หลังจากตวนมู่ซินเหมี่ยวออกไปแล้ว เว่ยฉางอิ๋งกำลังจะกลับมาที่เรือนพักของตน เพิ่งจะออกพ้นประตู สืออวี่สาวใช้รุ่นเล็กที่เฝ้าอยู่ข้างนอกก็เข้ามารายงานว่า “ใต้เท้าเสิ่น ท่านหัวหน้ากองกำลังมาขอพบอยู่ข้างนอกเจ้าค่ะ ให้พวกข้าน้อยรออยู่จนเหลือเพียงฮูหยินน้อยแล้วจึงค่อยมาบอกเจ้าค่ะ”
สืออวี่เป็นสาวใช้ที่เพิ่งเพิ่มเข้ามาพร้อมกับจูอีและจูลั่ว สาวใช้รุ่นเล็กอีกสามคนที่เข้ามาพร้อมกับนางชื่อว่าซี่อวี่ เยียนอวี่ และเฟยอวี่ …ตามระเบียบแล้วก็ต้องตั้งชื่อให้คนที่เลือกเข้ามาใหม่ทั้งหมด เว่ยฉางอิ๋งตั้งชื่อให้สาวใช้รุ่นใหญ่ว่าจูอี จูลั่ว ส่วนสาวใช้รุ่นเล็กก็ให้นางเฮ่อเป็นคนตั้ง นางเฮ่อมองไปที่สายฝนข้างนอกกันสาด เมื่อคิดดูสักพักจึงตั้งชื่อทั้งสี่ชื่อนี้ขึ้นมา
อายุของอวี่ทั้งสี่คนล้วนแค่สิบสองสิบสามปี ซึ่งเป็นวัยที่กำลังสดใสร่าเริงและซุกซน ทว่าเป็นเพราะไม่เหมือนกับพวกของจูหลานที่ปรนนิบัติเว่ยฉางอิ๋งมาแต่เล็กจนโตจึงทำให้นายบ่าวมีความผูกพันลึกซึ้งต่อกัน พวกนางจึงถือดีว่าหากไม่ได้ทำความผิดใหญ่หลวง ความผิดเล็กๆ น้อยๆ บางเรื่องพวกตนก็พอจะได้รับการให้อภัยบ้าง ทำให้สาวใช้ที่มาใหม่เหล่านี้ล้วนระมัดระวังเป็นอย่างยิ่งยามอยู่ต่อหน้าเว่ยฉางอิ๋ง
เวลานี้ ทางหนึ่งสืออวี่ก็รายงานไป อีกทางหนึ่งก็เห็นชัดว่านางมีท่าทีกระวนกระวายนัก ด้วยกลัวว่าเว่ยฉางอิ๋งจะตำหนิตนว่ายังไม่ทันมาขอก็รับคำเสิ่นหลุนแล้ว
“ข้ากำลังคิดว่าจะส่งคนไปเชิญเขามาดีหรือไม่อยู่เชียว ไม่คิดว่าเขายังพอจะมีหัวคิดอยู่บ้าง!” เว่ยฉางอิ๋งได้ยินคำกลับไม่ได้ไร่เรียงเอาความกับสืออวี่ เพียงแค่แค่นเสียงไปคำหนึ่ง สะบัดแขนเสื้อหันหลังกลับมา แล้วสั่งความว่า “ให้เขาเข้ามาเถิด!”
สักพักจากนั้น เสิ่นหลุนก็ก้าวเข้าประตูมา แล้วได้ยินเว่ยฉางอิ๋งที่นั่งอยู่บ้างบนเอ่ยไปอย่างไร้อารมณ์ใดว่า “เจ้ามีเรื่องใด?”
เสิ่นหลุนผู้นี้แม้จะมีอายุมากกว่าเว่ยฉางอิ๋ง แต่เขาอยู่ในรุ่นเดียวกับเสิ่นหยิวอี่ ซึ่งก็หมายความว่าเขาต้องเรียกเว่ยฉางอิ๋งว่าอาสะใภ้เช่นเดียวกับพวกของเสิ่นหยิวอี่พี่น้อง เวลานี้จึงคารวะอาสะใภ้ด้วยความนอบน้อม แล้วเอ่ยอย่างระมัดระวังว่า “สำหรับเรื่องของป้อมตระกูลเฉา หลานมีคำพูดเล็กน้อยอยากขอรบกวนเวลาบอกกล่าวกับท่านอาสะใภ้ขอรับ”
เมื่อครู่นี้ตอนอยู่ต่อหน้ามู่ชุนเหมียน เสิ่นหลุนเรียกเว่ยฉางอิ๋งว่า ‘ฮูหยินน้อย’ นั่นเพราะนับกันตามตำแหน่งทางราชการ ยามนี้เรียกว่าอาสะใภ้และเรียกตนเองว่าหลานก็เพราะนับกันตามความสัมพันธ์ทางสายเลือดโดยทางส่วนตัวแล้วนั่นเอง
เว่ยฉางอิ๋งไม่พอใจนักหนาที่ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้เอ่ยเตือนหรือแนะนำใดๆ กับตนก็พามู่ชุนเหมียนมาตรงหน้าตนแล้ว เวลานี้จึงเอ่ยไปเรียบๆ ว่า “เรื่องป้อมตระกูลเฉา เหตุใดก่อนหน้านี้เจ้ายังพูดไม่จบอีกเล่า?”
เสิ่นหลุนไม่ได้เล่ารายละเอียดของป้อมตระกูลเฉาแก่เว่ยฉางอิ๋มาก่อน เวลานี้ย่อมเข้าใจว่าคำพูดนี้เป็นคำพูดประชด เขากลืนไม่เข้าคายไม่ออกอีกพักหนึ่ง จึงยิ้มสู้บอกว่า “ท่านอาสะใภ้โปรดอภัย หาได้เป็นเพราะหลานจงใจเพิกเฉยต่อท่านอาสะใภ้ หากแต่เป็นเพราะ …ก่อนนี้หลานเคยไหว้วานให้คนให้มาบอกกล่าวกับท่านอาสะใภ้แล้ว จนใจเหลือ…เมื่อครู่นี้ได้ยินท่านอาสะใภ้สอบถามนางมู่ว่าเหตุใดหัวหน้าป้อมตระกูลเฉาจึงเป็นสตรีผู้หนึ่ง หลานจึงเพิ่งทราบว่าพี่ชายยี่สิบห้า…คงจะลืมเสียแล้วขอรับ”
เว่ยฉางอิ๋งขมวดคิ้วเข้ามาน้อยๆ คนที่อยู่ในลำดับที่ยี่สิบห้าในรุ่นของเสิ่นหลุน ก็คือ เสิ่นหยิวอี่!
นางอดมองไปที่เสิ่นหลุนที่อยู่ข้างล่างหนหนึ่งไม่ได้ เห็นหลานชายผู้นี้ยืนประสานแขนเสื้ออยู่อย่างเรียบร้อยด้วยใบหน้าจนใจเหลือ
ที่แท้ ที่เขาย้อนกลับมาไม่เพียงแค่คิดจะมาช่วย แต่คิดจะมาฟ้องต่างหาก?
เว่ยฉางอิ๋งนิ่งเงียบไปสักพัก แต่กลับไม่ได้บอกว่าจะเรียกเสิ่นหยิวอี่มาสอบถามยันความกัน เพียงแค่เอ่ยว่า “ก่อนนี้เจ้ามีคำฝากหยิวอี่มาบอกข้ารึ? เป็นคำใด?”
“หลานคิดว่าฐานะของหัวหน้าป้อมตระกูลเฉาค่อนข้างพิเศษ จึงควรจะบอกกล่าวกับท่านอาสะใภ้ก่อนสักคำขอรับ” เสิ่นหลุนรีบเอ่ย “และยังมีเรื่องที่หลายปีมานี้ป้อมตระกูลเฉาคล้ายว่าจะไปเกี่ยวข้องกับกองโจรที่อยู่ทางอำเภอเถาฮวาด้วยขอรับ”
เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยถามพลางขมวดคิ้ว “อำเภอเถาฮวา? อยู่ภายใต้การควบคุมของเมืองใด? เหตุใดจึงยังไม่ปราบปรามจนบัดนี้?”
“เรียนท่านอาสะใภ้ อำเภอเถาฮวามิใช่อำเภอของซีเหลียงเราขอรับ” เสิ่นหลุนเอ่ย “คาดว่าท่านอาสะใภ้คงทราบว่าเขาเหมิงซานซึ่งเป็นที่ตั้งของป้อมตระกูลเฉานี้มิได้อยู่ในเขตของซีเหลียงเราทั้งหมด ยอดเขาที่สูงที่สุดของเขาเหมิงซานทั้งสามยอดล้วนอยู่ในเมืองหลินโจว อำเภอเถาฮวานี้เป็นอำเภอที่อยู่ติดกับซีเหลียงของเรา โดยเขาเหมิงซานวางตัวพาดผ่านในแนวนอน ทั้งตัวเมืองของอำเภอล้วนสร้างขึ้นตามแนวเขาขอรับ! กองโจรซ่อนตัวอยู่ภายในเขาเหมิงซาน ทางการเมืองกว้านโจวที่ดูแลอำเภอเถาฮวาไปปราบปรามหลายหนก็ยังไม่สำเร็จ ทว่าก็ไม่เคยมาขอความช่วยเหลือจากพวกเรา พวกเราจึงไม่เหมาะจะส่งกำลังทหารไปขอรับ”
เว่ยฉางอิ๋งร้องเอ๊ะออกมา “ที่แท้ไม่ได้อยู่ในซีเหลียง …ข้าคิดว่า…เพียงแต่เหตุใดป้อมตระกูลเฉาจึงไปเกี่ยวข้องกับกองโจรเล่า?”
เสิ่นหลุนกดเสียงลงต่ำ “กองโจรนี้ความจริงแล้วมิได้เข้าปล้นสะดมผู้คนเสียทั้งหมด หากแต่พวกมันค้าของเถื่อนเป็นหลักขอรับ!”
“ค้าของเถื่อน?” เว่ยฉางอิ๋งพลันเลิกคิ้ว “หรือว่าจะเป็นค้าเกลือเถื่อน?”
“ท่านอาสะใภ้กล่าวถูกต้องแล้วขอรับ” เสิ่นหลุนอธิบายถึงสาเหตุที่ทั้งสองฝ่ายเข้ามาเกี่ยวข้องกันอย่างละเอียด… ซึ่งความจริงแล้วก็พูดง่ายๆ เพียงไม่กี่ประโยคว่า นับตั้งแต่หลายสิบปีก่อน ตระกูลเสิ่นก็ควบคุมป้อมตระกูลเฉาเอาไว้ได้แล้ว เพราะแม้ว่าในเรื่องอื่นๆ พวกเขาจะสามารถดำรงชีวิตอยู่ด้วยตนเองได้ แต่ในเรื่องของเกลือกลับยังต้องอาศัยการออกมาซื้อหาจากข้างนอก ด้วยประเด็นเรื่องเกลือนี้จึงสามารถจำกัดความเจริญรุ่งเรื่องของป้อมตระกูลเฉาเอาไว้ได้
เมื่อใช้วิธีนี้มาบีบป้อมตระกูลเฉาเอาไว้ แม้โดยนามแล้วจะไม่จำเป็นต้องจ่ายภาษีจำนวนมาก ทว่าเพื่อให้ซื้อเกลือได้ตามกำหนดเวลา จึงกลับไม่อาจยอมจำนนอยู่ในฝ่ามือของตระกูลเสิ่น …แม้ว่าเสิ่นหลุนจะเลือกคำให้อ้อมค้อมแล้ว แต่เว่ยฉางอิ๋งก็ยังฟังออกว่าทุกครั้งที่ป้อมตระกูลเฉาส่งคนออกมาซื้อเกลือ ล้วนจำเป็นต้องเอาทั้งเงินทอง แพรพรรณ ข้าวเปลือกและของอื่นๆ มาด้วย เพื่อเป็นการติดสินบน ตระกูลเสิ่น เพื่อมิให้ซื้อหาของที่จำเป็นไม่ได้
การติดสินบนเช่นนี้ความจริงแล้วก็แทบไม่ต่างกับการให้พวกเขาจ่ายภาษีแล้ว …เพียงแต่คนของป้อมตระกูลเฉาล้วนไม่ได้อยู่ในสำมะโนครัวของทางการตั้งนานแล้ว หากคิดจะกลับอยู่ที่ภูมิลำเนาเดิมก็ล้วนเป็นไปไม่ได้!
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ป้อมตระกูลเฉาย่อมต้องหาทางออกอื่น ซึ่งพอดีกับที่ในอำเภอเถาฮวามีกองโจรที่ค้าของเถื่อนไปด้วยอยู่ …ก็มิใช่ว่าประจวบเหมาะมาร่วมมือกันแล้วหรอกหรือ?
“ดูไปแล้วนางมู่ผู้นั้นก็ไม่ได้อายุมากกว่าข้าสักเท่าใด ทั้งที่เป็นเพียงสตรีผู้หนึ่งแต่กลับมีความเด็ดเดี่ยวนัก …ที่แท้เพราะคิดไปถึงเรื่องเป็นผู้ค้าเกลือเถื่อนโน่น” เว่ยฉางอิ๋งกุมกำไลบนข้อมือ เอ่ยอย่างไม่ใคร่ใยดีนักว่า “ในเมื่อเจ้ารู้เรื่องนี้แล้ว คนใน ตระกูลก็จะต้องรู้แล้วกระมัง? แล้วเหตุใดจึงปล่อยให้พวกเขาสมคบกันเรื่อยมาเล่า?”
เสิ่นหลุนรีบอธิบายไปว่า “ท่านอาสะใภ้ไม่ทราบ เดิมทีทางตระกูลก็ตัดสินใจจะจัดการป้อมตระกูลเฉาในทันใด เพียงแต่พวกผู้ค้าเกลือเถื่อนที่อำเภอเถาฮวานั้นมีความเป็นมาพอสมควรขอรับ หลังจากพี่ชายยี่สิบสี่ทราบเรื่องแล้วก็กำชับเป็นพิเศษว่าอย่าไปแตะต้องป้อมตระกูลเฉาเป็นการชั่วคราว เพราะบางคราวอาจสามารถใช้ประโยชน์จากป้อมตระกูลเฉาเพื่อให้ได้คนเหล่านี้มาขอรับ!”
ยี่สิบสี่เป็นลำดับของเสิ่นหยิวเจี่ย …หลานชายที่เป็นผู้บัญชาการแห่งซีเหลียงผู้นี้ แม้จะเป็นเพราะครั้งนั้นแฝงตัวอยู่ในกองทัพเป็นเวลานาน จึงได้มุทะลุบ้าบิ่น ค่อนข้างไม่รู้จักกาลเทศะ แต่เว่ยฉางอิ๋งเคยได้ยินเสิ่นจั้งเฟิงเคยบอกว่า เสิ่นหยิวเจี่ยหาใช่คนธรรมดาๆ ทั่วไป คนที่เขาเล็งเห็นคาดว่าจะต้องไม่ธรรมดาแน่ จึงเอ่ยไปอย่างเกิดคาดว่า “มีเรื่องเช่นนี้ด้วยรึ?” แล้วถามต่อทันใดว่า “พวกเขามีความเป็นมาอันใด?”
“เท่าที่หลานทราบมา ในนั้นมีคนผู้หนึ่งนามว่าไล่ต้าหย่ง เดิมทีเป็นทหารประจำบ้านเศรษฐีของกว้านโจวผู้หนึ่งที่เลือกหาเขามาเพื่อป้องกันกองโจร” เสิ่นหลุนนิ่งไปสักพักแล้วว่า “คนผู้นี้มีนิสัยใจคอดังชื่อของเขา เป็นผู้ที่มีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวนัก เคยโจมตีกองโจรให้แก่บ้านเศรษฐีหลังนั้นจนถอนร่นไปหลายครา มีความชอบไม่น้อยเลย! ปรากฏว่าภายหลังบุตรชายบ้านเศรษฐีลอบคบชู้กับภรรยาน้อยของบิดา แล้วบังเอิญถูกไล่ต้าหย่งพบเห็นเข้า เพื่อปิดปากเขา บุตรชายบ้านเศรษฐีจึงบงการให้ภรรยาน้อยผู้นั้นยัดเยียดความผิดให้ไล่ต้าหย่ง โดยใส่ร้ายไล่ต้าหย่งว่าเขาบังคับข่มเหงภรรยาน้อยของเจ้านาย…
“แต่ไล่ต้าหย่งผู้นี้กลับมีฝีมือดีนัก สามารถฝ่าวงล้อมของคนที่บ้านเศรษฐีส่งมาตามสังหารและมือปราบของทางการกว้านโจวออกมาได้ แล้วหนีไปหลบซ่อนในเขาเหมิงซาน ทางการกว้านโจวยังติดประกาศจับอยู่ระยะหนึ่ง ภายหลังด้วยความจริงถูกเปิดเผย บ้านเศรษฐีนั้นรู้สึกว่าตนเองเสียหน้าจึงของให้ทางการเก็บหมายจับไปเสีย ภายหลังจึงไม่มีคนสนใจไล่ต้าหย่งแล้ว เขากลับมาเป็นที่สนใจอีกครั้งก็คือตอนที่พบว่าไม่รู้เขาทำอีท่าไหนจึงไปรวบรวมคนกลุ่มหนึ่งมาได้ ไม่เพียงแค่เกือบจะผูกขาดการค้าเกลือของทั้งตัวเมืองกว้านโจวเอาไว้! ยิ่งไปกว่านั้นยังรวบรวมกลุ่มโจรเล็กๆ หลายกลุ่มในเขาเหมิงซานเข้าไว้ด้วยกัน ยึดครองเป็นเขตอิทธิพลของตน ตั้งตัวเป็นหัวหน้าใหญ่ และตั้งชื่อว่ากองโจรเขาเหมิงซานขอรับ”
เสิ่นหลุนเสียงต่ำลง “คนผู้นี้มีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว ครั้งเขารวบรวมกลุ่มโจรอื่นๆ เข้าด้วยกัน ก็มักจะเหลือคนกลุ่มหนึ่งเอาไว้ไม่สังหาร และเลี้ยงเอาไว้ในกองโจร! รอจนทางการมาปราบปราม ทุกครั้งก็จะตีขาคนเหล่านั้นให้หักและทิ้งเอาไว้ตามทางที่ทหารจะผ่านมา ในเมื่อทหารได้ความชอบดังนี้แล้ว จิตใจที่จะต่อสู้เอาเป็นตายกับพวกเขาก็บางเบาลงแล้วขอรับ”
เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยอย่างเข้าใจแจ่มแจ้งว่า “ผู้ตรวจการกว้านโจวก็คงรับสินน้ำใจด้วยความเคารพจากเขามาไม่น้อยกระมัง?”
เสิ่นหลุนยิ้มไม่เอ่ยคำ แต่สีหน้ากลับยอมรับโดยปริยาย
เว่ยฉางอิ๋งใคร่ครวญสักพัก กล่าวว่า “ในเมื่อทางหยิวเจี่ยมีแผนการอยู่แล้ว ข้าก็ไม่คิดจะทำให้เขาเสียการ ทางมู่ชุนเหมียนนั้น…เดิมทีทองจำนวนนี้ก็จะมอบให้นางในวันนี้ ฉะนั้นยามนี้ก็เอาเช่นนี้ไปก่อน ดีชั่วกองโจรเขาเหมิงซานก็มิได้อยู่ในซีเหลียง แต่มู่ชุนเหมียนกลับบินหนีไปที่ใดไม่ได้ ส่งคนไปจับตาดูป้อมตระกูลเฉาเอาไว้ให้ดี อย่าให้พวกเขาแอบหนีไปสวามิภักดิ์กับกองโจรเขาเหมิงซานที่อำเภอข้างเคียงได้ หาไม่ก็จะกลายเป็นเรื่องน่าขันแล้ว!”
เสิ่นหลุนรีบตอบว่า “ท่านอาสะใภ้โปรดวางใจ ป้อมตระกูลเฉามีทางออกเพียงทางเดียว แต่กลับมีคนสามพันคนอาศัยอยู่ภายใน ไม่มีทางให้พวกเขาหนีไปที่ใดได้หรอกขอรับ!” จากนั้นก็ยิ้มจางๆ กล่าวว่า “ยิ่งไปกว่านั้น ไล่ต้าหย่งหัวหน้ากองโจรเขาเหมิงซานก็มิใช่คนมีเมตตาอันใด เขาไม่มีทางมีน้ำใจรับชาวบ้านป้อมตระกูลเฉาสามพันคนไปที่เขาเหมิงซานหรอกขอรับ! หากป้อมตระกูลเฉาจะไปเข้ากับกองโจรเขาเหมิงซาน ยังมิสู้มาสวามิภักดิ์กับตระกูลเสิ่นเราเสียดีกว่า!”
เว่ยฉางอิ๋งพยักหน้าน้อยๆ กล่าวว่า “เช่นนั้นเหตุใดป้อมตระกูลเฉาจึงยอมให้สตรีผู้หนึ่งดำรงตำแหน่งหัวหน้าป้อม ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นสตรีที่ไร้บุตรชายอีกด้วยเล่า? หรือนางเลี้ยงดูบุตรชายของอนุแต่ครานี้ไม่ได้พามาด้วย?”
“เรียนท่านอาสะใภ้” เสิ่นหลุนส่ายหน้า กล่าวว่า “หัวหน้าป้อมตระกูลเฉาคนก่อนเสียไปเร็ว และมีเฉายาเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวจริงๆ ขอรับ!”
แล้วบอกว่า “เฉายาผู้นั้นก็คือหัวหน้าน้อยแห่งป้อมตระกูลเฉา นี่เป็นเรื่องที่ทั้ง ป้อมตระกูลเฉาล้วนยอมรับแล้วขอรับ”
เว่ยฉางอิ๋งประหลาดใจนัก กล่าวว่า “เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร? มู่ชุนเหมียนผู้นั้นร้ายกาจเพียงนี้เชียวรึ?”
เสิ่นหลุนกระแอมหนหนึ่ง กล่าวว่า “เบาะแสเล็กน้อยที่ตระกูลสืบถามมาได้ในยามนี้ก็คือนางมู่ผู้นั้นคล้ายจะมีความเกี่ยวข้องกับไล่ต้าหย่งขอรับ กระทั้งเรื่องการตายของเฉาเป่าหัวหน้าป้อมคนก่อนก็ยังเกี่ยวข้องกับทั้งสองคนนี้ด้วยขอรับ”
เว่ยฉางอิ๋งขมวดคิ้วน้อยๆ กล่าวว่า “ครั้งเฉาเป่ายังมีชีวิตอยู่ก็ร่วมมือกับ กองโจรเขาเหมิงซาน ก็ควรจะเป็นเขาจึงจะถูก หรือไล่ต้าหย่งถึงกลับกล้าเข้าไปใน ป้อมตระกูลเฉา? หากมิได้เป็นดังนี้ แล้วเขาจะได้พบกับนางมู่ได้อย่างไร?”
“ตามที่ได้ฟังมาเป็นดังนี้ขอรับ” เสิ่นหลุนเอ่ย “แม้เฉาเป่าจะได้รับสืบทอดป้อมตระกูลเฉามาจากบรรพบุรุษ ทว่าเขาเป็นคนไม่เอาถ่าน เรื่องไปซื้อเกลือจากกองโจรเขาเหมิงซานก็ยังเป็นนางมู่ตัดสินใจ ครั้งนั้นไล่ต้าหย่งขอให้เฉาเป่าไปเจรจาการค้าด้วยตนเอง แต่ต่อให้ตายเฉาเป่าก็ไม่ยอมไป กระทั่งมาตำหนินางมู่ว่านางเป็นคนสร้างความเดือดร้อนให้เขา …ด้วยโทสะ ภายหลังนางมู่จึงไปด้วยตนเอง!”
“แล้วไปครานี้ก็….?”
เสิ่นหลุนส่ายหน้า “ครั้งนั้นกลับมิได้ไปขอรับ เพราะตอนนั้นนางมู่กำลังตั้งครรภ์ ฉะนั้นเมื่อนางเดินมาถึงกลางเขาก็ถูกญาติผู้ใหญ่ของเฉาเป่าตามกลับไปแล้ว สุดท้ายก็เป็นผู้อาวุโสคนหนึ่งในป้อมตระกูลเฉาไปแทนขอรับ ปรากฏว่าเจรจาราคากับกองโจรเขาเหมิงซานได้จริงๆ ครั้นแล้วบารมีของนางมู่ก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก แต่เฉาเป่ากลับทำให้คนในป้อมล้วนผิดหวังเสียยิ่งนัก”
“จากนั้นเล่า?”
“จากนั้น ป้อมตระกูลเฉาก็ซื้อเกลือจากกองโจรเขาเหมิงซานหลายครั้ง ระหว่างนั้นราคาก็มีการเปลี่ยนแปลง มีคราหนึ่งผู้อาวุโสที่ไปเจรจาในคราแรกไม่อาจตัดสินใจได้จึงกลับมาขอให้เฉาเป่าไปเจรจาเอง หารู้ไม่ว่าเฉาเป่าก็ยังคงหวาดกลัวไม่ยอมไป ปรากฏว่ายามนั้นนางมู่คลอดบุตรเพิ่งจะครบเดือน เมื่อรู้เรื่องเข้าก็ไม่สนใจคำทัดทานจากทุกคนและเดินทางไปด้วยตนเองขอรับ” เสิ่นหลุนเอ่ย “ไปครานี้ก็คล้ายว่าจะเจรจากับไล่ต้าหย่งได้อย่างถูกคอนัก จากนั้นหลังจากนางกลับมาที่ป้อมตระกูลเฉาได้ไม่นาน เฉาเป่าก็ล้มป่วยจนตาย เดิมทีหลังจากเฉาเป่าตายแล้วและเขาก็มีบุตรสาวเพียงคนเดียว ตามกฎแล้วก็ควรจะให้เฉาเหยี่ยนน้องชายของเฉาเป่ารับตำแหน่งหัวหน้าป้อมต่อจากเขา แต่ไม่รู้ว่านางมู่ใช้กลอุบายใดจึงสามารถหว่านล้อมเหล่าผู้อาวุโสส่วนใหญ่ภายในป้อมได้ แล้วตำหนิว่าเฉาเหยี่ยนไร้ความชอบใดๆ ในป้อมตระกูลเฉา ไม่เหมาะจะมาเป็นหัวหน้าป้อม ขืนไล่เขาลงจากตำแหน่ง แล้วตนเองก็รับตำแหน่งหัวหน้าป้อม ทั้งยังใช้ทั้งไม้อ่อนไม้แข็งทำให้เฉายาบุตรสาวของนางเป็นหัวหน้าป้อมน้อยอีกด้วยขอรับ”
_____________