ฉู่สวินหยางเป็นฝ่ายตะลึงไปบ้าง
เหยียนหลิงจวินเห็นนางชะงักไป มือก็ออกแรงลูบศีรษะ จากนั้นก็ก้มลงไปจูบที่หน้าผากนาง เอ่ยว่า “งั้นก็ตกลงตามนี้ รอให้ข้าเสร็จธุระกับซูอี้กลับมา พวกเราจะหาโอกาสไปหุบเขาเพลิงอัคคีสักครั้ง?”
เขาพูดเสมอว่าเขาพร้อมจะทิ้งอดีตทุกอย่างเพื่อนาง อยู่กับนางที่นี่ แต่ฉู่สวินหยางก็รู้ว่านางไม่อาจเห็นแก่ตัว
นางทิ้งครอบครัวตัวเองไม่ได้แต่กลับรั้งเขาให้อยู่ที่นี่และทิ้งทุกอย่าง เดิมก็เป็นเรื่องที่บังคับจิตใจกันเกินไป
ในเมื่อคิดจะลองเดินไปด้วยกัน ก็ไม่ควรหลอกตัวเองและผู้อื่นอีก
แต่จู่ๆ ก็พูดเรื่องแบบนี้ขึ้นมา ฉู่สวินหยางจึงอดจะกังวลใจไม่ได้ จึงลองหยั่งเชิงดูว่า “ท่านพ่อของเจ้า…คงจะเป็นคนที่เข้มงวดมากใช่ไหม?”
รอยยิ้มบนหน้าของเหยียนหลิงจวินแข็งทื่อ กลับเจือความไม่สบายใจหลายส่วน
ฉู่สวินหยางรู้สึกได้ทันทีว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง จึงเรียกเขาอีกครั้งอย่างสงสัย “เหยียนหลิง?”
เหยียนหลิงจวินดึงสายตากลับมา มุมปากค่อยๆ ยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม ยกมือของนางขึ้นมาจูบ เอ่ยว่า “ไม่ต้องกลัว ท่านพ่อ…เป็นคนใจดีมาก”
น้ำเสียงของเขาค่อนข้างทุ้มต่ำ
ฉู่สวินหยางคิดว่าเขาจะพูดอะไรอีก แต่รออยู่นานก็ไม่ได้ยินเสียง จึงหันกลับไปมองอย่างสงสัย เห็นว่าเขามองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเหม่อลอย
ครั้งนี้ฉู่สวินหยางจึงมั่นใจว่าต้องมีเรื่องอะไรแน่ นางปีนออกมาจากอ้อมแขนแล้วยกมือถูแก้มของเขา “เจ้าเป็นอะไรไป? หรือข้าพูดอะไรผิด?”
“เปล่า!” เหยียนหลิงจวินได้สติ ก่อนจะส่งยิ้มให้ เอ่ยเย้านางเล่นว่า “ไม่ต้องกลัวหรอก คนพูดกันว่าสะใภ้อัปลักษณ์อย่างไรก็ต้องเจอพ่อตาแม่ยาย เจ้าก็ไม่ได้อัปลักษณ์เสียหน่อย”
ฉู่สวินหยางได้ฟังเขาพูดก็อึ้งไป สุดท้ายก็ถูมือที่หน้าเขาจนแดงเถือก
กำลังจะเอ่ยปาก เหยียนหลิงจวินก็หัวเราะยกใหญ่ พูดว่า “ความจริงข้ายอมให้พวกเขาไม่ชอบเจ้า พวกเราก็จะได้มีเหตุผลเต็มที่ที่จะหนีไปด้วยกันใช่หรือไม่?”
ฉู่อี้อันเอาแต่นิ่งเงียบ เรื่องนี้จึงยังไม่อาจตัดสิน
ฉู่สวินหยางรู้ว่าเขากำลังบอกใบ้อะไรบางอย่าง แต่จะพูดอย่างไรได้เล่า หรือจะให้นางไปทะเลาะกับฉู่อี้อันจริงๆ จากนั้นก็หนีไปให้ไกลพร้อมกับบุรุษผู้นี้?
เหยียนหลิงจวินเห็นว่านางนั่งเงียบ รอยยิ้มที่ยกโค้งก็ตกลงมาหลายส่วน “ถ้าไม่ได้จริงๆ…ข้าจะหาโอกาสไปคุยกับองค์รัชทายาทก็แล้วกัน!”
เรื่องแบบนี้อย่างไรก็ต้องทำอย่างเปิดเผยจริงใจ จะให้หลบๆ ซ่อนๆ คงไม่เข้าที
“รอเจ้ากลับมาแล้วค่อยว่ากันเถอะ!” ฉู่สวินหยางนิ่งไปก่อนจะตอบ จงใจละสายตาจากหน้าเขา “ฟ้ามืดแล้ว เจ้ารีบเข้าไปเถอะ!”
“อืม!” เหยียนหลิงจวินรับคำ แต่ท่าทางกลับไม่รีบร้อน
ฉู่สวินหยางเงยหน้ามองเขา “มีอะไรอีก?”
“ข้าจะต้องไปหลายวันเลยนะ!” เหยียนหลิงจวินพูด จ้องมาที่นางอย่างมุ่งมั่น
“เห็นชัดๆ ว่าเจ้าทิ้งซูอี้ไม่ลง…” ฉู่สวินหยางเข้าใจสิ่งที่เขาพยายามจะบอก แต่ก็ยังทำคอแข็ง “ไปหาเขาเถอะไป!”
“หึ…” เหยียนหลิงจวินได้ฟังก็หัวเราะอารมณ์ดี เขายกนางลงจากหน้าขา วางนางให้นั่งลงที่เบาะด้านข้าง ตัวเองจัดเสื้อผ้าจนเรียบร้อยแล้วก็ลงจากรถไป
ฉู่สวินหยางพลันงงงวย พอได้สติก็เปิดมุมผ้าม่านขึ้น มองออกไปด้านนอก
เหยียนหลิงจวินเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วไปที่ประตู เหมือนเขาจะรู้ตัวว่าถูกคนมอง พอเหยียบขึ้นบันไดได้ครึ่งทางก็หันกลับมา ก่อนจะส่งยิ้มให้นาง
แสงอ่อนยามเย็นตกกระทบบนตัวเขา ทำให้อารมณ์บนดวงหน้าดูสว่างไสวยิ่งกว่าเดิม
มือของฉู่สวินหยางที่เกาะอยู่มุมหน้าต่างพลันชะงักค้าง ก่อนริมฝีปากจะยกเป็นเส้นโค้ง จากนั้นก็ค่อยปล่อยผ้าม่านลงแล้วถอยกลับเข้าด้านใน
ตกค่ำคืนนั้น วังบูรพาเกิดเรื่องอึกทึกใหญ่โต
ท่านหญิงสวินหยางปลอมตัวหนีออกจากจวน ควบม้าเร็วพุ่งไปทางประตูเมืองทิศใต้
องค์รัชทายาทฉู่อี้อันทราบข่าว ไม่พูดมากความก็พาองครักษ์ออกจากจวนติดตามไปด้วยตัวเอง ที่ทางแยกห่างจากเมืองหลวงออกไปห้าลี้ก็จับคนกลับมาได้
สองพ่อลูกทะเลาะกันหน้าดำหน้าแดง สุดท้ายองค์รัชทายาทไม่ยอมนางอย่างเคย พาท่านหญิงสวินหยางกลับจวนด้วยท่าทีดุดัน ทั้งยังออกคำสั่งให้คนจับตาดูนาง ช่วงนี้ไม่อนุญาตให้นางออกจากจวนตามใจชอบ
วันถัดมาตอนที่ข่าวถูกแพร่ออกไปทั่วมุมถนน มีคนพูดว่าท่านหญิงสวินหยางถึงขนาดหนีออกจากเมืองกลางดึกเพื่อไปหาคังจวิ้นอ๋องที่แม่น้ำหมิน ส่วนองค์รัชทายาทก็โมโหบุตรสาวนอกรีตผู้นี้ยกใหญ่ แต่ก็ไม่ยอมให้ไป
แต่นี่ก็เป็นเพียงเรื่องในจวนที่ไม่เล็กไม่ใหญ่ของวังบูรพาเท่านั้น เพียงไม่กี่วันข่าวก็เงียบหายไปอย่างรวดเร็ว
ฮ่องเต้ประชวรครั้งนี้ พระองค์ไม่กล้าเรียกหมอหลวงคนอื่นให้มาจับชีพจร แทบจะยึดเอาเหยียนหลิงจวินไว้ข้างกาย แต่เหยียนหลิงจวินก็เอาตัวรอดจากสถานการณ์ได้อย่างง่ายดาย เพียงบอกว่ากำลังทดลองและปรับปรุงตัวยาที่จะใช้รักษาอาการป่วยของพระองค์อยู่ ทั้งจะต้องเดินทางลงใต้เพื่อหาสมุนไพรหลายอย่างมาเป็นส่วนผสม ฮ่องเต้ทรงคล้อยตามและอนุญาต จึงได้เรียกตัวเฉินเกิงเหนียนเข้าวังเพื่อเฝ้าดูพระอาการแทนเป็นการชั่วคราว
เหยียนหลิงจวินออกเดินทางก่อนซูอี้หนึ่งวัน ซึ่งก็คือบ่ายของอีกวันหลังจากที่ได้เจอฉู่สวินหยาง เขาออกจากเมืองหลวงไปเงียบๆ
วันที่สามติดๆ กันนั้นเอง ขบวนข้าหลวงใหญ่แห่งราชสำนักก็ออกเดินทางเพื่อไปคุมทัพทหารที่แนวรบแม่น้ำหมินทางตอนใต้ ทั้งยังได้รับคำสั่งพิเศษจากพระองค์…
ให้กำจัดโจรกบฏแห่งจวนอ๋องฉางซุ่นให้สิ้นซาก
การที่ซูอี้ลงใต้ ถือเป็นเรื่องดีเหมือนยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวสำหรับพระองค์ ข้อแรกเป็นการแสดงให้เห็นว่าพระองค์ยังทรงนึกถึงมิตรภาพความเป็นพี่น้องในปีนั้นของซูจิ่นรั่ง แม้จวนอ๋องฉางซุ่นจะคิดคดทรยศ แต่พระองค์ก็ไม่ได้เข่นฆ่าล้างบาง ยังให้โอกาสหลานชายแท้ๆ ของสกุลซูได้สร้างความชอบลบล้างความผิด ข้อสอง นี่เป็นการทดสอบความจงรักภักดีของซูอี้ ในขณะเดียวกันก็เป็นการโจมตีสกุลซูให้ถึงตาย
แน่นอนว่า ข้อดีข้อที่สาม ซึ่งก็คือข้อที่สำคัญที่สุด มีเพียงพระองค์คนเดียวเท่านั้นที่รู้อยู่แก่ใจ
———————————————–