บทที่ 65 ความริษยา

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

เฟิ่งชิงเฉินพูดกับหวังชีไม่หยุดว่าตรงนี้ต้องการอะไร ตรงนั้นต้องการอะไร หวังชีหงุดหงิดจนแทบอยากปาพู่กันทิ้งให้สิ้นเรื่อง แต่เมื่อเห็นความกระตือรือร้นในแววตาเฟิ่งชิงเฉินแล้วเขาก็ได้แต่อดทน แต่สิ่งที่ได้จากความอดทนนั้นน่ะหรือ?
นางยิ่งเรื่องมากหนักขึ้นเรื่อยๆ
เฟิ่งชิงเฉินคนนี้ไม่รู้จักคำว่าพอเสียแล้ว
“เฟิ่งชิงเฉิน สร้างวังหลวงยังไม่ยุ่งยากขนาดนี้เลยนะ”
“ก็นี่เอาไว้รักษาคน ก็ต้องยุ่งยากกว่าสร้างวังอยู่แล้ว เร็วๆเถอะน่า ยังเหลืออีกนิดเดียว รีบๆสร้างให้เสร็จ ดวงตาพี่ใหญ่ท่านจะได้หายไวๆอย่างไรล่ะ” แววตามุ่งมั่นของเฟิ่งชิงเฉินบอกให้หวังชีรู้ว่านางจะไม่ยอมลดละสิ่งใดเป็นอันขาด
“เจ้า……” หวังชีโมโหจนอยากจะฉีกกระดาษทิ้ง แต่ก็อดเสียดายภาพโครงร่างที่ตัวเองเขียนขึ้นมาไม่ได้
“เอาล่ะๆ อย่าพูดมากเลย ยังเหลืออีกนิดเดียวจริงๆ ถ้าทำเสร็จแล้วเดี๋ยวเราก็ไปสืบเรื่องการพนันกัน ใช้โอกาสนี้หาเงินให้มากๆ” เฟิ่งชิงเฉินยิ้มปลอบใจหวังชี
นี่มันตบหัวแล้วลูบหลังชัดๆ
“ข้าอดทนกับเจ้ามามากแล้ว ต่อไปข้าจะไม่มีวันร่วมงานกับเจ้าอีก ผู้หญิงนี่เรื่องมากจริงๆเลย” หวังชีกัดฟัน แล้วขีดเขียนตามเฟิ่งชิงเฉินต่อ
การเขียนภาพทุกชนิด ควรใช้ใจที่สงบนิ่ง แต่หวังชีในตอนนี้อยู่ห่างจากคำว่าจิตใจสงบนิ่งไกลมาก ดีที่หวังชีพอจะมีฝีมือการวาดภาพ แล้วการวาดโครงสร้างบ้านเรือนก็ไม่ต้องใช้จิตวิญญาณอะไรนัก ไม่นานนัก ห้องผ่าตัดในอุดมคติของเฟิ่งชิงเฉินก็ถูกหวังชีวาดออกมาอย่างสวยงาม
เฟิ่งชิงเฉินพึงพอใจมาก นางค่อยๆหยิบกระดาษขึ้นมาดูอย่างทะนุถนอม นางแทบไม่อยากวางลงเลย “หวังชี ท่านเก่งจริงๆเลย วาดได้เหมือนจริงมาก สวยจัง”
เมื่อเทียบกันแล้ว ภาพที่นางวาดดูไม่ได้เลยจริงๆ
“สวยอะไรล่ะ ดูแข็งทื่อจะตายไป ดูเงียบเชียบไร้ชีวิตชีวา วาดห้องไม่สวยเลย” หวังชีทำหน้าลำพองใจ แต่ทว่าปากนั้นกลับเจียมเนื้อเจียมตัว
“ท่านไม่เข้าใจหรอก นี่แหละสิ่งที่ข้าต้องการ ห้องที่เงียบเชียบแบบนี้แหละที่จะทำให้ข้าจิตใจสงบนิ่ง” เฟิ่งชิงเฉินไม่สนใจหวังชีแล้ว นางถือแผ่นกระดาษแล้วเตรียมไปหาคนมาสร้างห้องด้วยความสบายใจ
หวังจิ่นหลิง ข้าจะต้องทำให้ดวงตาของท่านกลับมามองเห็นให้ได้เลย
ในขณะที่เฟิ่งชิงเฉินกำลังหลงใหลได้ปลื้มอยู่นั้น องค์หญิงอันผิงผู้ซึ่งเชิญชวนให้เฟิ่งชิงเฉินไปร่วมงานเทศกาลดอกท้อวันที่ 3 เดือน 3 ก็กำลังเดือดปุดๆในตำหนัก นางขว้างปาข้าวของด้วยความไม่พอใจ
“เฟิ่งชิงเฉิน เจ้ามีสิทธิ์อะไร เจ้ามีสิทธิ์อะไร คุณชายใหญ่ถึงได้ยอมลดตัวไปยุ่งกับจวนเฟิ่งของเจ้า แถมยังไม่เห็นแก่ชื่อเสียงตระกูลหวัง”
เพล้ง……แจกันทรงสูงใหญ่เกือบเท่าครึ่งของส่วนสูงคนแตกกระจายลงบนพื้น
“เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าเป็นใครถึงถือดีขนาดนี้ เจ้าไม่คู่ควรแม้แต่จะพูดคุยกับคุณชายใหญ่ด้วยซ้ำ”
“องค์หญิงเพคะ องค์หญิง……” เหล่านางกำนัลตัวสั่นงันงก พวกนางยืนหลบอยู่มุมห้อง ไม่กล้าเข้ามาใกล้องค์หญิง แต่ก็เป็นห่วงว่าเศษแก้วจะทำให้องค์หญิงบาดเจ็บ
“ไสหัวไป ไป ไปให้พ้น ออกไป……”
องค์หญิงอันผิงตวาดเสียงดังลั่น เลือดของนางเริ่มไหลออกจากเท้า
“เร็วเข้า รีบไปตามหมอหลวง องค์หญิงทรงได้รับบาดเจ็บ” เหล่านางกำนัลต่างพากันแตกตื่น นางพาองค์หญิงอันผิงขึ้นไปพักบนเตียง แล้วรีบเก็บกวาดเศษแก้วบนพื้น
หมอหลวงและหมอหญิงรีบมา หลังจากที่ทำแผลให้องค์หญิงอันผิงเสร็จแล้ว หมอหลวงก็บอกว่า “บาดแผลใหญ่มาก ต่อไปนี้ใต้ฝ่าพระบาทขององค์หญิงจะต้องมีแผลเป็นไปตลอดนะพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อองค์หญิงอันผิงได้ยินดังนั้นแล้วก็ร้องห่มร้องไห้จนเกือบหมดสติ เมื่อฮองเฮาทรงทราบข่าวก็รีบเสด็จมา แล้วทรงสั่งให้โบยนางกำนัลทั้งหมดจนถึงแก่ความตาย ด้วยโทษฐานบกพร่องในการดูแลองค์หญิง
เหล่านางกำนัลต่างพากันร้องไห้และวิงวอนขอความเมตตา แต่องค์หญิงอันผิงหาได้สนใจไม่ นางกอดฮองเฮาแล้วร้องไห้ฟูมฟาย “เสด็จแม่เพคะ เสด็จแม่ หม่อมฉันจะทำอย่างไรดี หม่อมฉันจะทำอย่างไรดี”
“เอาล่ะๆ ก็แค่รอยแผลเป็นเพียงรอยเดียว อยู่ใต้ฝ่าเท้ามองไม่เห็นหรอก ไม่มีผลต่อการเลือกคู่ครองเจ้าหรอกนะ” ฮองเฮาทรงปวดพระเศียรจะแย่อยู่แล้ว แต่ก็ยังต้องมาโอ๋ลูกสาวอีก
“เสด็จแม่……” องค์หญิงอันผิงน้ำตานองหน้า นางซบอกเสด็จแม่ ดวงตาที่มีน้ำตาไหลอาบไม่ได้ดูสุกใส แต่กลับแฝงไปด้วยความมุ่งร้าย “เสด็จแม่ ทรงสั่งประหารเฟิ่งชิงเฉินได้ไหมเพคะ หม่อมฉันไม่อยากเห็นหน้านางเลย”
“อันผิง หุบปาก” เมื่อฮองเฮาทรงได้ยินชื่อนั้นก็ทรงกริ้วในทันที
“ทำไมล่ะเพคะ เสด็จแม่ ก็แค่ผู้หญิงเหลือขอเพียงคนเดียว เสด็จแม่ทรงช่วยข้าไม่ได้หรือ ฆ่านางเสียได้หรือเปล่าเพคะ?” องค์หญิงอันผิงหยุดร้องในทันทีหลังจากที่โดนเสด็จแม่ดุไป แต่ก็มิวายมาออดอ้อนเบาๆ
ฮองเฮาถึงกับกุมขมับ “อันผิง อย่าเอาแต่ใจสิ เสด็จพ่อของเจ้าไม่ได้อยากฆ่านาง พี่ชายเจ้าก็ไม่รู้ว่าอย่างไร มาห้ามแม่ไม่ให้ลงมือทำอะไรนางอยู่นั่นแหละ”
“เป็นไปได้อย่างไรกัน?” องค์หญิงอันผิงกระแทกตัวนั่งลงไปบนเตียง โดยไม่สนว่าเท้าตัวเองจะเจ็บอยู่ “เสด็จแม่เพคะ เฟิ่งชิงเฉินมีดีตรงไหน ทำไมเสด็จพ่อไม่ทรงสั่งประหารนาง? เสด็จพี่ก็เกลียดนางจะตายไป ทำไมถึงไม่ฆ่านางล่ะ ไหนจะคุณชายใหญ่แห่งตระกูลหวังอีก ทำไมต้องช่วยนางด้วยล่ะเพคะ”
ประโยคท้ายสุดคือประเด็นสำคัญ
“เรื่องพวกนี้เจ้าไม่ต้องยุ่งหรอก พักฟื้นให้ดีๆ อีก 3 วันก็จะถึงเทศกาลดอกท้อแล้ว อันผิง หากเจ้าอยากให้เฟิ่งชิงเฉินตาย ก็ให้นางมาตายในงานเทศกาลดอกท้อสิ” ฮองเฮาตรัสด้วยน้ำเสียงที่แน่นิ่ง ในสายพระเนตรของนางนั้น เฟิ่งชิงเฉินก็เป็นแค่มดตัวเดียวเท่านั้น ครั้งก่อนปล่อยนางรอดไปได้ ครั้งนี้ไม่มีทางอย่างเด็ดขาด
“ไม่ ไม่ได้นะเพคะเสด็จแม่ หากเฟิ่งชิงเฉินตายแล้ว ใครจะรักษาดวงตาให้คุณชายใหญ่ล่ะเพคะ ไหนๆนางก็ต้องตาย ก่อนตายก็ให้นางช่วยรักษาดวงตาคุณชายใหญ่ให้หายก่อนนะเพคะ” อันผิงกล่าวพร้อมกับส่ายหน้า
“อันผิง ต่อให้เจ้าจะดื้อดึงแค่ไหน แม่ก็ไม่ให้เจ้าแต่งงานกับตระกูลหวังหรอกนะ” ฮองเฮาทรงลุกขึ้นด้วยสีพระพักตร์ตึงเครียด
ความคิดของอันผิง มีหรือนางจะไม่ทรงทราบ
“ทำไมล่ะเพคะ? เสด็จแม่ ถ้าหากว่าดวงตาของคุณชายใหญ่หายดีแล้ว เขาก็คือผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลหวังเลยนะเพคะ หากหม่อมฉันได้แต่งงานกับเขาก็ไม่ถือว่าน้อยหน้านะเพคะ”
“อันผิง เรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าจะตัดสินใจได้ จำคำของแม่ไว้ เฟิ่งชิงเฉินตายได้ แต่การตายของนางจะให้มาพัวพันกับพวกเราไม่ได้ เอาล่ะ เรื่องอื่นๆเจ้าไม่ต้องไปสนใจ รักษาแผลของตัวเองให้ดี อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันงานเทศกาลดอกท้อแล้ว” เมื่อฮองเฮาตรัสถึงประโยคนี้แล้วก็เสด็จกลับตำหนัก
ระหว่างทาง นางก็ได้พบกับตงหลิงจื่อลั่วที่กำลังไปดูอาการอันผิง นางรีบสั่งให้คนไปขวางไว้
“จื่อลั่ว อันผิงไม่เป็นไรแล้ว ไป ไปคุยเป็นเพื่อนแม่หน่อย”
ตงหลิงจื่อลั่วพยักหน้า ชุดสีม่วงที่เขาสวมใส่มาช่างดูสง่างามเหลือเกิน
เมื่อฮองเฮาได้ทอดพระเนตรลูกชายคนนี้แล้ว สายพระเนตรของนางก็เปี่ยมไปด้วยความภาคภูมิใจ แต่นางก็รีบเก็บความรู้สึกนั้นไว้ไม่ให้แสดงออกมาอีก
หลังจากที่ฮองเฮาเสด็จกลับมาถึงตำหนักแล้ว ก็ทรงสั่งให้เหล่าขันทีและนางกำนัลออกไปข้างนอกให้หมด แล้วจึงตรัสว่า “จื่อลั่ว เรื่องที่ตระกูลหวังหนุนหลังเฟิ่งชิงเฉิน เจ้าคิดเห็นอย่างไร?”
“จิ้งจอกเฒ่าอย่างหวังซู่ไม่มีทางทำเรื่องที่สูญเสียผลประโยชน์อยู่แล้ว เรื่องนี้จะต้องมีผลประโยชน์อยู่เบื้องหลังแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ” ตงหลิงจื่อลั่วสีหน้านิ่งเฉยแต่ก็ขมวดคิ้ว ดูก็รู้ว่าเขาหงุดหงิดกับเรื่องนี้พอสมควร
เขาคอยกดเฟิ่งชิงเฉินให้จมดิน แต่ตระกูลหวังกลับคอยผลักดันนาง นี่เป็นการแสดงจุดยืนว่าต้องการตั้งตัวเป็นศัตรูกันชัดๆ
“เฟิ่งชิงเฉินนางมีอะไรดี ทำไมตระกูลหวังถึงได้ออกหน้าให้กับนาง หรือว่าตระกูลหวังเพียงอยากใช้โอกาสนี้เพื่อแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่ต้องการยืนฝั่งเดียวกันกับเรา” ฮองเฮาก็ทรงกลัดกลุ้มไม่แพ้กัน เรื่องนี้ดูยุ่งยากและซับซ้อนเหลือเกิน
การที่ตระกูลหวังออกหน้า ทำให้ในวังหลวงเริ่มอยู่ไม่สุขแล้ว
ตระกูลหวังไม่ใช่พวกพ้องขององค์ชายเจ็ด ด้วยเหตุนี้ องค์ชายคนอื่นๆอาจจะไปเข้าพวกกับตระกูลหวังก็เป็นได้ รวมถึงองค์รัชทายาทด้วย
“เสด็จแม่ หากเฟิ่งชิงเฉินสามารถทำให้ดวงตาของหวังจิ่นหลิงกลับมามองเห็นได้ ก็เป็นไปได้ว่านางอาจจะสามารถรักษารัชทายาทได้เช่นกัน ใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” ตงหลิงจื่อลั่วคาดการณ์ด้วยความฮึกเหิม
สิ่งที่เขาปรารถนาคือการทำให้รัชทายาทอายุสั้น เมื่อเฟิ่งชิงเฉินรักษาอาการป่วยให้รัชทายาทได้สำเร็จ รัชทายาทก็จะต้องเป็นคู่แข่งเขาต่อไป
หากเป็นเช่นนั้นแล้ว เฟิ่งชิงเฉิน เศษฝุ่นใต้ส้นเท้าของเขาคนนี้ ก็จะกลายเป็นที่น่าแห่แหนของตงหลิงในที่สุด
สีพระพักตร์ของฮองเฮาพลันเปลี่ยนไป “จื่อลั่ว จะเก็บเฟิ่งชิงเฉินเอาไว้ไม่ได้นะ”
“คงงั้นพ่ะย่ะค่ะ นางไม่ได้มีความสามารถขนาดนั้น รัชทายาทป่วยเป็นโรคหัวใจ แต่ไหนแต่ไรมาก็ยังไม่เคยมีใครสามารถรักษาโรคหัวใจให้หายได้” ตงหลิงจื่อลั่วพยายามปลอบโยนฮองเฮา ในขณะเดียวกันเขาก็ไม่เชื่อว่าคนอย่างเฟิ่งชิงเฉินจะเก่งกาจขนาดนั้น
หัวใจของรัชทายาท มีรูโหว่อยู่รูหนึ่ง ต่อให้เฟิ่งชิงเฉินจะเป็นหมอเทวดา ก็ไม่มีทางควักหัวใจของรัชทายาทออกมารักษาและเก็บกลับไปไว้ที่เดิมได้แน่นอน!
บทที่ 64 แทงพนัน

บทที่ 066 ความเคลื่อนไหว