นางตกใจแล้วรู้สึกตัวขึ้นมากะทันหัน มองเห็นแววตาแปลกประหลาดของทุกคนที่อยู่รอบด้านจึงผลักเหยียลี่ว์ฉีออกทันที ฉวยโอกาสหมอบลงข้างหลังโต๊ะ
ไม่รู้สึกอัปยศอดสูด้วยซ้ำ ความอัปยศอดสูที่สุดคือการถูกหลอกลวงโดยไม่รู้อะไรเลย คือการถูกบีบคั้นให้จนปัญญาโดยสิ้นเชิง หากภายในใจมีวิสัยทัศน์ ทำอะไรก็เป็นเพียงขั้นตอน
เหยียลี่ว์ฉีถูกนางผลักเพียงครั้ง คราวนี้จอนผมงดงามบนศีรษะก็เอนเอียงขึ้นมาจริงๆ แล้ว ปิ่นระย้าห้อยพู่ร่วงหล่นดังตุ้บเสียงหนึ่ง กลิ้งสู่ตรงกลางพรม
ยามนี้ไม่สะดวกจะไปเก็บเช่นกัน ดึงดูดความสนใจของผู้อื่นมากพอแล้ว หากโผล่หน้าอีกก็เท่ากับตนเองรนหาเรื่องตาย ทั้งสองคนต่างก้มหน้าลงคล้ายมองไม่เห็น
ท่ามกลางความเงียบสงัดนี้ หางตาของจิ่งเหิงปัวก็มองเห็นชายผ้าขาวราวหิมะของกงอิ้นค่อยๆ กวาดผ่านตรงหน้าตนเอง ไม่ได้หยุดยั้งด้วยซ้ำ
นางค่อยๆ พ่นลมหายใจยืดยาวอยู่ในใจ แอบชื่นชมว่าฝีมือแปลงโฉมของเจ็ดสังหารประณีตสุดยอด
ชายผ้าขาวราวหิมะผืนนั้นกวาดผ่านไปปานหมอกควันแล้ว สายตาของจิ่งเหิงปัวเฉียดผ่านบนพรมที่ว่างเปล่า รู้สึกได้ทันทีว่ามีอะไรผิดปกติ
ปิ่นระย้าห้อยพู่ที่กลิ้งไปบนพรมเมื่อครู่นี้ล่ะ?
ถูกเหยียบเข้าแล้วเหรอ? ทำไมไม่มีเสียงดังเลย?
จากนั้นนางก็มองเห็นข้างใต้ชายผ้าสยายยาวกรอมพื้นของกงอิ้นพลันมีหมอกควันสีชมพูอ่อนเจือสีทองฟุ้งกระจายขึ้นมา
จิ่งเหิงปัวมองดูฝีเท้าของทุกคนที่ผ่านไปอย่างงงงวย ปิ่นระย้าห้อยพู่หายไปแล้ว
กงอิ้นเหยียบปิ่นระย้าจนกลายเป็นฝุ่นสีชมพูในเท้าเดียว?
ในใจของนางเยือกเย็นสุดขั้วขึ้นมาทันที
เป็นเรื่องบังเอิญหรือว่า…
…
โชคดีที่แม้ปิ่นระย้าจะหายไปจนทำให้นางหวาดผวาเล็กน้อย แต่กงอิ้นที่ตามมาไม่รู้สึกผิดปกติอะไร เขากับสามีภรรยากษัตริย์แคว้นเซียงเอ่ยวาจามงคลอวยพรก่อนดื่มสุราบนตำหนักตามลำดับ ดื่มคารวะสามีภรรยากษัตริย์แคว้นเซียง ดื่มคารวะทั้งบนทั้งล่างตำหนัก แขกทุกคนลุกขึ้นแสดงความยินดี พิธีกรรมทุกขั้นตอนเสร็จสิ้น ไม่ได้มองทางจิ่งเหิงปัวนี้สักปราดเดียวตั้งแต่ต้นจนจบ แท้จริงแล้วคงมองไม่ค่อยเห็น อยู่ห่างไกลกันเหลือเกิน
คราวนี้จิ่งเหิงปัวมองเห็นเฟยหลัวแล้ว นางนั่งอยู่แถวหน้าในฐานะเสนาหญิงแคว้นเซียง จิ่งเหิงปัวกำลังคิดอยู่ว่านางจะใช้วิธีอะไรมาถ่ายทอดข่าวสารได้ รู้สึกขึ้นมาทันทีว่าหัวไหล่ถูกใครสักคนแตะต้อง พอนางหันหน้ากลับไปมองก็เห็นบนเข่าของตนเองมีตะเกียบข้างหนึ่งเพิ่มขึ้นมากะทันหัน
พอหยิบตะเกียบขึ้นมาพินิจพิจารณา มองเห็นข้างบนมีอักษรตัวเล็กละเอียดสลักไว้ แต่นางอ่านไม่ออก เหยียลี่ว์ฉีพลันขยับเข้ามากระซิบข้างหูนางอย่างแผ่วเบาว่า “ภายในบึงโคลนหอมมีกับดัก ให้จี้อีฝานขยับขวาสามก้าว”
“หมายความว่าอะไร” จิ่งเหิงปัวฟังแล้วไม่เข้าใจ
“ข้าเองก็ไม่ค่อยเข้าใจเช่นกัน” เหยียลี่ว์ฉีพึมพำอยู่ข้างหูนางว่า “เป็นไปไม่ได้ที่เฟยหลัวจะบอกแผนการทั้งหมดให้พวกเรารู้ พวกเราได้แต่คอยดูสถานการณ์แล้วค่อยวางแผน ฉวยโอกาสกระทำตามเหตุการณ์”
เขาเข้าถึงบทบาทยิ่งนัก อิงแอบแนบชิดจิ่งเหิงปัวพลางเอ่ยวาจา ท่วงท่าด้านข้างออดอ้อน แขนเสื้อบานกว้างพัดผ่านบนเข่าของจิ่งเหิงปัวอย่างนุ่มนวล ขุนนางรอบด้านบางคนใช้หางตาจ้องมองทางนี้อยู่สักพัก แอบแค่นเสียงหนึ่งอย่างอิจฉาเหลือเกิน ก่นด่าในใจว่าสามีภรรยาคู่นี้รักใคร่กันดียิ่งยวด แม่สาวน้อยนางนี้ติดสามียวดยิ่ง ส่วนผู้เป็นสามีคนนี้มีความสุขล้อมรอบกายทว่าไม่รู้ว่านั่นคือความสุขโดยแท้
สมองของจิ่งเหิงปัวครุ่นคิดถึงเล่ห์เพทุบายของเฟยหลัวอยู่เต็มเปี่ยม จะมัวสนใจความ ‘อ่อนช้อยนุ่มนวลลมหายใจหอมกรุ่นดุจกล้วยไม้?’ ของใครบางคนเสียที่ไหน
กษัตริย์แคว้นเซียงที่อยู่ข้างบนก็มองเห็นปราดหนึ่ง ยิ้มแย้มพลางเอ่ยกับกงอิ้นว่า “มิน่าเล่าคนหนุ่มสาวไม่รู้จักสังวรวาจาการกระทำ ฮูหยินอ่อนวัยนางนั้นน่าจะมาจากตระกูลต่ำต้อย ออดอ้อนกระทำตามใจตนยิ่งนัก” สายตาทอดลงบนเรือนร่างของเหยียลี่ว์ฉีอย่างไม่รู้จักพอ
กงอิ้นเพียงก้มหน้าดื่มสุรา เอ่ยอย่างเฉื่อยเนือยว่า “นางนั้นคล้ายมีกลิ่นกายน่ารังเกียจ”
“อา” กษัตริย์แคว้นเซียงเบิกตากว้าง เอ่ยอย่างนินทายิ่งนักว่า “เช่นนี้ ผู้เป็นสามีคนนั้นนับว่าลุ่มหลงนางเหลือเกิน! ท่านดูสองคนนั้นสิ ประเดี๋ยวใกล้ชิดประเดี๋ยวเฉียดผ่าน รักใคร่สนิทสนมยิ่งนัก แลไม่รังเกียจกลิ่นกายแรง”
กงอิ้นดื่มสุราอีกอึกหนึ่ง ไม่ได้เชิดสายตาขึ้นมาด้วยซ้ำ เอ่ยว่า “หิวโหยจนเสพสุขไม่เลือกหน้ามากกว่า”
…
ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง จิ่งเหิงปัวก็มองเห็นตำหนักข้างหน้าเกิดความวุ่นวายขึ้น จากนั้นมองเห็นยงซีเจิ้งที่สวมแพรแดงทั้งร่างเดินออกจากแถวหมอบกราบจรดพื้น ส่วนตำหนักข้างหลัง เหอหว่านถูกขุนนางหญิงและฮูหยินสูงศักดิ์ค่อยๆ ประคองออกมา อาภรณ์พิธีการตี๋[1]ประดับหยกคู่ มงกุฎเก้าระย้าพู่ม่วง บนศีรษะห้อยสยายม่านบังหน้าไข่มุก แสงไข่มุกนุ่มนวล มองเห็นดวงพักตร์งดงามอ่อนวัยเบื้องหลังม่านไข่มุกได้รำไร
เดิมทีจิ่งเหิงปัวยังคิดว่าเป็นมงกุฎหงส์ผ้าแถบคล้องคอคลุมศีรษะปิดบังใบหน้าแบบนั้นเหมือนในโทรทัศน์หรือเปล่า ถ้าเป็นแบบนี้เหอหว่านอาจจะวางแผนยอมเสียส่วนน้อยเพื่อรักษาส่วนใหญ่แบบนิยายน้ำเน่า ให้สาวใช้ปลอมตัวเป็นตนเอง จากนั้นก็คิดหาวิธีหนีตามจี้อีฝานไปได้ ตอนนี้พอมองเห็นขบวนแถวกับการแต่งกายของเหอหว่านขณะออกมาจึงรู้ว่าตนเองคิดง่ายเกินไป พิธีเสกสมรสของราชวงศ์ คนรับใช้ข้างกายเยอะแยะมากมาย อาภรณ์กับมงกุฎจัดทำขึ้นโดยเฉพาะ ไม่ใช่ว่าใครอยากหนีก็หนีได้ ใครอยากปลอมตัวก็ปลอมตัวได้
ยงซีเจิ้งกับเหอหว่านหมอบกราบอยู่เบื้องหน้ากงอิ้นกับกษัตริย์แคว้นเซียง เข้าคารวะตามลำดับ ต่างคนต่างได้เอ่ยวาจาอวยพรให้กำลังใจ กงอิ้นมีท่าทางเฉื่อยเนือยโดยตลอด วางคทาสมปรารถนา[2]คู่หนึ่งบนถาดรองที่ข้ารับใช้ในวังถืออยู่บอกเป็นนัยให้มอบแก่ทั้งสอง จากนั้นยกมือเรียกให้ลุกขึ้น ทว่าสิ่งของที่กษัตริย์แคว้นเซียงกับราชินีพระราชทานให้แตกต่างจากปกติ
กษัตริย์มอบมีดสั้น ราชินีมอบฝักมีด ทว่ามีดสั้นไม่ได้ลับขอบคม ไร้ซึ่งพลังทำลายล้าง
เหยียลี่ว์ฉีเอ่ยอย่างแผ่วเบาอยู่ข้างหูนางว่า “คราวนี้เป็นการเลียนแบบเหตุการณ์ยามที่กษัตริย์พระองค์แรกข้ามบึงโคลนเฮยสุ่ยเพื่อแจ้งข่าว ยามนั้นสิ่งของที่กษัตริย์พระองค์แรกส่งไปยังฝั่งตรงข้ามคือมีดสั้นทองคำที่จักรพรรดินีผู้สถาปนาแคว้นพกติดพระวรกาย บัดนี้พิธีการหนึ่งนี้ของแคว้นเซียงน่าจะบ่งชี้ว่านับตั้งแต่นี้สามีภรรยาร่วมแรงร่วมใจดุจมีดเข้าฝักมีด พยายามช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ก่อเกิดพลังอันยิ่งใหญ่”
หลังจากยงซีเจิ้งกับเหอหว่านลุกขึ้นแล้วจึงเดินไปยังนอกตำหนัก ข้างหลังของทั้งคู่มีจี้อีฝานกับสตรีอ่อนวัยผู้หนึ่งเดินตามมาด้วย ต่างคนต่างช่วยพวกเขาถือมีดกับฝัก จี้อีฝานถือมีด สตรีอ่อนวัยจากตระกูลผู้ดีนางนั้นถือฝัก
“ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง” เหยียลี่ว์ฉีมีท่าทางเข้าใจในทันที กระซิบว่า “ฐานะของจี้อีฝานนับเป็นสหายเจ้าบ่าวของยงซีเจิ้ง ประเดี๋ยวจะต้องส่งมีดให้เขา ยงซีเจิ้งถือมีด เหอหว่านถือฝัก ทั้งสองคนสวมรองเท้าเหล็กข้างโคลนหอม เดินหันหน้าเข้าหากันจนถึงกลางโต๊ะทองคำแล้วเสียบมีดเข้าฝักมีด กระทำเรื่องที่กษัตริย์พระองค์แรกเคยทำยามนั้นซ้ำรอบหนึ่งถึงนับว่าสำเร็จเสร็จสิ้นพิธีกรรมทั้งหมด คราวนี้ถึงเป็นการร่วมประทับตราที่แท้จริง”
“โชคดีที่มีดไม่ได้อยู่กับเหอหว่าน” จิ่งเหิงปัวพึมพำว่า “มิฉะนั้นข้ากลัวว่านางจะแทงว่าที่สามีจนสิ้นชีพในครั้งเดียวเสียเลย…”
“ภายในบ่อโคลนหอมมีกับดัก ประเดี๋ยวจี้อีฝานน่าจะมีตำแหน่งยืนประจำ ส่วนกับดักคงต้องเปลี่ยนตำแหน่งยืนถึงจะเริ่มทำงานได้ เรื่องที่เฟยหลัวต้องการให้เจ้ากับข้าทำก็คือบังคับให้จี้อีฝานเปลี่ยนตำแหน่งยืน”
“ระหว่างพวกเรากับข้างล่างตำหนักมีขั้นบันไดกับระยะทางช่วงหนึ่งขวางอยู่ ข้างบนข้างล่างมีแต่ผู้คน จะบังคับให้เขาเปลี่ยนตำแหน่งต่อหน้าต่อตาผู้คนมากมายได้อย่างไร?”
“มิฉะนั้นเหตุใดเฟยหลัวต้องให้เจ้ากับข้ากระทำเล่า? นั่นด้วยเพราะว่าลงมือง่ายดาย ทว่าคนมองเห็นเยอะเหลือเกิน ลงมือต่อหน้าต่อตาผู้คนมากมายถูกพบเจอได้ง่ายดายยิ่งนัก นางตั้งใจจะหลบอยู่ข้างหลังฝูงชนเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ให้ตนเอง” เหยียลี่ว์ฉียิ้มแย้มพลางเอ่ยว่า “เพียงแต่แท้จริงแล้วเรื่องนี้ไม่ยากเลยสำหรับเจ้า เจ้าแค่บังคับสิ่งของสักอย่างกระแทกศีรษะจี้อีฝานตามใจชอบ เขาย่อมเคลื่อนย้ายตำแหน่งแล้ว ซ้ำยังแก้แค้นเรื่องที่เขาผลักเจ้าตกหลังคาได้ด้วยพอดี”
“เจ้าอยากรีบเร่งสังหารข้ามากสินะ!” จิ่งเหิงปัวถลึงตามองเขาแวบหนึ่ง ฉวยมือป้อนขาหมูอวบอ้วนขาหนึ่งเข้าปากของเขา ยิ้มแย้มพลางกล่าวว่า “เอ่ยวาจามากมายเช่นนี้ ลำบากเจ้าแล้ว กินเนื้อสักหน่อยจะได้คล่องคอ ดีหรือไม่?”
ขาหมูบนโต๊ะนี้เป็นจานตกแต่ง ขนขาวซีดยังถอนออกมาไม่หมดด้วยซ้ำ กลิ่นเหม็นคาวหอบหนึ่งเตะจมูก จิ่งเหิงปัวมองดูสีหน้าอยากอาเจียนในพริบตาของเหยียลี่ว์ฉีแล้วรู้สึกขึ้นมาทันทีว่าสบายอกสบายใจยิ่งนัก
ตะเกียบเพิ่งจะวางลง ก็รู้สึกขึ้นมากะทันหันว่าข้างหลังเกิดความรู้สึกกระสับกระส่ายคล้ายถูกแววตาใครจ้องเขม็ง นางเบนหน้าเล็กน้อย ใช้แสงหางตาพินิจเฟยหลัวกับขุนนางสำคัญของตี้เกอที่อยู่ทางนั้น ก็ไม่มีอะไรผิดปกติ
ขณะที่เบนสายตากลับมา นางชำเลืองตามองข้างบนตำหนักโดยไม่ตั้งใจแวบหนึ่ง กงอิ้นคล้ายกำลังสนทนากับกษัตริย์แคว้นเซียง
แววตาของนางเฉียดผ่านชายผ้าของเขาอย่างงงงวยเล็กน้อย ทอดลงบนเสาตำหนักแดงชาดอย่างหนักน่วง
ไม่ควรมอง ต้องล้างตา
การใช้ความคิดควบคุมวัตถุมากระแทกจี้อีฝานบังคับให้เขาเปลี่ยนตำแหน่งคงทำไม่ได้ แบบนี้เท่ากับเป็นการบอกคนที่อยู่ในที่แห่งนี้ว่าตนเองคือจิ่งเหิงปัว อย่างน้อยที่สุดกงอิ้นกับเฟยหลัวต้องรู้แน่นอน
จิ่งเหิงปัวกำลังครุ่นคิดหาวิธี จู่ๆ พลันได้ยินเสียงผู้หญิงคนหนึ่งร้อง “ว้าย!” ขึ้นมาอย่างแผ่วเบา จากนั้นก็ได้ยินเสียงวุ่นวายแผ่วเบาระลอกหนึ่ง
นางเบนสายตามองไปถึงพบว่าสตรีอ่อนวัยจากตระกูลผู้ดีข้างหลังเหอหว่านนั้นพลันล้มลงบนพื้น ด้วยไม่รู้ว่าเดินสะดุดอะไรเข้า
สายตาของจิ่งเหิงปัวเฉียบแหลม มองเห็นได้รำไรว่าบริเวณข้างใต้รองเท้านางมีไข่มุกสีชมพูเม็ดหนึ่ง คล้ายเป็นไข่มุกของปิ่นระย้าบนจอนผมของเหยียลี่ว์ฉีก่อนหน้านี้
แต่ว่าปิ่นระย้านั้นถูกกงอิ้นเหยียบจนกลายเป็นผงไปแล้วไม่ใช่หรือ? แล้วไข่มุกมาจากไหน?
จิ่งเหิงปัวแน่ใจว่าเมื่อครู่ตนเองจ้องมองพรมแดงขณะที่กงอิ้นเดินผ่าน ปิ่นระย้านั่นหายไปทั้งอันหลังจากที่เขาเดินจากไป บนพรมแดงไม่มีอะไรทั้งนั้น
เหลือแค่ความเป็นไปได้ข้อถัดไป นั่นคือยังมีไข่มุกร่วงหล่นกลิ้งอยู่ฝั่งหนึ่งก่อนหน้านี้ แต่ถ้าจะหล่นก็ต้องหล่นลงระหว่างซอกพรมแดงกับพื้นศิลาขาวสิ แบบนี้ถึงหลบหลีกการเหยียบอย่างรุนแรงครั้งนั้นของกงอิ้นได้
แต่ในเมื่อกลิ้งอยู่อีกฝั่งหนึ่งแล้ว ทำไมตอนนี้พลันกลิ้งออกมาอีกครั้งทำให้สาวน้อยคนนั้นลื่นล้มได้อย่างไร?
จิ่งเหิงปัวจ้องมองไข่มุกเม็ดนั้น รู้สึกขนลุกขนชันทั่วร่างอย่างเชื่องช้า นางเกิดความรู้สึกแปลกประหลาดขึ้นมากะทันหัน รู้สึกว่าต้องมีเรื่องอะไรผิดปกติ แต่ยังกล่าวได้ไม่ชัดเจนว่าผิดปกติที่ตรงไหน
สาวน้อยนางนั้นล้มลงบนพื้น ลุกขึ้นไม่ได้ชั่วขณะ เหอหว่านเห็นเหตุการณ์ก็พลันหันหลังกลับมาหวังประคองโดยพลัน
แน่นอนว่าไม่ต้องให้นางประคอง นางกำนัลข้างหลังถัดจากนางมีอยู่ไม่น้อย ต่างรีบตามมาประคองสาวน้อยนางนั้น นางกำนัลกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งโค้งกายลง ชายกระโปรงชาววังสยายออกบดบังพื้นผิวไว้ ซ้ำยังบดบังถาดรองที่ร่วงหล่นอยู่บนพื้นของสาวน้อยนางนั้นไว้
ความรู้สึกแปลกประหลาดแบบนั้นปรากฏขึ้นในใจของจิ่งเหิงปัวอีกครั้ง นางพยายามชะโงกศีรษะหวังมองสถานการณ์ทางนั้นให้ชัดเจน แต่คนมากมายวุ่นวายเหลือเกิน มองเห็นได้แค่ขาคนและกระโปรงทับซ้อนกัน
ครู่ต่อมา สาวน้อยนางนั้นก็ถูกประคองขึ้นมาแล้ว ทว่าสีหน้าเจ็บปวดทรมานคล้ายเดินไม่ได้อีกแล้ว
มีคนรายงานสถานการณ์สู่เบื้องบน กษัตริย์แคว้นเซียงขมวดคิ้วขึ้น สหายเจ้าสาวเจ้าบ่าวคู่นี้เป็นชายหญิงอ่อนวัยจากตระกูลผู้ดีของแคว้นเซียงที่เลือกออกมาโดยเฉพาะ ปกติแล้วจะเลือกสาวน้อยโสดบริสุทธิ์ที่มีฐานะสูงส่งเพื่อแสดงถึงสิริมงคล คราวนี้พลันเกิดปัญหาขึ้นมาแล้วยามนี้จะหาผู้ใดมาแทนนางได้?
กงอิ้นนั่งสูงส่งอยู่ลำดับแรก ขนตาดกดำหลุบลงเล็กน้อย ท่าทางดูราวดั่งเทพยดากลางมวลเมฆที่ไม่ปรารถนาจะอยู่ท่ามกลางความสับสนวุ่นวายของโลกมนุษย์ตนหนึ่ง ทว่าพลันเอ่ยปากว่า “ในเมื่อสหายเจ้าสาวทำพิธีไม่ได้ เช่นนั้นจงเปลี่ยนคนเถิด เลือกสตรีผู้มีฐานะสูงส่งที่สุดในที่แห่งนี้แทนนางย่อมได้”
[1] อาภรณ์พิธีการตี๋ หรือ 翟衣 (ตี๋อี) เป็นชุดพิธีการระดับสูงสุดของพระชายาและพระสนมในสมัยโบราณ
[2] คทาสมปรารถนา เป็นสัญลักษณ์แห่งสิริมงคล ลักษณะคล้ายไม้เท้าขนาดเล็ก มีส่วนหัวงอโค้งเป็นวง นิยมประดับไว้ในพระราชวังและคฤหาสน์ของขุนนางชั้นสูง