้ตัวว่าครั้งนี้ตนเองตกอยู่ในอันตรายเข้าแล้ว!