เงามารปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง
เมื่อได้ยินคำพูดของหล่งตง แววตาของหานลี่พลันฉายแววสดใส แต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา สตรีและชายหนุ่มคิ้วขาวมองสบตากันแวบหนึ่ง ดูเหมือนว่าจะรู้สึกว่ามีเหตุผลจึงไม่ได้เอ่ยคัดค้านออกมา
กลับเป็นหญิงสาวชุดขาวที่กะพริบดวงตาคู่งามปริบๆ ฉับพลันนั้นพลันเอ่ยปากขึ้นว่า
“ที่นี่มีผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่นๆ ปรากฏตัว มันแปลกไปสักหน่อย พวกเราเองยังเร่งเดินทาง อย่าหาเรื่องใส่ตัวเลย”
“ก็เพราะแปลก ถึงได้ต้องไปหาสาเหตุที่คนเหล่านี้มาปรากฏตัวที่นี่นะสิ อย่างมากพวกเราก็ไม่ต้องเข้าไปในเมือง แค่สอบถามอยู่ด้านนอกก็พอแล้ว หากเกิดอะไรขึ้น ก็ไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวอะไร เมื่อครู่พี่หลี่ไม่ได้พูดหรือว่าในเมืองไม่มีผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตา เดินทางอีกสองสามวันพวกเราก็จะต้องเข้าไปในเส้นทางสวรรค์แล้ว สภาพแวดล้อมที่นั่นอันตรายเป็นอย่างยิ่ง หากมีอะไรที่เราไม่รู้เกิดอยู่แถวๆ นี้ พวกเราคงจะเพลี่ยงพล้ำอยู่ในนั้นจริงๆ ต้องระวังไว้ก่อน!” หล่งตงหน้าเปลี่ยนสี แต่เมื่อขบคิดชั่วครู่ ก็ยังคงสั่นศีรษะ
“จากคำพูดของพี่หล่ง ก็เป็นไปได้ เอาเช่นนี้ก็แล้วกัน พวกเราไปดูอยู่ห่างๆ ดูสักรอบ อย่าทำให้ผู้บำเพ็ญเพียรด้านในรู้ตัว หลังจากไม่มีปัญหาอะไรแล้วจริงๆ ค่อยปรากฏตัวก็ไม่สาย” เสี่ยวหงเอ่ยข้อเสนอขึ้น
“เช่นนั้นก็ดี จะยิ่งปลอดภัยหน่อย” หล่งตงดูเหมือนจะคิดว่าความคิดของสตรีผู้นี้ไม่เลว จึงพยักหน้าหงึกหงัก
หานลี่ลูบใต้คาง ส่วนหญิงสาวชุดขาวพลันฉีกยิ้มเบิกบาน ทั้งสองคนไม่ได้เอ่ยปากอะไรอีก
เช่นนั้นพวกเขาจึงเปลี่ยนทิศทาง อำพรางลำแสงหลีกหนีอีกครั้ง แล้วพุ่งตรงไปยังเมืองเล็กๆ อย่างเงียบเชียบ
จากพลังยุทธ์ของพวกเขา ถึงแม้ว่าจะลดความเร็วในการเคลื่อนที่ลงไม่น้อย แต่ระยะห่างสองสามร้อยลี้ ก็ยังคงมาถึงในชั่วพริบตา
ไกลออกไปบนพื้นมีจุดสีเขียวปรากฏขึ้น หลังจากเข้าใกล้อีกนิด ก็มองเห็นอย่างชัดแจ้ง
คาดไม่ถึงว่าจะเป็นทวีปสีเขียวที่ขนาดไม่เล็กเลย รอบด้านไม่เพียงจะมีพุ่มไม้เตี้ยๆ ปลูกอยู่ ตรงใจกลางยักษ์มีบึงน้ำรัศมีความกว้างสองสามลี้อยู่บึงหนึ่ง
ริมบึงน้ำ มีเมืองเล็กๆ ขนาดพื้นที่ไม่ใหญ่นักอยู่แห่งหนึ่ง รอบด้านถูกกำแพงหินสีขาวสูงสองสามจั้งล้อมเอาไว้ มีเพียงฝั่งที่พวกของหานลี่อยู่ถึงจะมีประตูเมืองขนาดยักษ์ความกว้างสิบจั้งเศษอยู่บานหนึ่ง ตรงประตูเมืองมีคนสวมชุดสีเหลืองสิบกว่าคนยืนรักษาการณ์อยู่ ล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างปราณ
ด้านนอกเมืองใกล้ๆ กับบึงน้ำ มีคนธรรมดาที่ไม่มีพลังลมปราณเลยสักนิดเคลื่อนไหวอยู่ ดูเหมือนกำลังค้อมตัวลงปลูกอะไรสักอย่างหนึ่ง
ลําแสงหลีกหนีของหานลี่หยุดชะงัก แล้วหยุดลงจากนั้น พลันกวาดจิตสัมผัสไปที่เมืองเล็กๆ แห่งนั้นอย่างเงียบเชียบ
หล่งตงและพวกที่อยู่ด้านข้างเห็นทุกอย่างนี้ ต่างก็สำแดงเคล็ดวิชาลับของตัวเองออกไปตรวจสอบเช่นกัน
“ไม่ผิด คนเหล่านี้คือคนของเผ่ามนุษย์ ไม่ว่าคนธรรมดาหรือว่าผู้บำเพ็ญเพียรก็ไม่มีความผิดปกติอะไร ในเมืองยังมีผู้บำเพ็ญเพียรอยู่ไม่น้อย ระดับเทพแปลงมีมากกว่าเจ็ดแปดคน ระดับหลอมสุญตานั้นไม่ใช่ว่าไม่มี แต่เก็บกลิ่นอายอำพรางตนเอาไว้ ครานี้จึงยังไม่พบ” หลังจากที่เสี่ยวหงสำแดงเคล็ดวิชาลับตรวจสอบไปแล้ว ถึงได้ถลึงตาเอ่ยด้วยความรอบคอบ
“ดูแล้วปกติจริง! สหายผู้อื่นพบอะไรหรือไม่?” แววตาของหล่งตงมองไปยังเมืองเล็กๆ ด้วยความฉงนชั่วครู่ แล้วถึงได้เอ่ยซักถามขึ้นมาหนึ่งประโยค
“รอบด้านของเมืองแห่งนี้ไม่มีเขตอาคมเคลื่อนไหวอยู่ ใกล้ๆ ก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีเขตอาคม และยิ่งไปกว่านั้นเหล่าสหายพบหรือไม่ว่า อุณหภูมิของที่นี่ดูเหมือนว่าจะเย็นสบายเป็นอย่างมาก ไม่เหมือนที่อื่นที่ร้อนฉ่า” ชายหนุ่มคิ้วขาวเอ่ยขึ้นหลังจากที่ตรวจสอบเสร็จ
“แปลกจริงๆ! แต่ในเมื่อด้านในมีทวีปสีเขียว ก็เป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่ออยู่แล้ว มันหมายถึงอะไร” สตรีเอ่ยอย่างขบคิด
“เหตุใดต้องยุ่งยากขนาดนั้น! เหล่าสหายเข้าไปคุยกันในเมืองก็ได้แล้ว
เสียงที่ไม่คุ้นเคยดังขึ้นเหนือหัวของทุกคน
หานลี่และพวกพลันตกตะลึง เงาร่างคนเปล่งแสงสว่างวาบอย่างไม่ต้องขบคิด ชั่วพริบตาทุกคนก็แตกฮือออก ทยอยกันปรากฏตัวห่างออกไปยี่สิบสามสิบจั้ง จากนั้นถึงได้มองขึ้นไปบนฟ้าอย่างระมัดระวัง
เห็นเพียงบนท้องฟ้ามีนักพรตชราสวมชุดสีม่วงคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ หน้าตายิ้มแย้มเป็นมิตร กำลังมองมาทางพวกเขาอย่างใจดี
แต่สิ่งที่ทำให้เหล่าสตรีใจหายวาบก็คือ นักพรตผู้นี้คือผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตาขั้นกลาง โชคดีที่อีกฝ่ายเป็นผู้บำเพ็ญเพียรเผ่ามนุษย์ มิเช่นนั้นเกรงว่าทุกคนคงแตกกระเจิงในทันที
สายตาของหล่งตงที่มองไปยังนักพรตเต็มไปด้วยความตะลึงงัน ส่วนลึกในนัยน์ตาฉายแววผิดหวังออกมาเล็กน้อย
“คารวะท่านอาวุโส! ไม่ทราบว่าท่านอาวุโสคือผู้ใด เหตุใดถึงมาปรากฏตัวที่นี่?” เสี่ยวหงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง แล้วเอ่ยถามด้วยความนอบน้อม
“ที่แท้ก็สหายเผ่าหงส์ทมิฬ ตาเฒ่าอรหันต์เมฆาม่วง เมืองแห่งนี้เป็นเมืองที่เผ่าตาเฒ่าสร้างขึ้น เหล่าสหายอาจจะมีข้อสงสัย แต่ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่จะมาพูดคุยกัน ตามข้าเข้าไปในเมืองเป็นอย่างไร” นักพรตวัยชราฉีกยิ้มน้อยๆ มือหนึ่งผายมือออกไปเป็นการเชื้อเชิญ
“อรหันต์เมฆาม่วง?”
สตรีเห็นอีกฝ่ายมองปราดเดียวก็รู้ภูมิหลังของตนเอง ก็อดที่จะใจหายวาบไม่ได้ ทันใดนั้นก็มองสบตากับหล่งตงแวบหนึ่ง
ทั้งสองคนรู้สึกว่าชื่อของคนผู้นี้ไม่คุ้นเคยเลย ดูเหมือนจะไม่เคยได้ยินมาก่อน เมื่ออีกฝ่ายเชื้อเชิญ แน่นอนว่าจึงเผยสีหน้าลังเลออกมา
“เหล่าสหายไม่จำเป็นต้องกังวล ตาเฒ่ารักสันโดษ จึงไม่ค่อยมีความสัมพันธ์กับผู้ใดนัก ดังนั้นจึงไม่ค่อยมีใครรู้จักชื่อเสียงของตาเฒ่า เหล่าสหายอยากข้ามเส้นทางสวรรค์สินะ! เช่นนั้นละก็ ยิ่งต้องไปฟังตาเฒ่าดูสักหน่อย ช่วงนี้เส้นทางสวรรค์เกิดเหตุเภทภัยขึ้น หากเหล่าสหายเข้าไป จะอันตรายมาก” นักพรตชราดูเหมือนจะมองความกังวลของเหล่าสตรีออก จึงเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจ
เมื่อได้ยินอรหันต์เมฆาม่วงกล่าวเช่นนี้ ถึงแม้ว่าจะไม่อาจกำจัดความกังวลของพวกของหล่งตงได้หมด แต่ก็รู้สึกผ่อนคลายลงเล็กน้อย แต่เมื่อได้ยินว่าเส้นทางสวรรค์มีปัญหา สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
“ในเมื่อท่านอาวุโสมีเมตตาเช่นนี้ เหล่าชนรุ่นหลังก็ไม่กล้าเสียมารยาทได้” ถึงแม้ว่าหล่งตงจะเปลี่ยนใจ ไม่อยากเข้าไปในเมือง แต่เมื่อเผชิญหน้ากับคำเชิญประเภทนี้ของผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตา ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจปฏิเสธได้ จึงทำได้เพียงตอบตกลงอย่างใจดีสู้เสือ
เห็นหล่งตงกล่าวเช่นนี้ หานลี่และพวกก็ยิ่งไม่มีข้อโต้แย้ง จึงทำได้เพียงทำความเคารพนักพรตชราแล้วต่างตกลง
รอยยิ้มบนใบหน้าของอรหันต์เมฆาม่วงยิ่งดูสนิทสนมมากขึ้นเรื่อยๆ ร่อนลำแสงหลีกหนีลงพร้อมกับเปล่งเสียงหัวเราะเบาๆ แล้วพาทุกคนตรงไปยังประตูเมือง
ทุกคนเห็นเช่นนั้นก็ไม่อาจขับเคลื่อนลำแสงหลีกหนีตามไปได้ จึงทำได้เพียงสำแดงเคล็ดวิชาตัวเบาออกมา แล้วตามนักพรตชราไป
ระยะทางที่ดูเหมือนไกล แต่ภายใต้การเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้าแต่ความจริงแล้วรวดเร็วมากของพวกเขา ก็ทำให้เข้ามาใกล้ทวีปสีเขียวได้ภายในชั่วครู่ แม้กระทั่งเด็กน้อยที่เล่นกันอยู่ริมบึง ก็ยังมองเห็นได้อย่างชัดเจน
“เหล่าสหายเห็นเรื่องน่าขันเสียแล้ว เผ่าของตาเฒ่าเพิ่งจะย้ายมาที่นี่ได้ไม่นาน จึงต้องพาลูกเด็กเล็กแดงคนธรรมดาเหล่านี้มาด้วย ที่นี่ไม่มีสิ่งอื่น จะมีก็แต่ผลวิญญาณที่หายากอยู่สองสามชนิด เหล่าสหายต้องลองชิมสักหน่อย” ตาเฒ่าอธิบายด้วยรอยยิ้ม
หล่งตงและสตรีถึงได้รู้สึกคลายข้อสงสัยลง
ชั่วพริบตานั้นพวกเขาก็เข้ามาประชิดประตูเมือง ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างปราณที่รักษาการณ์อยู่ คารวะให้ทุกคน แล้วแยกออกเป็นสองแถว เปิดทางเดินให้
นักพรตสะบัดแขนเสื้อ เดินนำไปก่อน
สายตาของพวกของหล่งตงกวาดไปบนร่างของผู้รักษาการณ์ เห็นพวกเขามีเพียงสีหน้านอบน้อม ไม่มีสีหน้าผิดแผกใดๆ ก็เดินตามไปเช่นกัน
หานลี่เองก็เดินผ่านตรงกลางของผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างปราณสองคนไปอย่างช้าๆ ด้วยสีหน้าราบเรียบ
ทุกอย่างดูปกติมาก!
แต่ในตอนนั้นเอง ฉับพลันนั้นกลางอากาศก็มีเสียงไพเราะดังขึ้น เปลวเพลิงสีเงินกลุ่มหนึ่งพุ่งออกมา เสียงอึกทึกดังขึ้น โจมตีไปยังผู้บำเพ็ญเพียรที่อยู่ด้านข้าง
ชั่วพริบตาที่เปลวเพลิงสีเงินขยายใหญ่ขึ้น ชั่วครู่ก็ห่อหุ้มคนผู้นั้นเอาไว้
สตรีและพวกเห็นเช่นนั้นพลันตกตะลึงจนอ้าปากค้าง
“นายท่านมีเจตนาใด ตาเฒ่าต้อนรับพวกเจ้าด้วยความยินดี คาดไม่ถึงว่าจะกล้าลงมือกับชนรุ่นหลังของอาตมา” นักพรตชราที่เดินอยู่หน้าสุดตะโกนออกมาด้วยหน้าที่เปลี่ยนสี ร่างกายพลิ้วไหวสาวเท้ายาวๆ มา คาดไม่ถึงว่าจะมาปรากฏตัวตรงหน้าของหานลี่ในชั่วครู่ ชูมือหนึ่งขึ้น มือยักษ์ย้อมไปด้วยลำแสงสีแดงตะปบไปทางศีรษะของหานลี่
หานลี่ที่เดิมทีมีสีหน้าแปลกประหลาด แต่หลังจากที่เปลวเพลิงสีเงินห่อหุ้มผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างปราณผู้นั้นแล้ว ชั่วพริบตาก็นั้นก็เผยสีหน้าถึงบางอ้อขึ้นมา แต่ในครานั้น มือยักษ์ลำแสงสีแดงก็ห่อหุ้มร่างของเขาเอาไว้แล้ว พลังมหาศาลที่ไร้รูปร่างรัดร่างกายของเขาแน่น ราวกับว่าแรงกดพันจวินอย่างไรอย่างนั้น
หากเป็นผู้บำเพ็ญเพียรธรรมดา ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ไม่ต้องพูดถึงการหลบหนี เกรงว่าแม้แต่ปากก็ไม่อาจอ้าออกได้ แต่หานลี่กลับเป็นผู้ฝึกตนคู่บำเพ็ญเพียร ประกอบกับผลเกล็ดมังกร ไข่มุกซากสวรรค์ คาถาชุบกระดูก ถึงแม้ว่าจะไม่ต้องใช้เคล็ดวิชาพราหมณ์มารเที่ยงแท้ ความแข็งแกร่งของร่างกายก็เหนือกว่าชายหนุ่มคิ้วขาวและเสี่ยวหงหลายเท่า
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ พลังมหาศาลสำหรับผู้บำเพ็ญเพียรธรรมดาๆ แล้ว เขากลับแค่ไหล่สะท้าน ร่างกายบิดเบี้ยวไปเล็กน้อย แล้วหายวับไปจากที่เดิม ครู่ต่อมา คนก็มาปรากฏตัวห่างออกไปยี่สิบจั้งเศษ
นั่นก็คือวิชาเก้าวายุแปรปรวน
จากสถานการณ์ร่างกายและพลังยุทธ์ของเขาในครานี้ ถึงแม้ว่าจะไม่ต้องใช้ปีกวายุอสนี ก็สำแดงวิชานี้ออกมาได้อย่างง่ายดาย
“รีบหนีเร็ว พวกเขาเป็นหุ่นเชิดที่ถูกเผ่าเงาสิง” หานลี่หนีออกมาได้ ปากก็ร้องตะโกนออกมา ทันใดนั้นร่างกายก็พลิ้วไหว กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวสายหนึ่งพุ่งแหวกออกไป
แทบจะในเวลาเดียวกัน ผู้บำเพ็ญเพียรที่ถูกเปลวเพลิงห่อหุ้มอยู่ก็เปล่งเสียงร้องคร่ำครวญด้วยความเจ็บปวดออกมา ฉับพลันนั้นเงาสีเทาสายหนึ่งพลันพุ่งออกมาจากร่าง แต่เมื่อเงาสัมผัสกับเปลวเพลิงสีเงิน ชั่วพริบตาก็ถูกเผาไหม้ ถูกกลืนกินไปจนเกลี้ยง
จากหานลี่ที่พุ่งออกมาจากเปลวเพลิงสีเงิน จนถึงตอนที่ชายชราลงมือโจมตีกลับและถูกเขาหนีออกมาได้นั้นเป็นแค่ชั่วพริบตาเท่านั้น
สตรีและพวกของหล่งตงพลันรู้สึกงุนงง ยังไม่ทันได้เข้าใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ก็ได้ยินเสียงร้องเตือนของหานลี่ เมื่อมองเห็นในเปลวเพลิงสีเงินมีหุ่นเชิดเงาปรากฏขึ้น ไหนเลยจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น สีหน้าพลันซีดเผือด
“ไป!”
แทบจะไม่ต้องให้ผู้ใดออกคำสั่ง ทั้งสี่คนมีลำแสงวิญญาณเปล่งประกาย กลายเป็นสายรุ้งพุ่งแหวกผ่านอากาศไป
นักพรตชราเห็นหานลี่หนีไปจากเงื้อมมือของตนเองได้ พลันตะลึงงัน เมื่อเห็นคนอื่นๆ คิดจะหนี ทันใดนั้นก็แค่นเสียงด้วยความเย็นชาขึ้นจมูก สะบัดแขนเสื้อลำแสงหลีกหนีสายหนึ่งพุ่งออกมา
ฉับพลันนั้นเส้นไหมสีแดงจำนวนนับไม่ถ้วนที่พวยพุ่งออกมาจากแขนเสื้อ พลันรัดลำแสงหลีกหนีเอาไว้แน่น จากนั้นพลันดึงกลับมา คาดไม่ถึงว่าจะลากลำแสงหลีกหนีกลับมาจากกลางอากาศ
ลำแสงวิญญาณสลายออก ในเส้นไหมสีแดงจำนวนนับไม่ถ้วนมีเจ้าของลำแสงหลีกหนีที่มีสีหน้าตกตะลึงระคนโกรธเกรี้ยวปรากฏขึ้น