บทที่ 50.3 ข้าทำได้ทุกอย่างเพื่อเจ้า! (3)

สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2

“ข้า…” ฉู่สวินหยางอ้าปากจะพูด แต่เสียงกลับติดอยู่ที่ปาก นางกลอกตาไปมา ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงขบขัน “หรือว่า… คิดหาทาง หนีไปด้วยกัน?”

ในสายตาคนนอก นางเป็นสตรีที่ถูกตามใจจนเสียคน เย่อหยิ่งเอาแต่ใจไม่เห็นใครในสายตา ถ้านางไม่อยากให้ฉู่ฉีเฟิงเดินทางลงใต้ ก็แค่ดึงดันหนีไปแล้วก่อเรื่องอะไรสักอย่าง เช่นนั้นก็ดูไม่น่าสงสัยสักนิด

ดวงหน้าของเหยียนหลิงจวินแข็งทื่อทันที ก่อนจะปล่อยเสียงหัวเราะออกมาตามหลัง สองมือประสานที่ท้ายทอย แล้วเลิกคิ้วใส่นาง “ต่อให้ข้าอยากจะหนี แต่จะไม่ยอมหนีไปหาฉู่ฉีเฟิงแน่!”

ฉู่สวินหยางถลึงตาใส่เขา เห็นท่าทางทีเล่นทีจริงแล้วก็หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก

ทั้งสองเงียบไปพักหนึ่ง เหยียนหลิงจวินก็ยืดตัวนั่งหลังตรง เขากอดนางพลางเอ่ยว่า “ความจริงไม่ต้องยุ่งยากขนาดนั้น กลับไปข้าปรุงยาให้เจ้า แล้วฝากให้ซูอี้ไปจัดการต่อ”

“เจ้าไปด้วยน่าจะดีที่สุด!” ฉู่สวินหยางรวบรวมความคิดที่กระจัดกระจายแล้วหันไปสบตาเขา วันนี้ตั้งแต่ที่เหยียนหลิงจวินเจอหน้านาง ก็เห็นว่าคิ้วของนางขมวดแน่นไม่ยอมคลาย “การไปครั้งนี้ของซูอี้น่าจะเจอเรื่องร้ายมากกว่าดี เจ้าเองก็คงไม่วางใจ ดังนั้นลองคิดหาวิธีติดตามเขาไปด้วยเถอะ อย่างน้อยสองคนก็ยังพอช่วยเหลือกันได้”

สกุลซูตอนนี้เหลือแค่กลุ่มคนที่ไร้ระเบียบ ไม่มีกำลังจะคุกคามใครได้ พลังดำมืดที่ใหญ่ที่สุดมาจากฮ่องเต้ทางนั้น

เหยียนหลิงจวินรู้ว่าซูอี้ไม่มีทางฟังเขา เดิมก็เป็นห่วงไม่น้อย ตอนนี้พอได้ฟังคำของฉู่สวินหยาง จึงหลุดยิ้มออกมาอย่างโล่งใจ “หรือว่าจะเอาอย่างเจ้าพูด ยอมเหนื่อยครั้งเดียวทำเรื่องให้จบ ข้าทำให้เขาไปไม่ได้ก็สิ้นเรื่อง”

ฉู่สวินหยางกลอกตาใส่เขาอย่างไม่สนุกด้วย “ข้าไม่มีอารมณ์มาล้อเล่นกับเจ้านะ”

ช่วงนี้เหยียนหลิงจวินก็กังวลเรื่องของซูอี้อยู่ ในใจไตร่ตรองอยู่สักพักก่อนจะเอ่ยด้วยท่าทีจริงจัง

“เอาเถอะ ข้าจะหาทางดู”

“อืม!” ฉู่สวินหยางเห็นเขารับปาก ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก

ขณะนี้ท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว ฉู่สวินหยางเงยหน้าไปมองแสงนอกหน้าต่าง “เจ้าจะกลับจวนสกุลเฉินเลยไหม?”

นิ้วมือของเหยียนหลิงจวินพันเล่นกับเส้นผมที่อยู่บนไหล่ของนาง มุมปากกระตุกเป็นรอยยิ้ม ถามว่า “เจ้าจะไปส่งไหมล่ะ?”

ฉู่สวินหยางแหงนหน้าขึ้นไปสบตาเขา อดจะยิ้มตามไม่ได้ ก่อนจะตะโกนออกไปด้านนอกว่า “ไปเถอะ! ไปจวนสกุลเฉิน!”

เจี๋ยหงกับเฉี่ยนลวี่กระโดดขึ้นรถ แล้วมุ่งหน้าตรงไปที่จวนของเฉินเกิงเหนียนทันที

ด้านในรถม้า ฉู่สวินหยางพยายามดันตัวลงจากตักเขา แต่ถูกเหยียนหลิงจวินกดเอวเอาไว้จนขยับตัวไม่ได้ “เจ้าไม่อึดอัดหรือไง?”

เหยียนหลิงจวินกลับกดคางลงที่ไหล่ของนาง กระซิบเชิงหยอกล้อว่า “ถ้าข้าตามซูอี้ไปกว่าจะได้กลับมาอย่างน้อยก็คงเป็นเดือน ถ้าไม่ให้กอดตอนนี้ ก็ต้องรอไปอีกนานเลยนะ”

เดี๋ยวนี้เวลาอยู่กันสองคน เขาไม่ระวังคำพูดเลยสักนิด ฉู่สวินหยางเคยชินแล้ว ดวงหน้าจึงไม่ขึ้นสี หัวใจก็ไม่เต้นผิดจังหวะ เพียงแค่คร้านจะไปต่อความกับเขา จึงทำเป็นไม่สนใจ เอื้อมมือไปหยิบถ้วยแล้วรินน้ำชาให้ตัวเอง จิบดื่มอย่างช้าๆ

เหยียนหลิงจวินที่เกยคางอยู่บนไหล่นางก็ไม่ได้ส่งเสียง คล้ายว่าครึ่งหลับครึ่งตื่น

รถม้าวิ่งไปอย่างมั่นคง ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วยามก็สั่นไหวเล็กน้อยก่อนจะหยุดลง

เฉี่ยนลวี่กับเจี๋ยหงที่อยู่ด้านนอกไม่ได้ร้องเรียก เหยียนหลิงจวินคล้ายจะไม่รู้สึกตัว ใบหน้าอิงอยู่บนไหล่นางไม่ไหวติง

ฉู่สวินหยางคิดว่าเขาแกล้งทำ จึงหันกลับไปเร่งเขา “ถึงแล้ว!”

“อืม!” เหยียนหลิงจวินงึมงำตอบ ตอนที่เงยหน้าขึ้นมาฉู่สวินหยางถึงได้เห็นท่าทางสะลึมสะลือของเขา

ดวงตาที่ปรือมอง ขนตากระพริบไหวจนเกิดเป็นเงากระเพื่อม

ใกล้ค่ำแล้ว ในรถมีเพียงแสงสลัว สีหน้าของเขาคล้ายเคลือบด้วยความง่วงงุนไว้อีกชั้น รู้สึกชวนมองยิ่งนัก นางจึงหยิกแก้มเขาไปทีหนึ่ง

ตอนที่เหยียนหลิงจวินลืมตาก็เห็นดวงหน้าเปื้อนยิ้มลอยอยู่ตรงหน้า ดวงตาพร่างพราวกำลังจ้องมาที่ตน

เขาไม่รู้จะโกรธหรือว่าจะขำดี จึงเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว กอดนางแล้วพากันล้มไปด้านหลัง

เขานอนหงายเงยหน้ามองฟ้า กอดฉู่สวินหยางวางไว้บนอกของตน

ฉู่สวินหยางฟุบอยู่บนร่างเขา ตอนที่สบตากัน ไม่รู้เพราะยังไม่ตื่นเต็มตาหรืออะไร ถึงรู้สึกว่าวันนี้ดวงตาของเขาอ่อนโยนเป็นพิเศษ ไม่แพรวพราวหรืออวดดี แต่มันสงบและมั่นคงจนทำให้คนมองรู้สึกหลงใหล

“มองอะไร?” เพราะเพิ่งตื่นเขาจึงไม่อยากขยับตัว ได้แต่นอนกอดนางไว้แบบนี้อย่างเกียจคร้าน

ฉู่สวินหยางหัวเราะแต่ไม่ตอบคำถาม เพียงยกมือแล้วลากนิ้วไปตามรูปคิ้วของเขา เอ่ยเสียงเบาว่า “ทำไมถึงหลับไปเสียล่ะ ช่วงนี้เหนื่อยมากเหรอ?”

“เปล่าหรอก อยู่ช่วยอาจารย์ลุงปรุงยาน่ะ” เหยียนหลิงจวินตอบ ดวงตาจับนิ่งที่ใบหน้าของนาง กล่าวน้ำเสียงเบาหวิว “เขาอายุมากแล้ว ยิ่งเหนื่อยง่ายขึ้นทุกวัน”

ตอนนี้นางไม่ต่อต้านสัมผัสใกล้ชิดของเขาแล้ว แต่สำหรับเรื่องอนาคต ก็ยังคงเงียบไม่พูดถึง หลายครั้งที่เขาอดไม่ได้จะถามออกไป แต่กลัวว่าจะไปกระทบจุดอ่อนไหวของนางเข้า จึงข่มใจไม่พูดถึง

เหยียนหลิงจวินครุ่นคิด ก่อนถามว่า “มาถึงที่แล้ว จะเข้าไปนั่งข้างในหน่อยไหม?”

“ไม่ล่ะ ข้าต้องรีบกลับจวน” ฉู่สวินหยางปฏิเสธอย่างไม่ลังเล

เหยียนหลิงจวินยื่นมือไปจับมือนาง กุมมันไว้กลางฝ่ามือ ก่อนจะเอ่ยอย่างช้าๆ ว่า “รอให้เรื่องนี้จบแล้ว เจ้าตามข้ากลับหุบเขาเพลิงอัคคีสักครั้งดีไหม?”

“หืม?” ฉู่สวินหยางกะพริบตา เงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างไม่เข้าใจ

เหยียนหลิงจวินละสายตาจากหน้านางแล้วมองไปที่หน้าต่าง แสงตะวันอ่อนๆ ที่กำลังจะลับขอบฟ้าสาดลอดเข้ามา มองแล้วไม่ถึงกับรู้สึกอบอุ่นอ่อนโยน แต่ทำให้คนหลงใหลเสียมากกว่า

“ช่วงนี้อาจารย์ปู่กลับไปที่นั่น” เหยียนหลิงจวินตอบ มุมปากยกโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มบางๆ ก่อนจะดึงสายตากลับมาจากนอกหน้าต่าง หันมามองนางอย่างเงียบๆ

ฉู่สวินหยางได้ยินก็เงยหน้าขึ้นมองเขา หัวเราะทีเล่นทีจริง “ถ้าเกิดพวกเขาไม่ชอบข้า เจ้าจะทำอย่างไร?”

เหยียนหลิงจวินได้ฟังก็ชะงัก สักพักถึงได้เข้าใจ รอยยิ้มที่สะท้อนในนัยน์ตาคล้ายจะผลิบานอย่างเต็มที่

เขากอดนางให้ลุกขึ้นนั่งอีกครั้ง แล้วย้อนถามกลับว่า “องค์รัชทายาทก็เหมือนจะไม่ชอบข้าสักเท่าไร เจ้าจะทำอย่างไรเล่า?”

——————————————————–