ตอนที่ 152.3 สักใบหน้าแก้แค้น กับ ไขความลับ (3)

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

ความแค้นเคืองของเหล่าองค์หญิงที่เก็บมานาน วันนี้มันถูกระบายออกมาหมดแล้ว เวลาผ่านไปเพียงครู่เดียว ตั้งแต่หัวจรดเท้าของหย่งจยาเต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นเน่าของไข่ขาวไข่แดง และผักผลไม้เน่าเสีย ผมเพ้ามีของเหลวเปียกแฉะพาดมาถึงหน้า ไม่มีส่วนไหนเลยที่สะอาด อีกทั้งยังถูกของแข็งพวกผลไม้ทุบใส่จนเวียนหัว นางเจ็บใจมากจนอยากร้องไห้แต่ก็ร้องไม่ออก ถ้าขืนยังเป็นอย่างนี้ต่อไปคงเล่นข้าจนตายแน่ๆ นางร้องด้วยเสียงเจ็บปวดว่า “มีใครอยู่ตรงนั้นไหม——มีไหม——ข้าจะพบเสด็จลุง——” 

 

 

“เรียกหาคนช่วย? เสด็จลุงงั้นรึ เจ้าคิดว่าเจ้ายังเป็นท่านหญิงอย่างงั้นรึ! พระราชโองการเมื่อครู่นี้ ลืมไปแล้ว” ซย่าโหวถิงก้าวเท้าเข้าไปหาด้วยความโกรธ เพียะเพียะ ฟาดไปที่แก้มอย่างไม่สนใจความสกปรก หย่งจยาถูกตบจนสองเข่าพับงอและคุกเข่าลงที่พื้น 

 

 

เหล่าองค์หญิงท่านอื่นเดินเข้าไปถุยน้ำลายใส่นาง แล้วคนที่นอนราบกับพื้นก็นิ่งไร้การเคลื่อนไหว นางกุมหัวเอาไว้ไม่กล้าเรียกหาฮ่องเต้อีก นางทำได้เพียงเคียดแค้นอยู่ในใจและพูดด้วยน้ำตาว่า “อย่างน้อยพวกเราก็เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน พวกเจ้ายังมีความเป็นมนุษย์อยู่หรือไม่…ข้าไม่ขอร้องอะไรกับพวกเจ้า ข้าขอ ให้ข้าออกจากวังแต่โดยดีก็เพียงพอแล้ว!” 

 

 

“ลูกพี่ลูกน้อง! กล้าพูดออกมาด้วยรึ! หลายปีที่ผ่านมาเจ้าเคยคิดว่าพวกเราเป็นพี่น้องหรือไม่ เจ้าแย่งความรักของเสด็จพ่อไว้เพียงคนเดียว เหยียบย่ำพวกเราทุกคนให้จมดิน! เจ้ามันไร้ยางอาย! เจ้าถูกกระทำแค่วันเดียว แต่พวกข้าถูกกระทำมาแล้วสิบกว่าปี เจ้าทำร้ายพวกข้ายังไม่พอ เจ้ายังทำร้ายพี่สะใภ้สามอีก! ทำไมรึ คนตระกูลซย่าโหวถูกกำหนดไว้ว่าต้องอยู่ในกำมือเจ้าอย่างงั้นหรือ พวกข้าแค่โยนไข่เน่าไม่กี่ฟองเจ้าถึงกับรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมเลยรึ ข้าว่ามันยังน้อยไปด้วยซ้ำสำหรับเจ้า!” องค์หญิงท่านหนึ่งกล่าวด้วยความดูถูก 

 

 

“ออกจากวังแต่โดยดี?” ซย่าโหวถิงหัวเราะอย่างเย็นชา “ทหาร” ให้สัญญาณแก่เหล่าองค์หญิงให้ถอยหลังด้วยการโบกมือ 

 

 

ขันทีหนุ่มท่าทางแข็งแรงสองคนเดินเข้ามาและพยุงท่านหญิงหย่งจยาที่สภาพเละเทะขึ้นมา 

 

 

ขันทีอายุเยอะคนหนึ่งถือบางอย่างเอาไว้ที่มือและเดินเข้ามา 

 

 

“พวกเจ้าจะทำอะไร——” เศษไข่แดงที่ติดอยู่ตรงขนตาบดบังสายตาเอาไว้ แต่ช่องว่างที่เหลืออยู่ ยังพอทำให้เห็นถึงแสงเงาวับวาบที่อยู่ตรงหน้าได้! 

 

 

ที่มือของขันทีถือเข็มยาวหกนิ้วหนาเท่านิ้วก้อยเอาไว้หนึ่งอัน และยังหยิบขวดดินเผาหลายอันขึ้นมาจากกระเป๋าแขนเสื้อวางไว้บนโต๊ะ พอเปิดออกมา นี่มันผงสีดำ สีเหลือง สีน้ำเงิน สีม่วงนิ! 

 

 

นักโทษที่โดนลงโทษด้วยวิธีนี้ จะถูกสักคำว่า “นักโทษ” ที่หน้าผาก เพื่อเป็นการย้ำเตือนว่าเคยทำผิด เพราะผู้หญิงจะให้ความสำคัญกับใบหน้ามาก การลงโทษด้วยวิธีนี้จึงมักใช้กับนางกำนัลซะส่วนใหญ่ 

 

 

“ไม่——! พวกเจ้าบ้าไปแล้วหรืออย่างไร——” หย่งจยาปิดตาแน่น จากนั้นขัดขืนสุดกำลัง ขันทีสองคนใช้แรงบีบบังคับให้นางคุกเข่าที่พื้น คางที่นางดูแลจนเนียนนุ่มถูกขันทีคนหนึ่งจับเอาไว้ และดันขึ้นมาอย่างรุนแรง ทำให้ใบหน้าของนางอยู่ในท่าเงยขึ้นมองฟ้า ส่วนขันทีอีกคนหนึ่งนำผ้าเช็ดหน้าอุดที่ปากอีกครั้ง 

 

 

“เจ้าสิบ้า ไม่เจียมตัว ไม่รู้จักหยุด!” ซย่าโหวถิงให้สัญญาณมืออีกครั้ง ขันทีอายุเยอะคนนั้นนำเข็มยาวกรีดลงที่หน้าผากของหย่งจยา ทุกๆ หนึ่งแผล จะตามด้วยเสียงกรีดร้องหนึ่งที แต่เสียงเจ็บปวดเหล่านั้นกลับถูกฝังเอาไว้ในผ้าผืนนั้นไม่ได้เปล่งออกมา 

 

 

องค์หญิงฉางเล่อ ริบของมีค่า สักใบหน้า นี่คิดจะปิดโอกาสทุกอย่างหลังจากนางออกจากวังอย่างงั้นรึ! ท่านหญิงหย่งจยากล้ำกลืนฝืนทนความเจ็บปวดที่มาจากหน้าผาก “ฉางเล่อ คอยข้าเอาไว้นะ! วันใดที่ข้ามีอำนาจ ข้าจะเจาะหน้าของเจ้าให้เป็นรูให้หมด!…อ้าก! เจ็บเหลือเกิน! พวกเจ้าจำเอาไว้——” ยังพูดไม่ทันจบ ปลายเข็มกรีดเข้าเนื้อและเสียงเจ็บปวดก็ถูกเปล่งออกมาอีกครั้ง 

 

 

การลงโทษด้วยการสักใบหน้าเป็นอันเสร็จสิ้น เหล่าขันทีปล่อยตัวนักโทษ จากนั้นเดินตามเหล่าเจ้านายออกไป 

 

 

เหยาฝูโซ่วที่ยืนอยู่ด้านนอก ได้ยินเสียงกรีดร้องอยู่บ้าง เมื่อเห็นองค์หญิงฉางเล่อและคนอื่นจากไปแล้ว เขาจึงมองเข้าไปด้านในพร้อมกับขมวดคิ้ว “ไปเรียกทหารมา รีบส่งออกไปเถอะ!” 

 

 

หลังจากที่ท่านหญิงหย่งจยาซย่าโหวเซวียนถูกไล่ออกจากวังแล้ว ทั่วราชสำนักต่างพากันพูดถึงต่างๆ นานา 

 

 

โดยเฉพาะเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่ดังสนั่นไปทั่วท้ายวัง ต่างพากันรู้สึกตะลึงถึงการกระทำของท่านหญิง ผู้เป็นที่รักเหนือผู้อื่น จะกล้าสั่งให้สาวใช้ทำเรื่องพรรณนี้ได้ และไม่มีใครแม้แต่คนเดียวที่ช่วยเรียกร้องและสงสารนางเลย นั่นเป็นเพราะความผิดนี้ใหญ่หลวงจึงไม่กล้าช่วย และในวังหลังนั้น นางได้รับความเอ็นดูจากฝ่ฮ่องเต้จนเป็นที่เลื่องลือ ช่วงเวลาทั่วไป คนรอบตัวต่างก็ประเคน คอยดูแลตามพระประสงค์ของฝ่าบาทดั่งทูนหัว วันนี้พอเกิดเรื่องขึ้น ความอิจฉาที่สั่งสมอยู่ภายในใจของทุกคนก็พรั่งพรูออกมา ไม่เหยียบย่ำนางเพิ่มก็ถือว่าเห็นแก่นางแล้ว จะไปช่วยเหลือได้อย่างไรกัน! 

 

 

หากประพฤติด้วยธรรมก็จะมากไปด้วยความช่วยเหลือ หากประพฤติอย่างไร้ธรรมก็จะไร้การช่วยเหลือ เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้วก็ไม่แปลกที่ไม่มีคนช่วยออกเสียงใดๆ ในทางกลับกัน หลังจากเรื่องที่องค์หญิงฉางเล่อและเหล่าองค์หญิงรุมประชาทัณฑ์ไปถึงฮ่องเต้ จนถูกหนิงฝ่าบาทตำหนิไปสองสามที แต่แล้วเหล่าสนมก็ออกหน้าหว่านล้อมไม่ให้ฝ่าบาทตำหนิมากไปกว่านี้ 

 

 

วันนั้นเกาจ๋างสื่อไปทำธุระที่สำนักพระราชวัง ได้ข่าวมาว่าก่อนที่ท่านหญิงหย่งจยาออกจากวัง องค์หญิงฉางเล่อพาพี่น้องของนางไปแก้แค้น พอกลับถึงจวน เขาจึงรีบรายงานให้พระชายารู้ เขาส่ายหัวและพูดว่า “ได้ยินว่าตอนที่กำลังคุมออกจากประตูเจิ้งหยาง ทั้งตัวของท่านหญิงเปรอะเปื้อนไปด้วยไข่ ใบผัก เหนียวเหนอะหนะไปทั้งตัวจนแทบจะดูไม่ได้ แม้ว่ามีผมบังที่หน้าผาก แต่คนในวังต่างก็ดูออก ว่าถูกสัก…” 

 

 

ชูซย่าและคนอื่นที่ได้ยินไปด้วยต่างก็สูดหายใจเข้าลึกๆ 

 

 

หลายวันมานี้อวิ๋นหว่านชิ่นงานยุ่งมาก แม้ว่าเครื่องหอมอีกห้าลังไม่มีไข่หนอน แต่มันเคยถูกเปิด เพื่อความสมบูรณ์ของสินค้า ความพึงพอใจของต้าสือ นางสั่งให้หงเยียนแจ้งให้บ้านสวนโย่วเสียนเร่งผลิตข้ามคืน เพิ่มอีกห้าชุด เมื่อวานเพิ่งได้ครบตามจำนวน และสั่งให้คนส่งไปให้หลี่ฝานย่วนเรียบร้อย 

 

 

เยี่ยนอ๋องตอบกลับมาเมื่อเช้านี้ว่าได้ส่งสินค้าไปยังที่พักเรียบร้อยแล้ว ส่วนทางต้าสือนั้น ด้วยความที่หนิงซีฮ่องเต้ลงโทษผู้กระทำอย่างท่านหญิงแล้ว เป็นที่น่าพอใจ ครั้งนี้ดำเนินการตรวจเช็คสินค้าด้วยตัวเอง ก็พึงพอใจด้วยเช่นกัน และยังชื่นชมความว่องไวของพระชาฉินอีกด้วย 

 

 

เหตการณ์ครั้งนี้ประสบอุปสรรคนานับประการ เรื่องดีๆ มักเต็มไปด้วยอุปสรรค อย่างน้อยมันก็สิ้นสุดลงแล้ว 

 

 

เวลานี้พอได้ยินสิ่งที่เกาจ๋างสื่อรายงาน สีหน้าของอวิ๋นหว่านชิ่นไม่ได้เปลี่ยนไปเท่าไหร่นัก สำหรับท่านหญิงหย่งจยา จนถึงวันนี้ยังมีบางอย่างที่คิดไม่ตก ต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด ล้วนแต่เกิดจากความคิดเพ้อเจ้อที่นางมีต่อฉินอ๋อง 

 

 

พูดถึง ท่านหญิงหย่งจยาท่านนี้ไม่สนใจเรื่องสัจธรรมก็เอาเถอะ แต่นางเคยเจอฉินอ๋องเพียงแค่ไม่กี่ครั้ง ไม่รู้จริงๆ ว่าความต้องการครอบครองนี้มาจากไหน 

 

 

สำหรับท่านหญิงหย่งจยาแล้ว ฉินอ๋องดีขนาดนั้นเชียวหรือ ดีถึงขนาดที่ว่านางยอมทำเรื่องเลวร้ายมากมายถึงเพียงนี้ แล้วยังยอมละทิ้งยศถาบรรดาศักดิ์เพื่อเขาอีก 

 

 

การแลกเปลี่ยนนี้ มันคุ้มค่าแล้วจริงหรือ 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นหยุดความคิดไว้ จากนั้นจึงถือโอกาสนำเรื่องนี้ตักเตือนคนในจวนว่า “เรื่องนี้สอนให้พวกเจ้ารู้ว่า จะทำอะไรถ่อมตัวไว้เป็นศรีแก่ตัว อย่าก่อเรื่องไร้สาระจนเป็นที่สนใจของผู้อื่น พวกเจ้าดูท่านหญิงหย่งจยาสิ หากนางวางตัวให้ดีแต่แรก เอาใจผู้อื่นเสียหน่อย แม้ว่าครั้งนี้ไม่อาจให้อภัยได้ แต่อย่างน้องก็ไม่ต้องถูกกระทำเช่นนี้! ดั่งคำที่เคยกล่าวไว้ว่า การถูกพันคนตำหนิ ถึงแม้จะไม่ป่วยเป็นโรคก็ตายได้ เข้าใจหรือยัง” 

 

 

เกาจ๋างสื่อ ชูซย่า ฉิงเสวี่ย เจินจู และคนอื่นๆ มองไปยังจุดเดียวกันและพยักหน้าหงึกๆ ทุกคนฟังคำสอนของพระชายาอย่างตั้งใจ แต่พอคิดอีกอย่าง เหมือนมีบางอย่างไม่ถูกต้อง เจินจูจึงโพล่งออกไปอย่างไร้เดียงสาว่า “พระชายาก็ไม่ได้ถ่อมตัวนิเจ้าคะ หลังจากวันงานเลี้ยงสังสรรค์วันนั้น ญาติเชื้อพระวงศ์ไม่มีใครไม่รู้เลยว่าพระชายาโต้ตอบกับชาวต้าสืออย่างลื่นไหล จนทำให้ทูตนั้นตะลึงไปเลยทีเดียว วันนี้เครื่องหอมที่จะส่งออกไปยังต้าสือ ก็ล้วนแต่ถูกส่งออกโดยฝีมือของพระชายา มีบางคนยังพูดเลยว่า ท่านหญิงหย่งจยาถูกจับกุมได้เร็วเพียงนี้ ล้วนเป็นเพราะพระชายาจัดการร่วมกับล่ามผู้ติดตามของต้าสือ พระชายาปิดคดีได้เร็วกว่าพวกเจ้าหน้าที่อีกนะเจ้าคะ!”