ตอนที่ 12 - 1 มรสุมขวางทะเลรัก

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2]

กษัตริย์แคว้นเซียงหน้าเปลี่ยนสี เฟยหลัวที่อยู่ข้างล่างบันไดชะงักงัน 

 

 

นอกจากราชินีกับองค์หญิงแล้ว เหลือเพียงนางผู้เป็นเสนาหญิงคนนี้มีฐานะสูงส่งที่สุด 

 

 

หลายคนมีสีหน้าแปลกประหลาดเช่นกัน…แม้เฟยหลัวจะมีฐานะสูงส่งจริงแท้ ทว่านางนี้เป็นหญิงหม้าย ซ้ำยังเป็นหญิงหม้ายที่สมรสกับสามีมาแล้วถึงสามคน แคว้นเซียงยิ่งมีข่าวลือว่านางสังหารสามี คนเช่นนี้หากได้เข้าร่วมงานมงคลนับว่าให้เกียรตินางแล้ว เรียกได้ว่าราชวงศ์แคว้นเซียงมีความคิดก้าวหน้า หากให้นางรับตำแหน่งสหายเจ้าสาว ไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องให้เกียรติ เอ่ยจากมุมมองความมงคลย่อมไม่เหมาะสม 

 

 

ทว่าผู้ใดจะกล้าไม่เชื่อฟังวาจาที่กงอิ้นเอ่ยออกมา? กษัตริย์หน้าเปลี่ยนสีไปเพียงชั่วครู่ จากนั้นยิ้มแย้มพลางเอ่ยว่า “ราชครูเอ่ยได้ถูกต้องยิ่งนัก ไม่รู้ว่าเสนาหญิงจะยินยอมรับอาสาหรือไม่?” 

 

 

เฟยหลัวยืนอยู่ที่เดิม สีหน้าซีดเผือดเล็กน้อย นางย่อมไม่ยินยอมอย่างแน่นอน! 

 

 

นางพยายามครุ่นคิดถึงการแลกเปลี่ยนข้อเสนอกับเหยียลี่ว์ฉีอย่างไม่เสียดาย เป้าหมายก็เพื่อให้ตนเองหลุดพ้นจากแผนการอย่างสะอาดสะอ้านได้โดยง่าย นางตัดสินใจแล้วว่าวันนี้จะอยู่ท่ามกลางฝูงชนตลอดขั้นตอนพิธีการ ยืนยันความบริสุทธิ์ไร้ซึ่งข้อสงสัยแม้เพียงน้อยภายใต้แววตาของทุกคน 

 

 

ทว่ายามนี้นางปฏิเสธไม่ได้แล้ว นางเพียงผู้เดียวไร้เรี่ยวแรงต่อต้านกงอิ้น ยิ่งไม่อาจล่วงเกินกษัตริย์แคว้นเซียง 

 

 

นางได้แต่หันกายงดงาม ผุดเผยรอยยิ้มเป็นเกียรติทั่วใบหน้า เอ่ยด้วยเสียงอ่อนช้อยว่า “เฟยหลัวน้อมรับพระราชโองการเพคะ” 

 

 

กษัตริย์แคว้นเซียงไอโขลกออกมา แววตาดูล่องลอยอยู่บ้าง ราชินีที่อยู่ข้างกายมีสีหน้าเขียวคล้ำ นิ้วมือใต้แขนเสื้อกว้างคล้ายกำลังหยิกขาของกษัตริย์ สีหน้าของกษัตริย์อัปลักษณ์มากยิ่งขึ้น 

 

 

ทั้งสามคนแอบปะทะอารมณ์กันรุนแรง กงอิ้นดั่งคล้ายมองไม่เห็น 

 

 

จิ่งเหิงปัวมีสีหน้าแปลกประหลาด ลูกตากลอกกลิ้งมองมั่วซั่ว สีหน้าคล้ายครุ่นคิดบางสิ่ง 

 

 

เฟยหลัวหันกายยกถาดรองที่มีฝักมีดวางอยู่ถาดนั้นขึ้น เดินไปข้างหลังเหอหว่าน ขบวนทัพฟื้นคืนความปกติอีกครั้ง 

 

 

รอจนคนขบวนหนึ่งเดินไปข้างสระโคลนหอมนั้น เดิมทีจิ่งเหิงปัวนึกว่าเหล่าแขกเหรื่อคงจะออกมาเข้าร่วมพิธีด้วย ไม่นึกว่าทุกคนจะนั่งนิ่งไม่ขยับเขยื้อน นางถามเหยียลี่ว์ฉี เหยียลี่ว์ฉีเอ่ยว่า “เอ่ยกันตามจริงแล้วควรจะเข้าร่วมพิธี น่าจะด้วยเพราะกษัตริย์เองกลัวว่าคนชุมนุมกันเยอะแยะแล้วจะเกิดเรื่องได้โดยง่าย จึงสั่งไม่ให้ขยับเขยื้อนเสียเลย เช่นนี้จะได้ปลอดภัยขึ้นมาหน่อย” 

 

 

จิ่งเหิงปัวคิดว่าคงปลอดภัยอยู่หรอก แต่จะบังคับให้จี้อีฝานถอยออกไปสามก้าวได้อย่างไร? 

 

 

สามีภรรยากษัตริย์แคว้นเซียงลุกขึ้นยืน เอื้อมมือเชิญกงอิ้น เอ่ยว่า “เชิญ” สามคนลงจากตำหนักด้วยกัน เดินไปทางบันไดหยกลงสู่ลานตำหนักเพื่อเข้าร่วมพิธี 

 

 

จิ่งเหิงปัวมองดูตำแหน่งของทุกคนข้างล่าง เหอหว่านกับยงซีเจิ้งยืนหันหน้าเข้าหากัน หันข้างให้ทุกคน จี้อีฝานยืนอยู่ตรงมุมสระข้างกายยงซีเจิ้ง เฟยหลัวยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามตำแหน่งเดียวกัน กงอิ้นกับสามีภรรยากษัตริย์แคว้นเซียงทั้งสามคนยืนกึ่งหันหลังให้นาง เผชิญหน้ากับเหล่าขุนนางข้างล่างตำหนัก 

 

 

ข้ารับใช้ในวังก้าวขึ้นมามอบรองเท้าหุ้มเข่าเหล็กแด่ว่าที่สามีภรรยา สิ่งที่เรียกว่ารองเท้าหุ้มเข่าเหล็กคือรองเท้าหนังที่กระชับปากรองเท้าแน่น ประดับด้วยแผ่นเหล็กปลายรองเท้าแหลม เดินลำบากกลางบึงโคลนเลน เมื่อสวมใส่รองเท้าหุ้มข้อหนักอึ้งทำให้ยิ่งเดินลำบากมากขึ้น เพื่อแสดงว่าจดจำความยากลำบากยามกษัตริย์แคว้นเซียงพระองค์แรกข้ามบึงโคลนได้ขึ้นใจ ไม่ทอดทิ้งปณิธานของกษัตริย์ผู้ล่วงลับ 

 

 

ยามที่เหอหว่านนั่งยองสวมรองเท้าหุ้มเข่าเหล็ก เฟยหลัวพลันก้าวขึ้นมาช่วยนางสวมรองเท้าด้วยตนเอง เหอหว่านมองนางอย่างประหลาดใจเล็กน้อย นางไม่มีความรู้สึกดีอะไรกับเฟยหลัวจึงหลบหลีกโดยสำนึก ทว่าเฟยหลัวยิ้มแย้มพลางประคองไหล่ของเหอหว่านไว้ 

 

 

จิ่งเหิงปัวมองเห็นนางประคองไหล่ของเหอหว่านเพียงพริบตาเดียว เหอหว่านก็คล้ายแข็งทื่ออยู่บ้าง จากนั้นก็ค่อยๆ สวมรองเท้าแล้วลุกขึ้นยืน 

 

 

ขณะเดียวกันนางก็มองเห็นมือของเฟยหลัวเอื้อมอยู่ข้างหลังคล้ายกำลังจัดระเบียบเสื้อผ้าหลังเอว ขยับเขยื้อนภายนอกเล็กน้อย 

 

 

จู่ๆ เหยียลี่ว์ฉีก็ร้อง “เอ๊ะ” ออกมา 

 

 

จิ่งเหิงปัวมองเขาอย่างว่องไว เอ่ยถามว่า “อะไรหรือ” 

 

 

“แผนการเปลี่ยนแปลง” เหยียลี่ว์ฉีเอ่ยว่า “เฟยหลัวยกเลิกแผนการเดิม ไม่ให้พวกเราคิดหาวิธีบังคับจี้อีฝานย้ายตำแหน่งแล้ว” 

 

 

จิ่งเหิงปัวชะงัก คิดอยู่ว่าเฟยหลัวที่วางแผนมาเนิ่นนานแล้วเพื่อแผนการนี้ หวังที่จะสังหารยงซีเจิ้งแล้วโยนความผิดให้จี้อีฝานต่อหน้าแขกเหรื่อมากมายให้ได้ แล้วนางจะหักใจทอดทิ้งกะทันหันได้อย่างไร? 

 

 

ในใจนางรู้สึกว้าวุ่นขึ้นมาทันที 

 

 

“นางเอ่ยว่าทำก็ทำ เอ่ยว่าไม่ทำก็ไม่ทำ นางเป็นมารดาเจ้าหรือ?” จิ่งเหิงปัวโบกมือ กล่าวว่า “ไม่ได้ นางเอ่ยว่าไม่ทำข้าต้องทำ ต้องทำให้จี้อีฝานขยับเขยื้อนสามก้าวให้ได้!” 

 

 

เหยียลี่ว์ฉีมองดูนางด้วยท่าทางคล้ายยิ้มทว่าไม่ได้ยิ้ม เอ่ยอย่างเกียจคร้านว่า “ได้สิ เจ้าเอ่ยสิ่งใดย่อมเป็นสิ่งนั้น ข้าเข้าข้างเจ้าเสมอ” 

 

 

น้ำเสียงของเขารักใคร่ตามใจ ประชิดใกล้ข้างจอนผมของจิ่งเหิงปัวแล้วเป่าปอยผมของนาง จิ่งเหิงปัวหันหน้าครั้งหนึ่ง หลบหลีกออกไปอย่างไม่เหลือร่องรอย 

 

 

รอยยิ้มของเหยียลี่ว์ฉีคล้ายไม่สนใจ แสงรุ่งโรจน์กลางแววตาเรืองรอง 

 

 

ยามนี้แม้ว่าเหล่าขุนนางตามโต๊ะบนตำหนักใหญ่จะไม่ได้ลุกออกจากที่นั่งตามมาด้วย ทว่าต่างชะเง้อคอยืดยาวเพื่อมองดูพิธีข้างล่างด้วยท่าทางสนใจไม่เบา จิ่งเหิงปัวนั่งเอนเอียงพิงโต๊ะ ใช้นิ้วคีบถ้วยสุราไว้คล้ายสนใจสุราในถ้วยนั้นอย่างยิ่ง อีกเดี๋ยวดื่มแล้ว อีกเดี๋ยวดื่มเล่า 

 

 

นางรูปร่างผอมเพรียวสูงโปร่ง ท่าทางอ่อนช้อยโดยกำเนิด ยามเป็นสตรีทำให้ผู้คนรู้สึกว่าทั่วโลกหล้านี้มีสตรีน้อยนางนักจะมีความเป็นสตรีเปี่ยมล้นประหนึ่งนาง ผู้ใดต่างปลอมตัวเป็นบุรุษได้ ยกเว้นนางที่ปลอมตัวเป็นบุรุษไม่ได้ ทว่าพอปลอมตัวเข้าจริงกลายเป็นท่วงท่าสง่างามแปลกใหม่อีกท่วงท่าหนึ่ง ท่ามกลางความหล่อเหลามีความอ่อนช้อยอยู่หลายส่วน ท่าทางการแสดงออกมีชีวิตชีวา บุคลิกดั่งบุรุษแรกรุ่นน่ารักใคร่ เหล่าฮูหยินอ่อนวัยกว่าครึ่งตำหนักพวกนั้นต่างกำลังแอบมองนาง 

 

 

จิ่งเหิงปัวกำลังมองราชินีแคว้นเซียง มุมปากผุดเผยรอยยิ้มชั่วร้ายขึ้นมา เดี๋ยวมองซ้ายเดี๋ยวมองขวา 

 

 

พอเหยียลี่ว์ฉีมองเห็นท่วงท่าสีหน้านั้นของนางแล้วพลันรู้ว่านางจะใช้วิธีการสกปรกแล้ว ทว่าดวงตาของจิ่งเหิงปัวที่ใช้วิธีการสกปรกแวววาวพราวแพรว ทำให้คนรู้สึกว่าต่อให้แผ่นดินผืนฟ้าวุ่นวายหลายตลบ หากได้มองท่วงท่าเช่นนี้อีกสักปราดเดียวย่อมคุ้มค่า 

 

 

เขาจึงรินสุราให้นางอย่างกระตือรือร้น ประเดี๋ยวรินถ้วยซ้ายประเดี๋ยวรินถ้วยขวา 

 

 

สายตาของจิ่งเหิงปัวลอยผ่านติ่งหูของราชินีแคว้นเซียงไป 

 

 

ราชินีแคว้นเซียงพลันรู้สึกว่าต่างหูข้างขวาถูกดึงลงข้างล่าง นางร้องโอ๊ยออกมาแผ่วเบา มือป้องใบหูไว้ เอ่ยว่า “ฝ่าบาท พระองค์ทรงทำอะไร” 

 

 

“อะไรหรือ” กษัตริย์แคว้นเซียงเอียงศีรษะมองนางอย่างประหลาดใจ 

 

 

พอเขาเอียงศีรษะ ราชินีก็พลันชะงักงัน คราวนี้ถึงนึกขึ้นมาได้ว่าฝ่าบาทอยู่ด้านซ้ายมือของตนเอง แล้วจะเอื้อมมือไปดึงติ่งหูข้างขวาของนางได้อย่างไร? อีกทั้งสถานการณ์เช่นนี้ฝ่าบาทจะดึงต่างหูนางลงมาทำเพื่ออะไรกัน? 

 

 

นางมองดูด้านขวามือของตนเอง ไม่มีผู้ใดอยู่ เพียงแต่ตรงมุมเฉียงด้านข้างมีจี้อีฝานผู้เป็นน้องชายยืนอยู่ เขาห่างจากตนเองประมาณสามสี่ก้าว สองมือประคองถาดรอง เอื้อมมือมาดึงหูตนเองไม่ได้เป็นแน่ 

 

 

จี้อีฝานประสานสายตากับนาง ยิ้มแย้มให้นางอย่างน่าประหลาดครั้งหนึ่ง 

 

 

ราชินีชะงักงัน คิดว่าอาจจะรู้สึกไปเอง จึงวางมือลงแล้วยืดกายยืนตัวตรง 

 

 

ยามนี้ยงซีเจิ้งหยิบมีดจากถาดรองของจี้อีฝาน เหอหว่านหยิบฝักมีดจากถาดรองของเฟยหลัว ทั้งสองคนมองกันและกันปราดหนึ่งตรงปลายสองฝั่งของสระน้ำ ถลกชุดคลุมขึ้น ต่างคนต่างลงสระโคลน 

 

 

โคลนเลนภายในสระท่วมถึงขาท่อนล่างของยงซีเจิ้ง หัวเข่าของเหอหว่าน 

 

 

ด้วยเพราะเหตุนี้ ยงซีเจิ้งเดินเหินสะดวกกว่าเล็กน้อย เขาเป็นบุรุษมีฝีเท้าใหญ่ เดินไม่กี่ก้าวย่อมถึงกลางสระน้ำได้ 

 

 

เหอหว่านเดินเหินแทบไม่ไหว แรงต้านของโคลนเลนมากมายนัก รองเท้าหุ้มข้อหนักอึ้ง ก้าวเดินโซซัดโซเซ 

 

 

ทว่าตามพิธีการแล้วทั้งสองคนต้องเดินถึงหน้าโต๊ะทองคำพร้อมกัน ฉะนั้นฝีเท้าของยงซีเจิ้งจึงเชื่องช้ายิ่งนักเช่นกัน 

 

 

ข้างหน้าข้างหลังตำหนักต่างไร้ซึ่งสรรพเสียง ทุกคนจ้องมองคู่รักชายหญิงคู่นั้นที่ประชิดใกล้อย่างเชื่องช้า ยามนี้การฟันฝ่าความยากลำบากของคนรุ่นก่อนย่อส่วนลงกลายเป็นสระโคลนสายสั้นสายหนึ่ง ก้าวข้ามแล้วย่อมเป็นเส้นทางใหม่ 

 

 

จิ่งเหิงปัวดื่มสุรา แววตาพัดผ่านดุจคลื่นซัดสาด 

 

 

ราชินีแคว้นเซียงพลันรู้สึกอีกครั้งว่าติ่งหูถูกดึงอย่างรุนแรง 

 

 

นางรีบลูบคลำใบหู หางตามองดูกษัตริย์แคว้นเซียงที่อยู่ข้างกาย เขากำลังมองดูเหอหว่านด้วยความปีติยินดีท่วมท้น กลางแววตามีแสงรุ่งโรจน์ระยิบระยับรำไร 

 

 

ราชินีแคว้นเซียงแอบไม่พอใจเล็กน้อย…หลายปีก่อนกษัตริย์แคว้นเซียงหมกมุ่นกลั่นยาอายุวัฒนะ เป็นผลร้ายต่อร่างกาย ผ่านไปหลายปียังไร้ซึ่งโอรสธิดา แต่ก่อนมีเหอหว่านเป็นธิดาเพียงองค์เดียว สองปีก่อนถึงมีโอรสอีกองค์หนึ่ง นางเป็นผู้ให้กำเนิดโอรสคนสุดท้องคนนี้ และด้วยเพราะเหตุนี้เอง นางถึงได้เลื่อนตำแหน่งจากพระชายากลายเป็นราชินี 

 

 

กษัตริย์แคว้นเซียงมีโอรสยามอายุมากจึงรักใคร่โปรดปรานโอรสยิ่งนัก ทว่าอย่างไรเสียเขารักใคร่โปรดปรานธิดาองค์โตมานานหลายปีขนาดนั้น ความรู้สึกฝังรากลึกตั้งนานแล้ว หลายปีมานี้ด้วยเพราะรู้สึกว่าละอายต่อบุตรสาว ความรักใคร่ที่กษัตริย์แคว้นเซียงมีต่อเหอหว่านยิ่งมากขึ้นอีกขั้นหนึ่ง ราชินีแคว้นเซียงไม่พอใจเรื่องนี้มาเนิ่นนานแล้ว 

 

 

พอนึกถึงเหอหว่าน ก็อดจะนึกถึงน้องชายไม่ได้เรื่องผู้นั้นของตนเองไม่ได้ นางถลึงตามองจี้อีฝานปราดหนึ่ง 

 

 

น้องชายคนเล็กกลัวพี่สาวคนโตตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว จี้อีฝานถูกนางถลึงตามองเพียงปราดเดียว เคลื่อนกายทางซ้ายหลีกถอยก้าวหนึ่งโดยสำนึก 

 

 

ราชินีแคว้นเซียงแค่นเสียงอย่างเย็นชา เบนสายตากลับมา พลันรู้สึกว่าใบหูเจ็บปวดอีกครั้ง 

 

 

นางเดือดดาลยิ่งนัก พอลูบคลำติ่งหูรู้สึกปวดแสบปวดร้อน มองไปมองมา ที่นี่ไม่มีผู้ใดใช้พลังจิตดึงใบหูนางได้ แลไม่มีผู้ใดมีเวลาว่างและความกล้าหาญเช่นนี้ นอกจากน้องชายที่รักผู้นั้นของนาง! 

 

 

สายตาโกรธแค้นของราชินีแคว้นเซียงพุ่งเข้ามา จี้อีฝานสั่นสะท้าน รีบถอยไปทางซ้ายอีกหนึ่งก้าว 

 

 

สองก้าว 

 

 

จิ่งเหิงปัวนับก้าวอย่างเงียบเชียบ ดื่มสุราอีกถ้วยหนึ่ง เหยียลี่ว์ฉีที่อยู่ข้างกายเขย่ากาสุราที่ว่างเปล่า ฉวยมือลักลอบหยิบจากบนโต๊ะข้างเคียงมาใบหนึ่ง 

 

 

ยงซีเจิ้งกับเหอหว่านใกล้จะเดินเจอกันหน้าโต๊ะทองคำแล้ว 

 

 

แววตาของจิ่งเหิงปัวกวาดผ่านติ่งหูของราชินีแคว้นเซียงอย่างรุนแรง 

 

 

“ว้าย!” ติ่งหูของราชินีแคว้นเซียงเจ็บปวดรุนแรงระลอกหนึ่ง พอเอื้อมมือลูบคลำพบว่าติ่งหูฉีกแล้ว ไข่มุกจากต่างหูนกยูงเคลือบเงาห้อยสายไข่มุกบนติ่งหูร่วงหล่นหายไปเม็ดหนึ่งแล้ว 

 

 

ราชินีแคว้นเซียงเบิกตามองคราบโลหิตผืนหนึ่งบนนิ้วมือ เงยหน้ามองจี้อีฝานโดยพลัน…เจ้าเด็กคนนี้ใช่หรือไม่! เกลียดที่นางส่งเสริมงานสมรสของเหอหว่านกับยงซีเจิ้ง หวังกลั่นแกล้งนางผู้เป็นพี่สาวคนนี้! 

 

 

พอมองทางนั้น พลันพบว่าบนถาดรองของจี้อีฝานมีไข่มุกเม็ดหนึ่งกลิ้งขลุกขลักอยู่ 

 

 

เป็นไข่มุกเม็ดนั้นที่ร่วงหล่นจากบนต่างหูนาง!