บทที่ 50.5 ข้าทำได้ทุกอย่างเพื่อเจ้า! (5)

สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2

เวลาเที่ยงคืน

 

ภายในตรอกเงียบสงัดไร้เสียง บุรุษร่างสูงในชุดสีเทา ก้าวเท้าว่องไว แล้วผลักประตูของจวนเล็กหลังหนึ่งให้เปิดออก

 

เวลานี้ที่เรือนหลักยังมีแสงจากตะเกียงโผล่มาให้เห็น เงาแสงทาบลงบนกระดาษหน้าต่างกลางเก่ากลางใหม่

 

บุรุษผู้นั้นผลักประตูเข้าไป หญิงสาวที่นั่งป้อนยาให้ชิงหลัวอยู่ตรงขอบเตียงจึงหันมามอง

 

สองคนไม่พูดจา แต่ก็ต่างเข้าใจกัน

 

บุรุษเดินเข้าไปหา นิ่งมองชิงหลัวที่นอนไม่ได้สติ คิ้วขมวดน้อยๆ เอ่ยว่า “ยังไม่ฟื้นอีกหรือ?”

 

“อืม!” หญิงสาวตอบ “แผลบนตัวหายดีเกือบหมดแล้ว แต่ว่าไม่ยอมฟื้นเสียที หรือเป็นเพราะตอนนั้นได้รับบาดเจ็บหลายจุดเกินไป” นางวางถ้วยยาลง ล้วงเอาผ้าเช็ดหน้ามาซับที่มุมปากของชิงหลัว พอยืนขึ้นก็พูดต่อว่า “พรุ่งนี้เช้า ข้าจะออกจากเมืองหลวงแล้ว ที่นี่…”

 

นางพูดค้างไว้ ก่อนจะหันหน้าไปมองชิงหลัว ในที่สุดก็เอ่ยออกมาอย่างลังเลว่า “เจ้าจะมาบ่อยๆ ก็ไม่สะดวก สภาพนางเป็นเช่นนี้คงไม่ฟื้นขึ้นมาง่ายๆ อย่างไรเสียตอนนี้สถานการณ์ก็เปลี่ยนไปแล้ว จะส่งนางกลับวังบูรพาได้หรือไม่? อย่างน้อยก็มีคนช่วยดูแลนาง!”

 

ดวงหน้าหล่อเหลาของบุรุษไร้ซึ่งอารมณ์ เพียงมองชิงหลัวที่อยู่บนเตียงทีหนึ่ง เอ่ยว่า “เอาแบบนี้แหละ ข้าจะมาดูเอง!” แม้น้ำเสียงไม่หนักแน่น แต่แสดงชัดว่าไม่เห็นด้วย

 

หญิงสาวขมวดคิ้วเล็กน้อย อ้าปากเหมือนจะพูดบางอย่าง แต่พอเห็นสีหน้าของเขาก็นิ่งไป เพียงหมุนตัวเดินไปที่ด้านข้างของโต๊ะ ดึงลิ้นชักให้เปิดแล้วหยิบถุงกระดาษส่งให้เขา “ตอนค่ำข้าไปที่จวนสกุลเฉินมา ข้าได้สิ่งที่เจ้าต้องการมาแล้ว ไม่มีอุปสรรคมากเท่าไร!”

 

“อืม!” บุรุษรับถุงกระดาษไว้ ก่อนจะยัดใส่แขนเสื้อ

 

หญิงสาวไม่พูดต่อ หมุนกายไปหยิบถ้วยชาที่อยู่บนโต๊ะด้านข้าง

 

บุรุษผู้นั้นมองนาง ก้าวขาออกมาหนึ่งก้าว แล้วกุมข้อมือของนางผ่านชายแขนเสื้อ “เดี๋ยวข้าจะหาข้ออ้างสักข้อ ภารกิจครั้งนี้ เจ้าไม่ต้องไปหรอก!”

 

ตอนนั้นร่างของหญิงสาวเพิ่งจะก้มลง พอได้ยินคำของเขาก็สะท้านสั่นไปทั้งตัว

 

ใต้เงาตะเกียง ดวงหน้าด้านข้างของนางไม่ได้แสดงอารมณ์ใดเป็นพิเศษ แต่ริมฝีปากกลับถูกเม้มจนเป็นเส้นตรง ไตร่ตรองอยู่พักหนึ่งก่อนจะยืดตัวตรงอย่างช้าๆ

 

นางมองหน้าบุรุษผู้นั้น นัยน์ตาที่นิ่งเรียบเหมือนน้ำกลับมีความซับซ้อนที่ยากจะอธิบายกลบทับ

 

เมื่อถูกหญิงสาวจับจ้อง บุรุษผู้นั้นจึงสูดหายใจลึกแล้วเบนสายตาไปอีกทาง เอ่ยเสียงเย็นว่า “หากเจ้าอยากจะถอนตัว หลังจากจบภารกิจนี้ นี่จะเป็นโอกาสที่ดีที่สุด ข้าจะช่วยจัดการเรื่องต่างๆ ตามหลังให้ เจ้า…”

 

“ข้าไม่ไป!” หญิงสาวไม่รอให้เขาพูดจบก็ตัดบทเขาด้วยเสียงอันดัง

 

บุรุษผู้นั้นคล้ายว่ากำลังบังคับไม่ให้ตัวเองหันหน้ากลับมามอง เงียบไปพักใหญ่ก็ถอนหายใจอย่างพยายามต่อรอง “เช่นนั้นก็ทำตามที่ข้าบอก ภารกิจนี้เจ้าไม่ต้องเข้าร่วม ข้าจะหาเหตุผลมาบอกปัดให้ เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องยุ่งอีก”

 

เขารีบพูดให้จบ พลันก็หมุนตัวเดินไปทางประตูด้วยความหงุดหงิด

 

หญิงสาวมองตามหลังเขาไป สุดท้ายก็เบนสายตาหนีไปมองด้านข้าง “ช่วงที่ข้าไม่อยู่เจ้าอย่าลืมมาดูแลนางด้วย”

 

พูดจบก็หยิบถ้วยยาเปล่าขึ้นมา ก่อนจะเดินผ่านบุรุษผู้นั้น แล้วดึงบานประตูให้เปิดออก

 

ฝีเท้าของบุรุษพลันชะงักกึก วินาทีที่นางยื่นมือไปเปิดประตูเขาพลันยกมือขึ้นแล้วกดทับที่หลังมือของนาง ก่อนจะดันบานประตูที่เปิดออกเล็กน้อยให้ปิดสนิท

 

ดวงหน้าของเขาเย็นเยียบ สายตาสงบนิ่ง น้ำเสียงที่เปล่งออกมาไร้ซึ่งจังหวะทำนอง “ข้าไม่ต้องการให้เจ้าทำสิ่งเหล่านี้เพื่อข้า ชีวิตของเจ้า…ก็มีค่าไม่ต่างกัน!”

 

“ทุกอย่างที่เกิดขึ้นข้าล้วนแต่เต็มใจ” หญิงสาวเอ่ยปากอย่างเย็นชา สีหน้าไร้อารมณ์ แต่ดวงตากลับมีน้ำตาเอ่อคลอ

 

นางเหมือนกดเก็บทุกอย่างมาเนิ่นนาน นิ้วมือที่ทาบอยู่บนบานประตูจิกลงอย่างไม่รู้ตัว หลังจากต่อสู้กับตัวเองอยู่นานถึงได้หันหน้ากลับมา หยดน้ำตาที่กลั้นเอาไว้ก็ร่วงหล่นในวินาทีนั้น

 

นางพูดว่า “ข้าทำทุกอย่างก็เพื่อเจ้า แต่ข้าขอร้อง…อย่าได้ทิ้งข้าอีก หากว่ามีครั้งต่อไป ข้าก็ไม่แน่ใจว่าตัวเองจะมีแรงตามหาเจ้าอีกครั้งไหม เจ้าไม่ได้ขอร้องให้ข้าทำ ตลอดหลายปีมานี้ ข้าทำทุกอย่างด้วยความเต็มใจ อย่าบอกให้ข้าจากไปอีก อย่าคิดว่าข้าคือภาระ ข้ารู้ว่าข้าช่วยเจ้าได้ไม่มาก เจ้าเองก็รู้ว่าข้าไม่มีที่ให้ไปอีกแล้ว เจ้าก็แค่ทำเรื่องที่ควรจะทำต่อไป ข้าจะติดตามเจ้า เจ้าไม่ต้องคิดเผื่อข้า แล้วก็ไม่ต้องมาดูแลข้า เดินไปได้ไกลแค่ไหนพวกเราก็ไปแค่นั้น เป็นเช่นนี้…ดีหรือไม่?”

 

หลายปีที่ถูกฝึกฝนอย่างโหดร้าย เหมือนว่าใบหน้าของนางจะชาด้านไปหมดจนไร้ซึ่งอารมณ์ มีเพียงน้ำตาที่คลออยู่ภายใน ความเจ็บปวด หวาดกลัว และความรู้สึกต่างๆ ล้วนผสมปนเป มองแล้วทั้งหวาดหวั่นทั้งน่าสับสน

 

ดวงตาของนางแวววาว จ้องมองบุรุษเบื้องหน้าด้วยความหวังที่เต็มเปี่ยม

 

นิ้วมือที่ซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อของเขากำแน่น มือค่อยยกขึ้นช้าๆ ราวกับอยากจะเช็ดน้ำตาบนหน้าให้กับนาง แต่หลังจากเคลื่อนไหวได้เล็กน้อยก็บังคับตัวเองให้อดทนเอาไว้

 

เขาแค่มองนางด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ตอนแรก…เจ้าไม่ควรมาหาข้าเลย ทำไมต้องทำร้ายตัวเอง ทั้งๆ ที่เจ้าก็รู้ดี ว่าข้าให้อะไรเจ้าไม่ได้สักอย่าง!”

 

หญิงสาวเม้มปากแน่น จ้องมองแต่เขา “ไม่! ข้าไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น ข้าขอแค่ได้อยู่ข้างกายเจ้าก็พอ ข้ารู้ว่าเจ้าต้องการอะไร ข้าจะไม่ห้ามเจ้า ถึงแม้…เจ้าจะเลือกเดินเส้นทางที่ไม่อาจย้อนกลับ ข้าก็จะเดินไปกับเจ้า”

 

สายตาของบุรุษตกอยู่บนใบหน้านาง เบื้องลึกในนัยน์ตาไร้ซึ่งการสั่นไหว ผ่านไปเนิ่นนาน ถึงถอนหายใจอย่างช้าๆ ล้วงเอาถุงกระดาษจากเอวมายัดใส่มือนาง เอ่ยว่า “เช่นนั้นเรื่องนี้ เจ้าก็เป็นคนทำเถอะ!”

 

พูดจบ ก็เปิดประตูแล้วก้าวเท้าฉับๆ ออกไป

 

หญิงสาวยืนอยู่ข้างประตู มองแผ่นหลังที่กลืนหายไปกับความมืดอย่างรวดเร็ว หยดน้ำร่วงพรูลงมาอย่างห้ามไม่อยู่

 

นี่คือเส้นทางที่ไม่อาจหันหลังกลับ แต่สิ่งที่เขาเลือกนั้น นางไม่มีเหตุผลและไม่มีสิทธิ์ไปหยุดเขา แม้รู้ว่าจะต้องเป็นเช่นนี้ นางก็ไม่ขลาดกลัวและไม่ถอยหนี นางจะวิ่งตามฝีเท้าเขาไป ไม่ยอมให้ห่างแม้เพียงวินาที

 

เพราะโลกทั้งใบของนาง มีเพียงแต่เขาเท่านั้น!

 

ทุกครั้งที่เอาชีวิตเข้าแลก ก็เพียงต้องการปกป้องเขาอยู่ข้างๆ ให้นานอีกหน่อย ขอแค่นานอีกหน่อยเท่านั้น!

 

นางไม่หวังจะหันหลังกลับ ต่อให้เบื้องหน้าจะมีเพียงทะเลเพลิงรออยู่ ขอเพียงเขาต้องการ นางจะทำทั้งสิ้น

 

แต่งหน้า? แต่งหน้า! ใช่ว่าขาดแคลนชาดแดง แต่แต่งแล้วจะให้ใครชม?[1]

 

นางเปลี่ยนชื่อทิ้งแซ่ก็เพื่อเขา เขารู้ดี นางรู้ว่าเขารู้ทุกอย่าง

 

ส่วนนาง…

 

ไม่เคยกลัวไม่เคยหนี รักเขาข้างเดียวอยู่แบบนี้ สุดท้ายก็ยังคงตามหาหัวใจที่ถูกเขาขว้างทิ้งจนเลือดนองเต็มพื้นไม่เจอใช่ไหม?

 

แต่ต่อให้จะเป็นเพียงร่างไร้วิญญาณ นางก็จะคอยเดินตามเขา เข้าใกล้เขาอีกนิด ขอแค่เข้าใกล้อีกนิดก็พอ!

 

ชีวิตนี้ นางยอมทนได้ทุกอย่าง ยกเว้นสิ่งเดียว…

 

คือการที่เขาทอดทิ้งนางอีกครั้ง! ไม่มีวัน!

 

 

นับจากวันที่ถูกจับไม่ให้หนีออกนอกเมือง ฉู่สวินหยางก็ถูกฉู่อี้อันกักบริเวณ ไม่อนุญาตให้นางก้าวออกจากจวนแม้แต่ก้าวเดียว

 

นี่เป็นครั้งแรกในหลายปี ที่องค์รัชทายาทแสดงท่าทีแข็งกร้าวใส่ฉู่สวินหยาง ไม่แม้แต่จะเหลือที่ให้ต่อรอง สองพ่อลูกห้ำหั่นใส่กันจนหน้าดำหน้าแดง

 

ทุกคนในวังบูรพารวมทั้งท่านหมอเอง ต่างพยายามหลีกเลี่ยงการพบหน้ากับสองพ่อลูกในช่วงนี้

 

ดูว่าเรื่องราวเล็กน้อย คล้ายไม่สลักสำคัญอะไร แต่เช้าวันที่สามที่เหยียนหลิงจวินออกจากเมืองหลวง วังบูรพาก็เรียกตัวหมอหลวงอย่างเร่งด่วน ท่านหญิงสวินหยางล้มหมอนนอนเสื่อ อาการไม่ดีเอาเสียเลย

 

————————————————

 

 

[1] ใช่ว่าขาดแคลนชาดแดง แต่แต่งแล้วจะให้ใครชม? เป็นกลอนบทหนึ่งในตำรากลอน ‘ชือจิง’ เล่าถึงภรรยาที่คิดถึงสามีซึ่งออกศึกไปแดนไกล