เดือนสามในซีเหลียง แม้จะไม่ได้มีดอกไม้ใบไม้ผลิบานสลอนมาเนิ่นนานแล้วเช่นในเจียงหนาน แต่ก็มีลมอุ่นโชยมาแผ่วๆ แล้ว
ทว่าเวลานี้ เสิ่นหยิวอี่กลับมีเหงื่อท่วมตัว
เขาเอามือซุกไว้ข้างในแขนเสื้อ เดินวนเวียนไปมาอยู่ที่นอกประตูวงพระจันทร์ คอยถามบ่าวชราที่ข้างประตูหนแล้วหนเล่าว่า “เรียบร้อยแล้วหรือไม่? เสิ่นหลุนยังไม่ไปอีกหรือ?”
บ่าวชรานางนั้นถูกเขาสอบถามมาหลายครั้งหลายหน ทั้งยังถูกเร่งให้วิ่งเข้าไปชะเง้อคอดูอีกหลายครั้งจึงค่อนข้างรู้สึกรำคาญ แต่ติดที่ฐานะบ่าวของตนจึงไม่กล้าไม่เคารพเขา ทำได้เพียงทอดถอนใจพลางว่า “ท่านพ่อบ้านใหญ่ก็สงสารข้าน้อยเถิดเจ้าค่ะ อย่าทำให้ข้าน้อยลำบากเลยเจ้าค่ะ! เมื่อครู่นี้ข้าน้อยก็เพิ่งไปสอบถามให้ท่านมา ฮูหยินน้อยยังคงสอบถามท่านหัวหน้ากองกำลังเสิ่นอยู่เลยเจ้าค่ะ! เวลานี้ทั้งสาวใช้รุ่นโตรุ่นเล็กก็ล้วนไม่กล้าส่งเสียง ข้าน้อยไปมาหลายคราแล้ว หากถูกคนจำได้และนำไปฟ้อง ภายหลังก็จะต้องถูกท่านอาเฮ่อตำหนิเอาแน่ๆ เจ้าค่ะ!”
เสิ่นหยิวอี่เอ่ยอย่างกระวนกระวายว่า “เช่นนั้นเจ้าก็คอยดูไว้ให้ข้าสักหน่อย! พอเสิ่นหลุนออกมาเจ้าก็รีบไปบอกข้า!”
ยังไม่ทันสิ้นเสียงเขา ก็พลันมีเสียงฝีเท้าที่เดินอย่างเร่งร้อนดังมาจากทางด้านหลัง!
“หยิวอี่ เหตุใดเจ้าจึงมาอยู่ที่นี่?” เสิ่นหยิวอี่ยังไม่ทันหันหน้าไปก็ได้ยินคนเอ่ยถามมาจากทางด้านหลังด้วยน้ำเสียงรุ่มร้อน
ฟังออกว่าเป็นเสิ่นจั้งฮุย เสิ่นหยิวอี่ย่อมไม่กล้าเสียมารยาท รีบหันหลังกลับไปคำนับ “ท่านอาสี่ หลานมา…”
คำพูดต่อไปยังไม่ทันพูดจบ เสิ่นจั้งฮุยกลับไม่มีแก่ใจใดจะฟัง พลันโบกมือบอกให้เขาหยุด แล้วเอ่ยถามบ่าวชราว่า “พี่สะใภ้สามอยู่ที่ใด?”
“เรียนคุณชายสี่เจ้าค่ะ ฮูหยินน้อยสามอยู่ข้างในเจ้าค่ะ กำลังสอบถามท่านหัวหน้ากองกำลังเสิ่น…” คำของบ่าวชรายังไม่ทันจบ เพียงได้ยินว่าเว่ยฉางอิ๋งอยู่ที่ใด เสิ่นจั้งฮุยก็หุนหันพุ่งตัวเข้าไปทันที!
เหล่าสาวใช้รุ่นเล็กที่เฝ้าอยู่บนระเบียงทางเดินได้ยินเสียงคน จึงชะเง้อคอมองมาทางนี้ เห็นเสิ่นจั้งฮุยเดินเข้ามาอย่างเร่งร้อน จึงรีบส่งคนวิ่งเข้าไปรายงานก่อนว่า “คุณชายสี่มาเจ้าค่ะ ดูว่าเดินมาอย่างเร่งร้อนนัก ไม่ทราบมีเรื่องใดเจ้าค่ะ”
“น้องชายสี่?” เว่ยฉางอิ๋งสะดุ้ง เวลานี้นางสอบถามเรื่องของป้อมตระกูลเฉาพอประมาณแล้ว กำลังจะสอบถามเรื่องที่เสิ่นหยิวอี่มารายงานข่าวล่าช้า แต่เมื่อได้ยินว่าเสิ่นจั้งฮุยมาหา จึงบอกกับเสิ่นหลุนว่า “อีกสักพักเจ้าค่อยบอกข้า รอท่านอาสี่ของเจ้าเข้ามาแล้ว ข้าจะถามเขาก่อนว่าเขามีเรื่องใด?”
เสิ่นหลุนตอบรับคำหนึ่ง …เวลานี้เสิ่นจั้งฮุยก็สาวเท้าไวๆ เข้ามาพอดี เห็นเว่ยฉางอิ๋งอยู่ในโถงยังไม่ทันได้คำนับ ก็เอ่ยคำร้องขอทันที “พี่สะใภ้สาม ข้าอยากลับเมืองหลวงในทันใด และวันหลังก็ขอให้พี่สะใภ้สามช่วยข้าบอกกับพี่ชายสามสักคำขอรับ!”
“เพราะเหตุใด?” เพราะเว่ยฉางอิ๋งรู้ว่าน้องสามีผู้นี้เชื่อถือไม่ค่อยได้ พอได้ยินว่าเขารีบร้อนเข้ามาอย่างตื่นตระหนก จึงคิดว่าไม่น่ามีเรื่องใหญ่อันใด แต่ก็คิดไม่ถึงว่าพอเสิ่นจั้งฮุยมาก็บอกว่าจะกลับเมืองหลวง …หรือที่เมืองหลวงเกินเรื่องใด? สีหน้าของนางหนักอึ้งขึ้นมาทันใด โน้มตัวมาข้างหน้าเล็กน้อย “เพราะทางเมืองหลวงมีเรื่องใดหรือ?”
เสิ่นจั้งฮุยสูดหายใจลึกๆ เอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือน้อยๆ ว่า “บุตรสาวคนแรกของข้าอาการไม่ใคร่ดี ข้าต้องกลับไปทันที ไปพบหน้านางสักหนขอรับ!”
“อะไรนะ!” เว่ยฉางอิ๋งตื่นตกใจ เพราะนับตั้งแต่เดือนสองมา ทางเมืองหลวงก็ยังไม่ได้ส่งของใดมา นางเองก็ไม่รู้เรื่องว่าเผยเหม่ยเหนียงที่กินดีอยู่ดีนอนดี ที่สุดแล้วกลับคลอดบุตรสาวที่ไม่สมบูรณ์มาแต่กำเนิด เมื่อมาได้ยินเสิ่นจั้งฮุยเอ่ยดังนี้ จึงคิดว่าสถานการณ์ของเด็กจะต้องย่ำแย่นักจนถึงขั้นต้องเรียกให้เสิ่นจั้งฮุยกลับไปพบหน้าสักหน ใจนางพลันเย็นวาบ สักพักหนึ่งจึงถามว่า “ข่าวเพิ่งจะมารึ? ให้ข้าดูหน่อยได้หรือไม่?”
เสิ่นจั้งฮุยรีบพลิกมือดึงเอาจดหมายที่เปิดแล้วฉบับหนึ่งออกมาจากในแขนเสื้อ
จูอีลงไปรับจดหมายขึ้นมา พอเว่ยฉางอิ๋งอ่าน เมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็กลับขมวดคิ้ว จดหมายฉบับนี้เขียนถึงเสิ่นจั้งฮุยที่ใดกัน นี่เขียนให้ตนและเสิ่นจั้งเฟิงต่างหาก!
ถึงตอนนี้เสิ่นจั้งฮุยก็คงจะสำนึกถึงเรื่องนี้ได้ จึงรีบอธิบายไปคำหนึ่งว่า “เมื่อครู่นี้ข้าอยู่ที่หน้าประตู เห็นคนมาส่งจดหมาย คิดว่าปีนี้ทางเมืองหลวงเพียงแค่ส่งข่าวมาเมื่อตอนต้นเดือนสอง เมื่อนับดูเวลาแล้ว จดหมายฉบับนี้จะต้องเอ่ยถึงเรื่องการคลอดบุตรของเหม่ยเหนียงเป็นแน่ ด้วยเหตุนี้จึงทนรอไม่ไหวและเอามาเปิดอ่านก่อนขอรับ”
ตอนที่เขาอธิบายอยู่นั้น เว่ยฉางอิ๋งก็กวาดตาทีละสิบบรรทัดจนอ่านจบแล้ว …เพราะจดหมายนี้เขียนตามความคิดของฮูหยินซูที่จะบอกเรื่องจริงแก่เสิ่นจั้งเฟิงสามีภรรยา แล้วค่อยให้พี่ชายและพี่สะใภ้ค่อยๆ บอกกับเสิ่นจั้งฮุยโดยอ้อมๆ จึงไม่มีสิ่งใดต้องปิดบัง และเขียนถึงอาการเจ็บออดๆ แอดๆ ทุกประการนับตั้งแต่เสิ่นซูซีคลอดออกมาโดยละเอียด รวมถึงความกังวลว่านางจะอยู่จนเติบโตได้หรือไม่ด้วย
ตอนท้ายของจดหมาย ยังเอ่ยว่าครานี้มีจดหมายมาสองฉบับ จดหมายฉบับนี้ให้เสิ่นจั้งเฟิงสามีภรรยาอ่าน อีกฉบับหนึ่งเป็นจดหมายที่เขียนให้เสิ่นจั้งฮุยอ่านโดยเฉพาะ ซึ่งภายในนั้นกลับเขียนถึงสุขภาพของเสิ่นซูซีเพียงเผินๆ ไม่กี่คำเท่านั้น
…เมื่ออ่านจดหมายจบ เว่ยฉางอิ๋งถอนหายใจด้วยความจนใจ คนมาส่งจดหมายจะต้องรู้เรื่องนี้สักเล็กน้อยแน่ แต่กลับถูกเสิ่นจั้งฮุยบังเอิญมาขวางเอาไว้เสียก่อน ด้วยความลนลานจึงกลับหยิบให้เขาผิด!
มองดูเสิ่นจั้งฮุยที่ดวงตากำลังจะแดงขึ้นมา และความร้อนรุ่มบนใบหน้าที่ไม่อาจปกปิดได้ และเขาไม่ว่างจะมาปกปิดด้วย เว่ยฉางอิ๋งก็ไม่รู้ว่าควรจะปลอบโยนเขาอย่างไรดี เดิมทีเสิ่นจั้งฮุยและเผยเหม่ยเหนียงก็รักใคร่กันยิ่งนัก น้องชายของสามีผู้นี้ แม้จะมีหลายเรื่องที่ไม่ได้ดังใจ แต่ในเรื่องการเป็นสามีแล้ว ก็แทบไม่ได้แตกต่างอันใดกับเสิ่นจั้งเฟิงเลย
ก่อนนี้แม้เขาจะช่วยพูดจาดีๆ ให้แก่เหล่าหญิงงามที่ผู้อาวุโสนำมามอบให้ แต่ภายหลังก็มิใช่ว่านำคนทั้งหมดมามอบให้พี่สะใภ้ ทั้งยังไม่ยอมรับคนที่มีใจเข้ามาปรนนิบัติบนเตียงเพราะภรรยาไม่ได้อยู่ข้างกายหรอกหรือ?
บุตรหลานตระกูลมีชื่อ โดยเฉพาะบุตรหลานจากภรรยาเอกในตระกูลสายหลักที่สามารถปฏิบัติตนได้ถึงขั้นนี้ก็นับว่ามีจำนวนน้อยนิดนัก
เสิ่นซูซีเป็นลูกคนแรกของเสิ่นจั้งฮุย คนที่เป็นพ่อครั้งแรกเดิมทีก็เป็นเรื่องน่ายินดีนักหนา เผยเหม่ยเหนียงตั้งท้องได้สี่เดือน หมอก็ตรวจออกมาได้ว่าเป็นบุตรสาว คนทั้งบ้านเสิ่นก็อดจะผิดหวังสักหน่อยไม่ได้ แต่เสิ่นจั้งฮุยกลับมิได้มีท่าทีไม่ยินดีเลยแม้แต่น้อย หากแต่ยังคงจินตนาการถึงวันที่บุตรสาวคลอดออกมาด้วยความปลื้มปิติยินดี…
ปรากฏว่าเขาวาดหวังเป็นล้นพ้นว่าจะได้เห็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตนสักหนก็ยังไม่ทันได้เห็น แต่กลับจะมาสูญเสียนางไปแล้วหรือ?
ด้วยเรื่องของเสิ่นซูซี เว่ยฉางอิ๋งจึงอดคิดถึงเสิ่นซูกวงบุตรชายของตนขึ้นมาไม่ได้ หากเป็นไปได้นางก็อยากจะเอ่ยไปเหลือเกินว่า “ข้าจะกลับไปกับเจ้า! ข้าก็คิดถึง กวงเอ๋อร์ของข้าเช่นกัน!”
เพียงแต่เมื่อคำพูดที่หุนหันพลันแล่นเช่นนี้มาถึงริมฝีปาก ก็กลับถูกนางกลืนลงไปทั้งเช่นนั้น …ก่อนนางจะเดินทางมา คำที่ฮูหยินซูแม่สามีของนางกำชับยังคงดังอยู่ที่ข้างหูว่า “จำไว้ เจ้ามิได้เป็นเพียงแค่แม่ของกวงเอ๋อร์เท่านั้น! เจ้ายังเป็นภรรยาของเฟิงเอ๋อร์ เป็นนายผู้หญิงในอนาคตของตระกูลเสิ่นแห่งซีเหลียงของเรา! กวงเอ๋อร์มีความสำคัญมาก แต่ตระกูลเสิ่นกลับสำคัญยิ่งกว่า!”
เว่ยฉางอิ๋งออกแรงบีบกำมือ สะกดความคำนึงถึงบุตรชายเอาไว้ ลุกขึ้นยืน “เจ้าเก็บข้าวของเรียบร้อยแล้วหรือไม่?”
“ไม่มีสิ่งใดต้องเก็บขอรับ พี่สะใภ้ ข้าอยากจะเดินทางเดี๋ยวนี้เลย” เสิ่นจั้งฮุยเอ่ยเสียบแหบแห้ง “นี่เป็นลูกคนแรกของข้า ไม่ว่านางจะเป็นเช่นใด ข้าก็ต้องไปพบนางสักหน ไปอุ้มนางกับมือสักหน!”
“เจ้าช้าก่อน อย่างไรก็ต้องเอาคนไปด้วยสักน้อย” เว่ยฉางอิ๋งหันหน้าไปสั่งจูอี “เจ้าพาคนสักเล็กน้อยไปเก็บข้าวของให้น้องชายสี่มาห่อหนึ่ง! เอาแต่ที่จำเป็นที่สุด ที่ไม่จำเป็นก็อย่าเพิ่งไปสนใจ!”
จูอีรับคำ แล้วรีบวิ่งออกไป …เว่ยฉางอิ๋งโอ้โลมปฏิโลมจึงสามารถโน้มน้าวเสิ่นจั้งฮุยที่จะต้องไปเสียเดี๋ยวนี้ให้จงได้ ว่าให้เขารอจนจูอีเก็บของห่อเล็กๆ ห่อหนึ่งออกมา และไปส่งเขาที่หน้าประตูใหญ่ด้วยตนเอง แล้วกำชับองครักษ์ของเขาหนแล้วหนเล่าว่าระหว่างทางจะต้องระวังให้ดีๆ…
ข่านของพวกตี๋เพิ่งจะถูกสังหาร ผู้ใดจะรู้ว่าระหว่างที่อูกู่เหมิงและอาอีถ่าหูช่วงชิงตำแหน่งกันอย่างเอาเป็นเอาตาย จะมีเวลามาใช้งานไส้ศึกชาวเว่ยให้มาเล่นงานหมิงเพ่ยถังสักหนหรือไม่?
แม้ยามนี้เสิ่นจั้งฮุยไม่ได้ดูแลงานใดๆ แต่หากว่ากันเรื่องฐานะแล้ว เขาก็ควรค่าแก่การลอบสังหารยิ่งนัก!
เมื่อเสิ่นจั้งฮุยไปแล้ว เว่ยฉางอิ๋งกลับมาในโถงด้านหลัง แล้วเห็นเสิ่นหลุนที่ยังคงประสานมืออยู่ข้างล่างบันไดหินนอกโถงรอคำสั่งของตนจึงเพิ่งนึกถึงเรื่องก่อนหน้านี้ออก แต่เวลานี้นางก็ไม่ว่างมาสนใจเรื่องขัดแย้งระหว่างเสิ่นหลุนและเสิ่นหยิวอี่ชั่วคราว …เสิ่นจั้งฮุยกลับไปเมืองหลวงอย่างปัจจุบันทันด่วน ไม่ว่าอย่างไรก็จะต้องบอกเรื่องนี้แก่เสิ่นจั้งเฟิงที่กำลังพยายามทาบทามผู้มีความสามารถอยู่ที่ด่านเตี๋ยชุ่ยสักคำ!
นางหยุดเท้า กำลังจะสั่งให้เสิ่นหลุนกลับไปก่อน แต่เมื่อมองไปข้างๆ เสิ่นหยิวอี่กลับพุ่งตัวออกมา เขาคำนับและเรียกนางคำหนึ่งว่า “ท่านอาสะใภ้สามขอรับ” จากนั้นก็รีบร้อนจะขออธิบายสาเหตุที่ตนไม่ได้บอกเรื่องที่เสิ่นหลุนจะมารายงานก่อนหน้านี้ เพียงแต่เวลานี้เว่ยฉางอิ๋งจะมีแก่ใจใดมาสนใจเรื่องของพวกเขา?
“เวลานี้ข้ากำลังยุ่ง เรื่องนี้ค่อยว่ากันทีหลัง!” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยอย่างอดรนทนไม่ไหวคำหนึ่ง ไม่รอให้พวกเขาเอ่ยสิ่งใดอีก ก็ออกปากให้พวกเขาออกไปจากโถงหลังแล้ว
กระทั่งวันรุ่งขึ้น เว่ยฉางอิ๋งสั่งความคนที่จะไปส่งจดหมายที่ด่านเตี๋ยชุ่ยเรียบร้อยแล้ว นางก็จิบน้ำชาแล้วสอบถามจูอีว่า “เสิ่นหยิวอี่และเสิ่นหลุนมีเรื่องใดกันแน่ วานนี้เจ้ากลับไปสอบถามมาแล้วหรือไม่?”
ทั้งบิดาและปู่ของจูอีล้วนเป็นพ่อบ้านของหมิงเพ่ยถัง ญาติพี่น้องล้วนเป็นบ่าวที่เกิดในเรือนทั้งนั้น แต่แรกนั้น เหตุที่เว่ยฉางอิ๋งเลือกนางมาเป็นสาวใช้รุ่นโต นอกจากจะเล็งเห็นรูปโฉมและอุปนิสัยของนางแล้ว ก็เล็งเห็นว่านางมีญาติมากมาย ย่อมได้รับข่าวสารรวดเร็ว
ครานี้ปรากฏว่าจูอีก็มีคำตอบให้จริงๆ “ท่านอาคนหนึ่งของข้าน้อยบอกว่า ท่านพ่อบ้านใหญ่และท่านหัวหน้ากองกำลังเสิ่นเคยมีเรื่องบาดหมางกันมาก่อนเจ้าค่ะ ก่อนหน้านี้ท่านหัวหน้ากองกำลังเสิ่นต้องการขอพบฮูหยินน้อยเพื่อมารายงานเรื่องของหัวหน้าป้อมตระกูลเฉาจริงๆ เจ้าค่ะ แต่กลับถูกท่านพ่อบ้านใหญ่ขัดขวางเอาไว้ข้างนอกไม่ให้เข้ามา ท่านหัวหน้ากองกำลังเสิ่นจึงบอกเรื่องนี้แก่ท่านพ่อบ้าน ให้ท่านพ่อบ้านใหญ่มาบอกกับฮูหยินน้อยอีกครั้งเจ้าค่ะ”
เว่ยฉางอิ๋งขมวดคิ้ว กล่าวว่า “เพียงเท่านี้? หยิวอี๋โง่ได้ถึงเพียงนี้เชียว?”
“ไม่ว่าเรื่องใดก็ไม่อาจปิดฮูหยินน้อยได้เลยจริงๆ เจ้าค่ะ!” จูอีเสริมไปคำหนึ่ง จึงเอ่ยว่า “หากเป็นท่านหัวหน้ากองกำลังเสิ่น ท่านพ่อบ้านใหญ่ย่อมไม่กล้าให้เสียเวลาและจะต้องมารายงานกับฮูหยินน้อยเจ้าค่ะ แต่ก่อนนี้สองวันฮูหยินท่านผู้ตรวจการมิใช่ส่งคนนำของเล็กน้อยมามอบให้หรือเจ้าคะ? ได้ยินว่าในคนที่นำของมาส่งก็มีบ่าวคนหนึ่งบอกกับท่านพ่อบ้านใหญ่ว่าเหตุที่จู่ๆ ฮูหยินท่านผู้ตรวจการมามอบของให้ฮูหยินน้อย ความจริงแล้วก็เพื่อมาบอกกล่าวกับฮูหยินน้อยเรื่องของป้อมตระกูลเฉา ครั้นแล้วท่านพ่อบ้านใหญ่จึงนึกว่าฮูหยินน้อยท่านทราบเรื่องนี้แล้ว เพื่อไม่ให้ฮูหยินน้อยทราบว่าท่านหัวหน้ากองกำลังเสิ่นมาหาก่อนด้วยต้องการเล่าเรื่องให้ท่านทราบ ท่านพ่อบ้านใหญ่จึง ‘ลืม’ เรื่องที่ท่านหัวหน้ากองกำลังเสิ่นบอกไปเจ้าค่ะ”
สีหน้าของเว่ยฉางอิ๋งไม่น่าดูยิ่งนัก ‘พวกโง่เง่าสองคนนี่!’ นางไม่เพียงแค่โมโห เสิ่นหยิวอี่และเสิ่นหลุนที่กล้ามาทะเลาะกันจนถึงขั้นทำให้เรื่องที่จะมารายงานตนต้องผิดพลาด หากแต่นางไม่พอใจที่คนทั้งสองโง่เง่าถึงเพียงนี้ …นับแต่วานนี้ที่เสิ่นหลุนย้อนกลับมาเล่าเรื่องที่ตนถูกรังแกจนถึงเวลานี้ก็เพิ่งเป็นเวลาหนึ่งคืนกับครึ่งวัน จูอีก็เล่าเรื่องที่พวกเขาขัดแย้งกันจบเพียงไม่กี่คำ
…เห็นได้ว่าฝีมือของพวกเขาตื้นเขินเพียงใด และหาได้เป็นความลับใดสำหรับพวกบ่าวที่เกิดในบ้านด้วย!
ท่านหัวหน้ากองกำลังโง่เง่าก็ยังแล้วไป ดีชั่วก็เป็นคนในอาณัติของเสิ่นตงไหล แต่พ่อบ้านใหญ่ที่ตนเองเลือกมาก็ยังโง่ปานนี้ … แม้เว่ยฉางอิ๋งจะไม่หวังว่าพ่อบ้านใหญ่จะต้องฉลาดหลักแหลมจนถึงขั้นมาแก่งแย่งอำนาจกับตนได้ แต่ก็ยังรู้สึกว่าขายหน้านัก!
พวกบ่าวล้วนไม่กล้าเอ่ยสิ่งใด
เนิ่นนานจากนั้น เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยทั้งสีหน้าเขียวคล้ำ “ออกไปดูซิว่าคนที่ไปส่งจดหมายที่ด่านเตี๋ยชุ่ยไปไกลแล้วหรือไม่? หากยังไปไม่ไกลก็ให้เรียกเขากลับมา ข้าจะเขียนจดหมายเพิ่มไปอีกสักหน่อย”
พ่อบ้านใหญ่ที่โง่เพียงนี้ ต่อให้เชื่อว่าฮูหยินผู้ตรวจการส่งบ่าวมาบอกข่าว เจ้าก็อย่าได้เชื่อเสียจนปักใจหนักหนาสิ! เจ้าก็น่าจะใช้เงินสักเล็กน้อยมาปะเหลาะถามกับสาวใช้รุ่นเล็กที่ทำงานใกล้ชิดข้า เช่นนี้เจ้าก็จะมั่นใจได้แล้ว!
ต่อให้เป็นน้องชายของเสิ่นหยิวเจี่ยก็ตาม เว่ยฉางอิ๋งก็รู้สึกว่า …อย่างไรก็ต้องบอกสามีสักคำว่า เปลี่ยนคนเสียเถิด
_________________