ภาคที่สาม มิต้อง ตีกรับ ร่ำสุรา จากจอกทอง ตอนที่ 43-2 สามพันตำลึงทอง

ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3

“แม้ว่าสำหรับฮูหยินน้อยและคุณหนูตวนมู่แล้ว สามพันตำลึงทองจะนับว่าเป็นเงินที่ไม่น้อยเลย เพียงแต่นี่ก็เป็นเพราะท่านผู้สูงศักดิ์ทั้งสองล้วนเป็นคนปราดเปรื่องรอบคอบ จึงไม่ยินยอมจะสิ้นเปลืองไปโดยเปล่าเท่านั้น” มู่ชุนเหมียนเอ่ยพลางยิ้มน้อยๆ “ความจริงแล้ว ด้วยฐานะของท่านผู้สูงศักดิ์ทั้งสอง จะเห็นเงินทองจำนวนนี้อยู่ในสายตาจริงๆ ได้ที่ใด?”

เว่ยฉางอิ๋งปรายทางมองนางคราวหนึ่ง แล้วหันหน้ามาถามตวนมู่ซินเหมี่ยวว่า “น้องหญิง?”

“….ให้สามพันตำลึงทองแก่นาง!” ตวนมู่ซินเหมี่ยวเพียงแค่ลังเลสักพัก แล้วเอ่ยอย่างเต็มปากเต็มคำ “ต้องขอให้พี่สะใภ้สามช่วยออกให้ข้าก่อน! รอข้ากลับถึงเมืองหลวงแล้วจึงค่อยคืนให้…”

“คนครอบครัวเดียวกัน มาเอ่ยเรื่องคืนไม่คืนเช่นนี้ เห็นเป็นคนอื่นคนไกลแล้ว” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยด้วยสีหน้ายินดี “น้องซินเหมี่ยว ครั้งเจ้าช่วยข้าและพี่ชายสามของเจ้า พวกเรากลับไม่ได้เกรงใจเจ้าเช่นนี้”

ทั้งสองคนบอกปัดไปมาสักพัก เว่ยฉางอิ๋งจึงสั่งให้คนไปรวบรวมทองคำมา …ตอนท้ายก็ถามมู่ชุนเหมียนว่า “พวกเจ้าก็มากันสองแม่ลูก เอาสามพันตำลึงทองกลับไปเกรงว่าคงไม่ใคร่สะดวกกระมัง? จะให้ข้าให้คนไปส่งพวกเจ้าสักน้อยหรือไม่?”

มู่ชุนเหมียนได้ยินว่าตนจะได้สามพันตำลึงทองจริงๆ ก็รู้สึกค่อนข้างเหนือคาด ทว่านางก็มีชั้นเชิงไม่เบา ดวงตาสั่นสะท้านเพียงหนก็กลับมาสงบดังเดิม ยามนี้ได้ยินความหมายในคำพูดของเว่ยฉางอิ๋งว่าจะปล่อยให้พวกนางแม่ลูกกลับไปทั้งเช่นนี้แล้วก็กลับประหลาดนัก คิดสักพักจึงว่า “ขอบคุณฮูหยินน้อยมากเจ้าค่ะ เพียงแต่เหตุที่ข้าน้อยร้องขอเงินทองจำนวนนี้ เดิมทีก็เพียงซื้อหาสิ่งของจำเป็นให้ในป้อม …ข้าน้อยจะไปตามถนนหนทางในตัวเมืองซีเหลียงก่อน มิได้นำทองคำทั้งหมดกลับไปที่ป้อมตระกูลเฉาเจ้าค่ะ”

นางนิ่งใคร่ครวญไปสักพัก จึงเอ่ยเป็นเชิงโยนหินถามทางว่า “ข้าน้อยคิดว่า ทองที่จะนำกลับไปคงมีไม่มาก ข้างนอกยังมีพวกชายฉกรรจ์ในป้อมที่ตามมาด้วยจำนวนหนึ่ง คิดว่าคงไม่จำเป็นต้องลำบากบ่าวไพร่ของฮูหยินน้อยหรอกเจ้าค่ะ”

เว่ยฉางอิ๋งเองก็ไม่ได้ดึงดัน กล่าวว่า “ในเมื่อเป็นดังนี้ อีกประเดี๋ยวข้าจะให้คนไปส่งเจ้าที่หน้าประตู

…รอจนแม่ลูกคู่นี้จากไปแล้วจริงๆ ตวนมู่ซินเหมี่ยวก็ขมวดคิ้วพลางเอ่ยถาม เว่ยฉางอิ๋งว่า “พี่สะใภ้?” นางกลับมิได้คิดจะปล่อยให้มู่ชุนเหมียนจากไปทั้งเช่นนี้ …แม้ว่าของต่างหน้าหลายชิ้นนี้จะมีความหมายไม่ธรรมดาสำหรับจี้ชวี่ปิ้ง ทว่าข่าวเรื่องการล้มตายของคนเหล่านั้น จี้ชวี่ปิ้งก็เคยได้ยินมาตั้งนานแล้ว ความเป็นตายของจี้กู่ต่างหากจึงคือสิ่งที่นางสนใจมากที่สุด

ทว่าตอนที่นางคิดจะซักไซ้ต่อไปเมื่อครู่นี้นั้น เว่ยฉางอิ๋งกลับแอบเหยียบเท้านางเอาไว้เป็นสัญญาณมิให้นางเอ่ยคำ ยามนี้มู่ชุนเหมียนแม่ลูกล้วนกลับไปแล้ว ตวนมู่ซินเหมี่ยวย่อมต้องถามให้กระจ่าง

“น้องโปรดวางใจเถิด ข้าว่ามีความเป็นไปได้แปดเก้าในสิบส่วนที่จี้กู่ผู้นั้นยังมีชีวิตอยู่!” เว่ยฉางอิ๋งละเลียดจิบน้ำชาไปอึกหนึ่งพลางเอ่ยอย่างผ่อนคลาย

แม้ตวนมู่ซินเหมี่ยวจะเดาได้ว่าที่เว่ยฉางอิ๋งเหยียบเท้าตนและห้ามไม่ได้ให้ตนพูดต้องมีสาเหตุ แต่ก็คิดไม่ถึงว่าเว่ยฉางอิ๋งจะตอบมาตรงๆ เช่นนี้ นางจึงนิ่งอึ้งไปพักหนึ่ง แล้วเกือบจะกระโดดโหย่งขึ้นมา “จริงรึ?!”

“แปดเก้าในสิบส่วนอย่างไรเล่า!” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยยิ้มๆ “จะให้รับประกันทั้งหมดข้าก็ไม่กล้าหรอก แต่มีความเป็นไปได้อย่างมาก!”

ตวนมู่ซินเหมี่ยวรีบตอบว่า “พี่สะใภ้ ท่านรู้ได้อย่างไร?!”

“เจ้าไม่รู้สึกว่าด้วยฐานะของมู่ชุนเหมียนผู้นั้น อาศัยแค่ของต่างหน้าชิ้นหนึ่งมาขอสามพันตำลึงทองกับพวกเรา มิใช่ว่ากล้าเกินไปหรอกหรือ?” เว่ยฉางอิ๋งหัวเราะเย็นๆ คำหนึ่ง กล่าวว่า “บอกว่าเพราะยามนี้ป้อมตระกูลเฉาขาดแคลนเงินทอง บอกว่าเป็นเพราะรู้ว่าเจ้ามีฐานะเป็นศิษย์ของท่านหมอเทวดาจี้เช่นนี้เช่นนั้น ….ข้ามั่นใจได้เลยว่า นางจะต้องมีความเกี่ยวพันกับจี้กู่อย่างมาก! เมื่อสังเกตเห็นว่าแม้พวกเราจะไม่พอใจ พอนางยกจี้กู่มาอ้างหน้า พวกเราก็ไม่ทำให้พวกนางลำบากจริงๆ แล้ว!”

ตวนมู่ซินเหมี่ยวเอ่ยอย่างตกใจว่า “แล้วเหตุใดพวกนางไม่เอ่ยออกมาตรงๆ ? หรือกลัวว่าหากเอ่ยตรงๆ แล้ว นางก็จะไม่กล้าขอสามพันตำลึงทองจากเรา?”

“ข้าคิดว่าไม่แน่ว่าเป็นเพราะไม่กล้า” เว่ยฉางอิ๋งชี้ประเด็นให้นางเห็นว่า “หากพวกนางพิสูจน์ได้ว่าพวกนางมีความเกี่ยวข้องกับจี้กู่ แล้วมาขอสามพันตำลึงทองจากเจ้า เจ้าจะให้หรือไม่ให้?”

“หากพวกนางเกี่ยวข้องกับท่านอาจารย์ปู่เล็กของข้าอย่างลึกซึ้งจริงดังว่า ข้าย่อมต้องช่วยเหลืออย่างสุดกำลัง!” ตวนมู่ซินเหมี่ยวเอ่ยอย่างจริงจัง “ท่านอาจารย์ของข้าคอยคำนึงถึงท่านอาจารย์ปู่เล็กอย่างยิ่ง! เวลานี้ท่านอาจารย์ยังอยู่ที่เฟิ่งโจวไม่ว่างมาที่นี่ ข้าย่อมต้องช่วยเขาดูแลคนให้ดี!”

เว่ยฉางอิ๋งบอกว่า “ปัญหาก็คือข้าเชื่อความคิดเช่นนี้ของเขา แต่ไม่แน่ว่าจี้กู่จะเชื่อ!”

ตวนมู่ซินเหมี่ยวตะลึงงัน เว่ยฉางอิ๋งกล่าวว่า “เจ้าลองคิดดูว่าเมื่อสิบกว่าปีก่อน ท่านย่าของข้าไหว้วานให้คนตระกูลเสิ่นไปหาเขาที่ป้อมตระกูลเฉา แล้วจะไม่ได้บอกว่าหรือว่าเขามาเพราะท่านหมอเทวดาจี้และตระกูลเว่ยของข้าพยายามหาวิธีให้จี้กู่พ้นผิด? เพียงแต่สถานที่มีชัยภูมิล้ำเลิศเช่นป้อมตระกูลเฉานั้นปกป้องง่ายโจมตียาก หากว่ากันเรื่องข่าวสารก็สามารถปิดได้มิดชิดยิ่งนักมิใช่หรือ? ครานั้นมีความเป็นไปได้สิบในสิบว่าจี้กู่จะต้องเคลือบแคลงว่าตระกูลเสิ่นพูดเรื่องเลอะเลือน เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าต้องได้รับคำสั่งจากสนมเอกเติ้งให้มากำจัดเขาให้สิ้นซาก! จึงใช้โอกาสที่ป้อมตระกูลเฉาต้องการหมอฝีมือสูงส่ง กล่อมให้ทุกคนในป้อมช่วยเขาจัดหาศพและทำหลุมฝังศพปลอมขึ้นมา!”

นางถอนใจคำหนึ่ง “เมื่อหลายสิบปีก่อนเขาก็ไม่เชื่อว่ามีคนตระกูลเสิ่นมาตามหาเขาจริงๆ และคาดว่าตลอดสิบกว่าปีมานี้ เขาเองก็จะต้องระมัดระวังเสียอย่างยิ่ง ต้องหลบเข้าไปอยู่ลึกๆ และแทบไม่ออกไปไหนมาไหน เพื่อมิให้ผู้ใดรู้ฐานะของเขา! ในสถานการณ์เช่นนี้ ข่าวคราวที่เขาจะได้ยินก็ย่อมมีไม่ค่อยมากด้วยมิใช่หรือ? ฉะนั้นเมื่อพบว่ามีคนมาสอบถามหาเขาอีก แม้ว่าคนผู้นั้นจะเป็นเจ้า…ซึ่งศิษย์เพียงคนเดียวของท่านหมอเทวดาจี้ แต่ก็ไม่แน่ว่าจี้กู่จะเชื่อ …เพราะอย่างไรเหล่าตระกูลใหญ่โตทั้งหลายล้วนมีการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กัน เหล่าตระกูลเลื่องชื่อในใต้หล้านี้ เมื่อนับความเกี่ยวพันอ้อมไปอ้อมมาแล้ว จะมีบ้านใดบ้างที่มิได้เกี่ยวดองเป็นญาติกันสักเล็กน้อย? จี้กู่เคยเป็นถึงบุตรชายของหัวหน้าสำนักแพทย์หลวง ย่อมต้องรู้ว่าเหล่าคนตระกูลใหญ่มักมีการแต่งงานกันเองบ่อยครั้งนัก จึงไม่แน่ว่าเขาจะยอมวางใจเจ้า!”

ตวนมู่ซินเหมี่ยวพอจะเข้าใจขึ้นมาแล้ว “ความหมายของ พี่สะใภ้ก็คือราคาสามพันตำลึงทองนี้ ก็เพื่อต้องการจะดูความจริงใจของข้า?”

“มิผิด” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยไปเรียบๆ “ข้าว่ามู่ชุนเหมียนผู้นั้นจะต้องถูกจี้กู่กำชับกำชาก่อนจะมาที่นี่ว่า หลังจากนางขอทองคนสามพันตำลึงได้แล้ว ไม่ว่าพวกเราจะมีท่าทีเช่นใด จี้กู่ก็จะต้องเก็บเอาไปวิเคราะห์อีกคราก่อน หาไม่แล้วสตรีชาวป่าผู้หนึ่งต่อให้มีชั้นเชิงเพียงใด ที่เช่นป้อมตระกูลเฉานั้น แม้ไม่ต้องจ่ายภาษี แต่ในหลายสิบปีมานี้นางจะหาเงินทองเก็บสะสมไว้ในบ้านได้สักกี่มากน้อยกัน? ทว่าจู่ๆ นางได้ทองคำตั้งสามพันตำลึงไป แต่กลับไม่มีสีหน้าท่าทางเช่นใด หากก่อนหน้านี้มิได้วางแผนมาอย่างรอบคอบและฝึกฝนมาหลายครั้งแล้วจะทำเช่นนี้ได้ที่ใดกัน?”

นางมองตวนมู่ซินเหมี่ยวคราวหนึ่ง กล่าวว่า “รอจนนางนำสามพันตำลึงทองไปซื้อข้าวของจนเพียงพอและกลับไปที่ป้อมตระกูลเฉาแล้ว และพบว่าพวกเรายอมใช้ทองสามพันตำลึงเพื่อซื้อของต่างหน้าผุๆ พังๆ เพียงเล็กน้อยด้วยความจริงใจ ข้าคิดว่าจี้กู่ผู้นั้นจึงจะสามารถเชื่อใจได้ว่าเจ้าไม่มีประสงค์ร้ายต่อเขาจริงๆ …นั่นเพราะเขาคิดว่าในสายตาของสนมเอกเติ้งแล้วตนเองไม่น่าจะมีค่าถึงสามพันตำลึงทอง ราคานี้ มิใช่ราคาของของต่างหน้า แต่เป็นราคาที่เขาประเมินให้แก่เป็นความปลอดภัยของตนเองต่างหาก!”

แล้วเอ่ยอย่างมีความคิดบางอย่างว่า “ป้อมตระกูลเฉา …เฉายา มู่ชุนเหมียนเอาชายฉกรรจ์ทิ้งไว้ข้างนอก แต่กลับพาเด็กหญิงผู้นี้เข้ามาคนเดียวโดยเฉพาะ คาดว่ามิใช่เพราะไม่มีสาเหตุ หรือว่าที่แท้แล้วคนที่มีความเกี่ยวพันกับจี้กู่จริงๆ ก็คือเด็กหญิงที่ชื่อว่าเฉายาผู้นั้น? เอ๋ เมื่อครู่นี้ควรจะให้เสิ่นหลุนอยู่ต่อ จะได้สอบถามอีกสักหน่อยว่าเฉายาเป็นบุตรสาวแท้ๆ ของมู่ชุนเหมียนจริงหรือไม่?”

______________