หลังจากเสิ่นจั้งฮุยออกเดินทางไปหนึ่งวันหนึ่งคืน ก็กลับส่งองครักษ์หนึ่งนายย้อนกลับมา และขอให้ตวนมู่ซินเหมี่ยวกลับไปเมืองหลวงด้วยกัน
…ว่ากันว่า ลนลานจนเลอะเลือน คำนี้กล่าวไม่ผิดเลยแม้สักน้อย เดิมทีเขาควรจะเอ่ยตั้งแต่ตอนที่เขามาบอกลากับเว่ยฉางอิ๋งแล้ว ปรากฏว่าเดินทางไปวันหนึ่งแล้วจึงเพิ่งจะคิดได้
เดิมทีเว่ยฉางอิ๋งสามารถเอ่ยเตือนเขาเอง แต่จนใจที่วันนั้นทางหนึ่งนางกำลังสอบถามเรื่องของป้อมตระกูลเฉาอยู่ อีกทางหนึ่งก็กำลังพิจารณาเรื่องความขัดแย้งระหว่างเสิ่นหยิวอี่และเสิ่นหลุน เดิมทีก็กำลังจัดการสองเรื่องในเวลาเดียวกันอยู่แล้ว เสิ่นจั้งฮุยก็เร่งร้อนจะออกเดินทางเพียงนั้น …แม้แต่เรื่องจะเก็บข้าวของเล็กน้อยก็ยังเป็นเว่ยฉางอิ๋งที่ต้องกล่อมอย่างลำบากเขาจึงฝืนใจตอบตกลง
ด้วยเหตุนี้เว่ยฉางอิ๋งจึงไม่ทันได้เอ่ย …หลังจากส่งเสิ่นจั้งฮุยไปแล้ว เสิ่นหยิวอี่และเสิ่นหลุนก็รุมเข้ามาขอชี้แจงกับนางอีก เอาไปเอามาจึงลืมพูดถึงไปเสีย
เวลานี้ได้ฟังคำขององครักษ์จึงให้คนไปเชิญตวนมู่ซินเหมี่ยวมาหา และเล่าเรื่องทั้งหมดไปดังนี้ ทว่าตวนมู่ซินเหมี่ยวไม่แม้จะคิดก็ตอบปฏิเสธไปทันทีว่า “ไม่ได้ ข้าจะรอข่าวจากทางป้อมตระกูลเฉา!”
“เรื่องที่ป้อมตระกูลเฉานั้นฝากไว้กับข้า รับรองว่าจะจัดการให้เจ้าอย่างดี” เว่ยฉางอิ๋งให้สัญญา
แต่ตวนมู่ซินเหมี่ยวบอกว่า “หากข้าไม่อยู่ที่นี่ พี่สะใภ้สามท่านจะจัดการได้ดีจริงหรือ? ก่อนนี้ท่านเป็นคนบอกข้าเองว่า ท่านอาจารย์ปู่เล็กของข้าผู้นั้นระวังตัวเสียอย่างยิ่ง ก่อนนี้เห็นแก่หน้าข้าเขาจึงเสนอสามพันตำลึงทองมาลองใจดู เวลานี้พวกของมู่ชุนเหมียนยังไม่ทันกลับไปถึงป้อมตระกูลเฉาเลยกระมัง? ปรากฏว่าข้าก็กลับไปเมืองหลวงเสียแล้ว หากให้ท่านอาจารย์ปู่เล็กของข้าได้ยินเข้าจะคิดเห็นเช่นใด? ถ้าเขาเกิดเคลือบแคลงว่าข้ามีเจตนาไม่ดี ว่าแล้วจึงอยู่ในเขาไปชั่วชีวิตไม่ออกมาอีกแล้วจะทำเยี่ยงไรเล่า?!”
“เรื่องนี้…” เว่ยฉางอิ๋งนิ่งไปสักพัก จากนั้นจึงว่า “น้องซินเหมี่ยวเจ้าโปรดทำใจให้สบายเถิด! แม้ภูมิประเทศของป้อมตระกูลเฉาจะพิเศษเพียงใด แต่อย่างไรก็ยังอยู่ในเขตของซีเหลียงมิใช่หรือ?”
หากใช้ไม้อ่อนไม่ได้ก็ต้องใช้ไม้แข็ง พอดีว่ามีกองกำลังของพวกชิวตี๋ที่เหลือรอดหลังจากพ่ายแพ้ยับเยินยังวนเวียนอยู่ด้วย…ไม่เชื่อหรอกว่าเพื่อจี้กู่คนเดียว ป้อมตระกูลเฉาจะกล้าขัดขืนขึ้นมาเช่นนี้! แต่ไรมาตระกูลเสิ่นแห่งซีเหลียงล้วนเร่งรีบจัดการเรื่องเดือดร้อนต่างๆ ในเขตซีเหลียงให้สิ้นซากไม่ให้มีเชลยหลงเหลืออยู่แล้ว!
ตวนมู่ซินเหมี่ยวได้ฟังสีหน้าก็หนักอึ้งลงทันใด กล่าวว่า “แล้วหากว่าท่านอาจารย์ปู่เล็กของข้ายอมตายก็ไม่ยอมจำนนเล่า?!”
เมื่อได้ยินคำนี้ เว่ยฉางอิ๋งก็รู้ว่านางจะต้องไม่ยอมไปในช่วงเวลาเข้าด้ายเข้าเข็มเช่นนี้ จึงรู้สึกลำบากใจนัก ในใจนางแล้วจี้กู่ย่อมไม่มีนางสำคัญเท่ากับเสิ่นซูซี แม้ว่านางจะไม่เคยพบทั้งสองคนเลยก็ตาม แต่เสิ่นซูซีก็ยังเป็นหลานสาวของนาง ส่วนจี้กู่ก็นางก็เพียงแค่เห็นแก่หน้าจี้ชวี่ปิ้งและตวนมู่ซินเหมี่ยวเท่านั้น และยังต้องนับญาติกันอ้อมไปอีกรอบหนึ่งด้วย
ทว่าตวนมู่ซินเหมี่ยวก็ไม่ใช่บ่าว หากว่ากันเรื่องฐานะแล้วนางก็ไม่ได้ด้อยกว่า เว่ยฉางอิ๋ง ครานี้นางเดินทางมาไกลเพื่อรักษาเสิ่นจั้งเฟิง แม้ว่าเสิ่นเซวียนสามีภรรยาจะรับนางเป็นบุตรีบุญธรรม แต่จะอย่างไรตระกูลเสิ่นก็ยังติดค้างน้ำใจนาง
ย่อมอาจบีบให้นางออกเดินทางเหมือนที่ทำกับกู้โหรวจางกระมัง…
เว่ยฉางอิ๋งเปลี่ยนวิธีการพูดใหม่หลายวิธี แต่ตวนมู่ซินเหมี่ยวก็ล้วนส่ายหน้าไม่ยินยอม สุดท้ายนางฟังจนรำคาญแล้ว จึงลุกขึ้นและสะบัดแขนจากไปเสียเลย!
…เว่ยฉางอิ๋งถูกทิ้งเอาไว้จึงอดจะขัดเขินเป็นหนักหนาไม่ได้
หลังจากนางหวงรู้เรื่องนี้ก็ปลอบนางว่า “ฮูหยินน้อยอย่าได้กลัดกลุ้มด้วยเรื่องของคุณหนูตวนมู่แปดเลยเจ้าค่ะ คุณหนูหลานห้าเป็นหลานสาวแท้ๆ ในบ้านท่านอาของฮูหยินน้อย ฮูหยินน้อยย่อมต้องสงสารนาง แต่สำหรับคุณหนูตวนมู่แปดแล้ว เป็นอาจารย์วันเดียวเป็นบิดาไปชั่วชีวิต นางกตัญญูต่ออาจารย์และผู้ใหญ่ก็เป็นเรื่องที่สมควรอยู่แล้ว ต่อให้ยามนี้นับได้ว่าคุณหนูตวนมู่แปดเป็นคุณหนูในตระกูลเสิ่นของเราแล้ว ทว่าพวกเราต่างก็รู้ว่าที่เรียกขานว่าบุตรีบุญธรรมนี้ก็ว่าตามพิธีการเท่านั้น หากนับเรื่องน้ำจิตน้ำใจและหลักเหตุผลแล้ว ล้วนไม่อาจหวังให้นางเห็นคนในตระกูลเสิ่นของเราเป็นคนในครอบครัวตนเองได้ทั้งหมดนะเจ้าคะ”
ในความคิดของนางหวงนั้น อย่าว่าแต่บอกว่าเสิ่นซูซีเป็นเพียงหลานสาวในบ้านท่านอา ต่อให้เป็นหลานสาวแท้ๆ ดีชั่วก็ไม่ใช่สายเลือดของเว่ยฉางอิ๋ง ในเมื่อไม่ใช่สายเลือดของเว่ยฉางอิ๋ง จะต้องสงสารนางหรือไม่ นั่นก็ต้องดูว่ามีประโยชน์อันใดหรือไม่ มีประโยชน์มากน้อยเท่าใดแล้ว หากต้องล่วงเกินตวนมู่ซินเหมี่ยวผู้มีฝีมือแพทย์ล้ำเลิศทั้งยังสนิทสนมกันมานานเพื่อหลานสาวในบ้านท่านอาที่ยังไม่เคยพบผู้หนึ่ง นางก็รู้สึกว่าไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย
ดังนี้แล้วจึงพยายามอธิบายถึงข้อดีต่างๆ ของตวนมู่ซินเหมี่ยว “คุณหนูตวนมู่แปดไม่เพียงมีฝีมือเก่งกาจและรักษาคุณชายของเราจนหาย และนับตั้งแต่นางออกไปทำการรักษาหลังจากเทศกาลหยวนเซียว โดยเฉพาะที่ไปรักษาการกุศลที่เหลาสุราไท่ผิงล้วนทำไปโดยนามของฮูหยินน้อยท่าน ลำพังแค่ประเด็นนี้ ก็เป็นผลประโยชน์ใหญ่หลวงสำหรับฮูหยินน้อยแล้ว เวลานี้คุณหนูตวนมู่แปดไม่ยอมกลับเมืองหลวง แต่ท่านก็จะต้องบีบนางให้ไปให้ได้ คุณหนูแปดผู้นี้ก็ยิ่งเป็นคนที่พูดจาด้วยลำบาก หากนางคับแค้นใจขึ้นมา แม้จะถูกบังคับให้กลับไปได้ แต่หากในใจก็ยังคงเคืองแค้นอยู่ แม้กลับถึงเมืองหลวงแล้วก็อาจไม่ยอมไปรักษาคุณหนูหลานห้า ต่อให้เป็นฮูหยินก็ยังไม่อาจบีบบังคับนางได้เลยนะเจ้าคะ ฮูหยินน้อยไยต้องทำตัวเป็นคนร้ายเพื่อบุตรหลานของบ้านสี่เล่า? อีกประการหนึ่งเด็กเล็กๆ ที่ตายตั้งแต่เล็กในใต้หล้านี้ก็มีถมเถไป ต่อให้คุณหนูตวนมู่แปดไปแล้ว หากว่าไร้วาสนากับบ้านเราจริงๆ ก็ไม่แน่ว่าจะช่วยเอาไว้ได้นะเจ้าคะ”
เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยพลางส่ายหัว “ข้าไม่ได้โกรธซินเหมี่ยว ข้ารู้ว่านางไม่ใช่ข้า ข้าให้ความสำคัญกับซูซีมากกว่าจี้กู่ แต่ก็ไม่อาจฝืนใจซินเหมี่ยวด้วยต้องการช่วยซูซี เพราะอย่างไร คนที่ก็ไหว้จี้ชวี่ปิ้งเป็นอาจารย์และได้รับการสั่งสอนมานานปีก็มิใช่ข้า ความจริงแล้วหากนางยอมกลับไปช่วยซูซีที่เมืองหลวง ใจข้าก็ยังคงเป็นห่วงอยู่ดี! นอกจากทางพวกชิวตี๋อาจส่งคนมาลอบทำร้ายแล้ว ก็ยังมีเรื่องที่ตอนขามานางก็เมารถหนักหนานัก แต่นั่นก็ยังมีพวกเราคอยดูแลอยู่ในรถ เมื่อมาถึงตัวเมืองซีเหลียงนางก็ต้องพักรักษาตัวอยู่สองวันเต็มจึงค่อยๆ กลับมาเป็นปกติ ต่อให้จูหลานและจูสือขึ้นรถไปกับนาง ข้าก็ยังกลัวว่าพวกนางจะดูแลไม่ทั่วถึง”
นางถอนหายใจยาวคำหนึ่ง “ลำบากใจทั้งสองทางเลย! ร่างกายของน้องชายสี่ และน้องสะใภ้สี่ก็ล้วนแข็งแรงดี เหตุใดซูซีเด็กคนนี้จึง…?”
นางหวงปลอบนางว่า บางทีเวลานี้คุณหนูหลานห้าก็เพียงแค่ร่างกายอ่อนแอสักน้อย วันหน้าเมื่อค่อยๆ โตขึ้นก็จะดีขึ้นแล้วนะเจ้าคะ?”
“หวังแต่เพียงให้สวรรค์คุ้มครอง” เว่ยฉางอิ๋งพยักหน้าน้อยๆ เรื่องที่เกินรับมือเช่นนี้ก็ทำได้เพียงคิดไปดังนี้เท่านั้นแล้ว
และเพราะเรื่องนี้ หลายวันต่อมาตวนมู่ซินเหมี่ยวจึงอ้างเหตุผลว่าตนเองต้องศึกษาวิชาแพทย์ไม่มีเวลาว่างไปสนใจเรื่องอื่นและไม่ยอมมาทานข้าวกับเว่ยฉางอิ๋ง
จนกระทั่งถึงวันนี้มีข่าวมาจากป้อมตระกูลเฉา เว่ยฉางอิ๋งส่งจูอีไปบอกกับนาง นางจึงยอมมาหา
และข่าวในครานี้ก็เป็นมู่ชุนเหมียนมารายงานด้วยตนเองอีกครั้ง…
เว่ยฉางอิ๋งเห็นว่าเป็นนางมาอีกคราหนึ่ง ในใจอดระแวงไม่ได้ว่าหัวหน้าป้อมหญิงผู้นี้กลับน่าสนใจนัก ด้วยฐานะสตรีผู้หนึ่งที่ไร้บุตรชายแต่ก็ยังรั้งตำแหน่งหัวหน้าป้อมเอาไว้ได้ก็ยังแล้วไป แล้วนางก็ยังออกมาข้างนอกด้วยตนเองทุกสามวันห้าวัน มิได้กังวลเลยแม้แต่น้อยหรือว่าเมื่อตนไม่อยู่ในป้อม เหล่าญาติๆ บ้านสามี… อย่างเช่นน้องชายสามีที่เดิมทีจะมารับตำแหน่งหัวหน้าป้อมต่อจากพี่ชาย แต่กลับถูกมู่ชุนเหมียนขืนลากลงจากตำแหน่งและมาแทนที่เขา จะอาศัยโอกาสที่นางไม่อยู่มาปลุกระดมผู้คนในป้อม?
หรือว่าเรื่องของจี้กู่จะมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับนาง สำคัญจนกระทั่งนางไม่อาจวางใจให้คนอื่นมาแทนและยอมทำการเสี่ยงๆ เช่นนี้?
เว่ยฉางอิ๋งตัดสินใจว่าครานี้นางจะต้องซักไซ้ให้ชัดเจนให้จงได้ว่ามู่ชุนเหมียนมีความสัมพันธ์ใดกับจี้กู่?
เพียงแต่ผู้ใดก็คิดไม่ถึงว่าครานี้ยังไม่ทันได้ซักไซ้มู่ชุนเหมียน นางก็เอ่ยปากออกมาเองอย่างตรงไปตรงมานัก…
จี้กู่ยังมีชีวิตอยู่จริงๆ!
แม้ว่าก่อนหน้านี้ เว่ยฉางอิ๋งจะวิเคราะห์ด้วยความมั่นอกมั่นใจเหลือล้นว่ามีความเป็นไปได้อย่างมากที่จี้กู่จะยังมีชีวิตอยู่ ทว่านั่นก็ยังไม่แน่นอน ตวนมู่ซินเหมี่ยวทั้งมีความหวังทั้งหวั่นใจ กลัวว่าตนเองจะดีใจเก้อ ยามนี้มู่ชุนเหมียนออกปากยืนยันเอง ทั้งยังนำจดหมายที่จี้กู่เขียนด้วยลายมือมาด้วย ภายในนั้นเอ่ยถึงเรื่องหลายเรื่องที่มีเพียงคนในตระกูลจี้เท่านั้นที่จะรู้และเล่าได้อย่างละเอียด …ตวนมู่ซินเหมี่ยวนำมาเทียบกับตามคำบอกเล่าของอาจารย์ก่อนหน้านี้ทุกๆ เรื่อง ไม่มีเรื่องใดที่ขัดแย้งกัน นางจึงตื่นเต้นดีใจเป็นหมื่นเท่า!
รอจนความตื่นเต้นดีใจของนางค่อยๆ สงบลงเป็นปกติแล้ว ก็พลันโมโหโกรธาขึ้นมา ตบโต๊ะไปหนักๆ หนหนึ่ง ตวาดไปว่า “แล้วคราก่อนเหตุใดเจ้าจึงไม่พูด?!”
มู่ชุนเหมียนยิ้มสู้ แล้วเอ่ยว่า “หลายปีก่อนท่านพ่อเคยถูกคนหลอกเอา จนแทบเอาชีวิตไม่รอด ภายหลังเมื่อได้ยินว่ามีคนมาตามหาก็ตื่นตระหนกดังนกกลัวคันธนู หวังว่าคุณหนูอย่าได้ถือสาเลยเจ้าค่ะ!” จึงทำให้เว่ยฉางอิ๋งและตวนมู่ซินเหมี่ยวตื่นตะลึงกันยกใหญ่
หลังจากตื่นตะลึงแล้ว ทั้งสองคนกลับไม่ทันถามไถ่ว่า จี้กู่เคยถูกผู้ใดหลอกมา แต่กลับถามเป็นเสียงเดียวกันว่า “เขาเป็นบิดาเจ้า?!”
มู่ชุนเหมียนยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ แล้วแนะนำตนเองใหม่อีกครั้ง “ข้าน้อย มู่ชุนเหมียน เดิมทีควรจะใช้แซ่จี้ตามบิดาว่าจี้ชุนเหมี่ยนจึงจะถูก ทว่าท่านพ่อรู้สึกเสียดายที่ไร้บุตรชาย ดังคำว่า บนไร้บิดามารดาคุ้มครอง ล่างไร้ทายาทสืบสกุล จึงเปลี่ยนแซ่ให้ข้าน้อยเป็นแซ่มู่เจ้าค่ะ
ตัวอักษรจี้ เมื่อตัดขีดบนสุดและตัวอักษร ‘บุตรชาย’ ข้างล่างไปแล้ว ก็มิใช่กลายเป็นอักษร ‘มู่’ หรอกรึ?
สักพักจากนั้นนางจึงเสริมไปอีกว่า “ชื่อของข้าน้อย ก็เป็นเพราะท่านพ่อปลงอนิจจังว่าหลังจากที่ตระกูลเกิดความเปลี่ยนแปลงในปีนั้น ทำให้ผู้คนล้มตาย ทำให้คิดถึงวันคืนที่คนทั้งบ้านยังคงอยู่ในเมืองหลวงอย่างสุขสงบ ได้นอนกลางวันในฤดูใบไม้ผลิอย่างมีความสุข จึงได้ตั้งชื่อนี้ให้ข้าน้อยเจ้าค่ะ”
…สถานที่เช่นป้อมตระกูลเฉา นอกจากจี้กู่ที่เคยเป็นคุณชายในตระกูลขุนนางแล้ว ก็ไม่มีสักกี่คนที่จะรู้หนังสือ เขาจึงสามารถตั้งชื่อที่งดงามไม่ธรรมดาเช่นนี้ให้แก่บุตรสาวได้ อย่างเช่นว่าเฉายาบุตรสาวของมู่ชุนเหมียน ซึ่งเป็นหัวหน้าป้อมน้อยของ ป้อมตระกูลเฉา ก็มิใช่ยังเรียกขานว่ายาโถว ที่หมายถึงยัยหนูหรอกหรือ…
เว่ยฉางอิ๋งตั้งสติสักพัก กล่าวว่า “เมื่อว่ามาดังนี้ เจ้าก็เป็นลูกผู้น้องฝั่งบิดาของ ท่านหมอเทวดาจี้น่ะสิ?”
“เวลานี้ท่านอาจารย์ปู่เล็กของข้าสบายดีหรือไม่?” ตวนมู่ซินเหมี่ยวรีบถามต่อ เมื่อแน่ใจว่าจี้กู่ยังมีชีวิตอยู่ตวนมู่ซินเหมี่ยวก็นั่งไม่ติดเสียอย่างยิ่ง แทบจะกระโจนออกไปเขียนจดหมายเล่าข่าวดีแก่อาจารย์อยู่ตลอดเวลา แต่ว่าเมื่อนางคิดจะทำเช่นนี้ก็พลันตระหนักขึ้นมาว่าเวลานี้นางเพียงแค่รู้ว่าจี้กู่ยังมีชีวิตอยู่ และมีบุตรสาวกับมีหลานตา แต่กลับยังไม่ได้ถามไถ่เรื่องของตัวเขาเองจริงๆ เลยสักคำ
มู่ชุนเหมียนโน้มตัวลงปิดปากหัวเราะ กล่าวว่า “นอกจากท่านพ่อจะเดินเหินไม่ใคร่คล่องแคล่วเพราะสูงวัยแล้ว นอกนั้นก็ล้วนสบายดีเจ้าค่ะ” แล้วจึงตอบคำของเว่ยฉางอิ๋งว่า “ฮูหยินน้อยกล่าวถูกต้องเจ้าค่ะ เมื่อนับตามสายเลือดแล้ว ข้าน้อยก็ต้องเรียกขานท่านหมอเทวดาจี้ว่า ‘ลูกผู้พี่’ เจ้าค่ะ”
เว่ยฉางอิ๋งแอบขมวดคิ้ว …ที่แท้หัวหน้าป้อมตระกูลเฉาก็คือบุตรสาวของจี้กู่! และหัวหน้าป้อมน้อยก็คือหลานตาที่อายุเพิ่งจะสี่ห้าขวบของจี้กู่ ที่เสิ่นหลุนบอกว่ามู่ชุนเหมียนมีชั้นเชิงเหนือคน ยามนี้มองดูแล้ว จะเป็นเพราะมู่ชุนเหมียนมีชั้นเชิงเหนือคนที่ใดกัน?
บางทีท่านหัวหน้าป้อมผู้นี้อาจมีชั้นเชิงอยู่บ้าง แต่การที่นางสามารถควบคุม ป้อมตระกูลเฉาได้หลังจากสามีตายและตัวนางเองก็ไร้บุตรชาย ที่แท้แล้วเพราะจี้กู่บิดาของนางคอยสนับสนุน นี่ต่างหากจึงคือสาเหตุที่สำคัญยิ่งกว่า!
มิน่าเล่าหลายปีมานี้จึงไม่ได้มีข่าวเกี่ยวกับจี้กู่ออกมาจากป้อมตระกูลเฉาเลยแม้แต่น้อย ที่แท้คนผู้นี้ก็เป็นพ่อตาของหัวหน้าป้อมมาตั้งนานแล้ว! ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อมองจากการที่นับแต่หัวหน้าป้อมตระกูลเฉาคนก่อนเสียไป แล้วเฉาเหยี่ยนน้องชายของเขาถูกขับไล่ไป จากนั้นมู่ชุนเหมียนซึ่งเป็นสตรีก็ขึ้นรับตำแหน่ง ทั้งยังให้บุตรสาวที่ยังเล็กมาเป็นหัวหน้าป้อมน้อยแล้ว เกรงว่าจี้กู่สามารถกุมอำนาจทั้งหมดของป้อมตระกูลเฉาเอาไว้ได้ตั้งนานแล้ว! เมื่อได้รับการสนับสนุนและบัญชาการจากเขา มู่ชุนเหมียนจึงสามารถครองตำแหน่งหัวหน้าป้อมที่คนตระกูลเฉาสืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคนได้โดยไม่ถูกต่อต้านอย่างรุนแรง ก็มิน่าเล่าที่สองครั้งนี้ล้วนเป็นนางขี่ม้ามาที่ซีเหลียงด้วยตนเอง เพราะดีชั่วในป้อมตระกูลเฉาก็มี จี้กู่บิดาของนางอยู่ ต่อให้เป็นเฉาเหยี่ยนก็ดี คนทั้งตระกูลเฉาก็ช่าง แล้วจะทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนใดขึ้นมาได้?
และสาเหตุที่จนถึงวันนี้จี้กู่ยังไม่ได้เปลี่ยนจากป้อมตระกูลเฉามาเป็นป้อมตระกูลจี้หรือป้อมตระกูลมู่ โดยมากแล้วก็เป็นเพราะกลัวว่าจะทำให้คนข้างนอกสนใจ และเป็นการเปิดเผยการมีตัวตนอยู่ของเขา หาไม่แล้ว ป้อมตระกูลเฉาแห่งนี้ก็คงถูกเปลี่ยนชื่อไปตั้งนานแล้ว…
ทว่าที่เว่ยฉางอิ๋งขมวดคิ้วกลับมิใช่เพราะจี้กู่ผู้นี้มีเล่ห์เหลี่ยมล้ำลึก หากแต่เพราะคิดว่า “จี้กู่มีความเกี่ยวข้องที่ลึกล้ำกับป้อมตระกูลเฉาเพียงนี้ หยิวเจี่ยกลับยังคิดจะอาศัยป้อมตระกูลเฉาไปปราบปรามกองโจรเขาเหมิงซาน หากทั้งสองฝ่ายนี้เกิดความขัดแย้งกันขึ้นมา ซินเหมี่ยวย่อมต้องโน้มเอียงไปทางน้องชายของอาจารย์นาง และปกป้องป้อมตระกูลเฉาแน่นอน! ดังนี้ก็จะยุ่งยากแล้ว!”
ครั้งแล้วเมื่อคิดไปอีกที เว่ยฉางอิ๋งก็เอ่ยไปอย่างเป็นห่วงในทันใดว่า “ขาของท่านผู้อาวุโสจี้ไม่ใคร่ดี? ไยจึงเป็นเช่นนี้? คาดว่าวิชาแพทย์ของผู้อาวุโสจี้ย่อมไม่ด้อยแต่อย่างใด หรือเป็นเพราะในป้อมตระกูลเฉาขาดแคลนหยูกยา?”
คำนี้เตือนสติตวนมู่ซินเหมี่ยวที่กำลังคิดว่าจะสอบถามแทนอาจารย์ของตนในเรื่องใดอีกสักเล็กน้อยดี นางจึงรีบถามว่า “ขาของท่านอาจารย์ปู่เล็กเป็นอันใด? หนักหนาหรือไม่?”
___________________