ตอนที่ 380 ดูตัว

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

เที่ยงของวันถัดมา โจวชูจิ่นมอบหมายให้โจวเสาจิ่นนำจดหมายไปส่งให้เฉิงฉือ

โจวเสาจิ่นถือจดหมายเอาไว้ไม่ขยับ ดวงตากลอกไปมาไม่หยุด เอ่ยขึ้นว่า “ถ้าท่านพี่บอกข้าว่าเมื่อวานท่านน้าฉือคุยอะไรกับท่านบ้าง ข้าก็จะไปส่งจดหมายให้ท่านน้าฉือเจ้าค่ะ”

เมื่อวานหลังจากที่เฉิงฉือจากไปแล้วนางก็เฝ้าเพียรถามพี่สาว ทว่าพี่สาวกลับยังคงเงียบ ปิดปากแน่นสนิท

“เจ้ายังจะมาต่อรองกับข้าอีกหรือ!” โจวชูจิ่นเดินไปบีบจมูกของโจวเสาจิ่น กล่าวว่า “เจ้าไม่อยากไปใช่หรือไม่ เช่นนั้นข้าจะให้ฉือเซียงไปก็แล้วกัน! อย่างไรเสียก็เพียงไปส่งจดหมายฉบับหนึ่งเท่านั้น ให้เจ้าไป ก็เพียงเพราะต้องการแสดงความเคารพของพวกเราที่มีต่อท่านน้าฉือก็เท่านั้น…”

ได้เจอหน้าเฉิงฉือ อีกทั้งยังได้พูดคุยกับเฉิงฉือด้วย โอกาสเช่นนี้โจวเสาจิ่นจะปล่อยไปได้อย่างไร!

นางหันหน้าหนี หลบมือของโจวชูจิ่น ยู่ปากพึมพำกล่าวว่า “ไปก็ไป! ท่านพี่ทำเช่นนี้ได้อย่างไรเจ้าคะ! หากบีบจมูกของข้าจนหักไป คอยดูข้าจะร้องไห้ให้ท่านดู!”

“ข้าเคยแต่ได้ยินว่าถูกชนจนจมูกหัก ยังไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่ามีใครถูกบีบจนจมูกหัก” โจวชูจิ่นอดหัวเราะไม่ได้ กล่าวว่า “แค่เอาจดหมายไปส่งฉบับเดียวใครใช้ให้เจ้าพูดมากถึงเพียงนี้”

โจวเสาจิ่นก็แค่อยากรู้

นางสัมผัสได้รางๆ ว่าเรื่องนี้ต้องเกี่ยวข้องกับตนเองเป็นแน่

นางกอดแขนของโจวชูจิ่นเอาไว้อย่างออดอ้อน ร้องคำว่า “ท่านพี่” ไม่หยุด

โจวชูจิ่นเห็นว่าใกล้เวลาเข้าไปทุกทีแล้ว เกรงว่าหากขึงขังต่อไปมีแต่จะเสียเรื่อง จึงกึ่งแสร้งทำท่าทีไร้ทางเลือกออกมาพลางกล่าว “เป็นเรื่องของเฉิงลู่ ท่านน้าฉือของเจ้าไม่ให้ข้าบอกเจ้า เจ้าไปถามเขาเอาเองก็แล้วกัน”

โจวเสาจิ่นได้ยินเช่นนั้นดวงตาก็เป็นประกาย เอ่ยถามขึ้นว่า “แสดงว่าเรื่องของเฉิงลู่นั่นเป็นฝีมือของท่านน้าฉือหรือเจ้าคะ”

โจวชูจิ่นพยักหน้ายิ้มๆ กล่าวอย่างมีนัยแอบแฝงว่า “ท่านน้าฉือของเจ้าล้วนหวังดีต่อเจ้า ต่อไปอยู่ต่อหน้าท่านน้าฉือเจ้าต้องเชื่อฟังเสียบ้าง!”

โจวเสาจิ่นพยักหน้าพร้อมกับยิ้มตาหยี กล่าวอย่างลิงโลดว่า “ข้าเชื่อฟังมากอยู่แล้ว ท่านพี่ยังจะให้ข้าเชื่อฟังอย่างไรอีกหรือเจ้าคะ โดนตีก็ให้อดทนไว้ โดนด่าก็ให้อดทนไว้อย่างนั้นหรือเจ้าคะ”

โจวชูจิ่นมองท่าทางของโจวเสาจิ่นแล้วก็รู้ได้ว่าเฉิงฉือจะต้องตามใจนางมากเป็นแน่ เพราะฉะนั้นนางถึงได้ไม่กลัวท่านน้าผู้ดูแลกิจการของซอยจิ่วหรูผู้นี้เลยแม้แต่นิดเดียว

“ก็ได้!” นางเอ่ยเย้าน้องสาวยิ้มๆ ว่า “ถึงเวลานั้นหากท่านน้าฉือตีเจ้าหรือด่าเจ้า เจ้าก็ต้องอดทนไว้ ห้ามร้องไห้ขี้มูกโป่งกลับมาเป็นเด็ดขาด”

“ท่านใช่พี่สาวของข้าหรือไม่” โจวเสาจิ่นผลักพี่สาวครั้งหนึ่งด้วยท่าทางกรุ่นโกรธ จากนั้นก็หัวเราะคิกคักวิ่งออกจากห้องชั้นในไป

ตอนที่หลี่ซื่อยกน้ำแกงปลาไนเข้ามานั้นได้ยินเพียงเสียงหัวเราะเบิกบานอย่างมีความสุขของโจวเสาจิ่นเท่านั้น

นางอดหัวเราะตามขึ้นมาด้วยไม่ได้ เอ่ยถามขึ้นว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ คุณหนูรองถึงได้ดูมีความสุขเพียงนั้น”

ใบหน้าของโจวชูจิ่นเต็มเปี่ยมไปด้วยความยินดีปรีดาที่ปิดไม่มิด เม้มปากกลั้นยิ้มพลางตอบว่า “ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ เพียงกล่าวเย้าหยอกกับนางไปสองประโยคเท่านั้น!”

เวลานี้ยังมิใช่เวลามาพูดเรื่องของโจวเสาจิ่น ประเดี๋ยวรอให้น้องสาวกลับมาก่อน ก็จะรู้แล้วว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร

นางรับถ้วยกระเบื้องเคลือบมาจากมือของหลี่ซื่อพร้อมกับกล่าวยิ้มๆ ว่า “ระยะนี้ท่านเองก็เหน็ดเหนื่อยไม่น้อย อีกสองวันข้าก็จะอยู่เดือนครบแล้ว เรื่องบางอย่างข้าทำเองได้แล้ว ท่านเองก็จะได้พักผ่อนบ้างแล้ว!”

นึกถึงว่าน้องสาวใกล้จะได้แต่งงานกับคนดีๆ สักคนหนึ่งแล้ว สีหน้าของโจวชูจิ่นดูอ่อนโยนขึ้นเป็นอย่างมาก

หลี่ซื่อเต็มไปด้วยความปลาบปลื้ม เอ่ยซ้ำๆ ว่า “มิกล้า”

โจวเสาจิ่นกลับถึงห้อง เปลี่ยนไปสวมชุดเพ่ยจื่อผ้าไหมหังโจวสีขาวพระจันทร์ลายข้าวหลามตัดคู่ กระโปรงจีบสีชมพูเข้มลายดอกอวี้จาน เส้นผมดุจไหมสีดำม้วนขึ้นเป็นมวยมวยหนึ่ง ประดับหวีสับฝังมุกใต้เอาไว้เพียงหนึ่งชิ้นเท่านั้น ยิ่งเผยให้ดวงหน้าขาวนวลเนียนดูอ่อนโยนงดงามมากยิ่งขึ้น นำลูกประคำไม้กฤษณาหนึ่งร้อยแปดเม็ดเส้นนั้นมาพันสวมไว้ที่ข้อมือ ส่องกระจกครู่หนึ่ง จากนั้นถึงได้ออกมาจากเรือนด้านหลังด้วยใบหน้าแต้มยิ้มและขึ้นเกี้ยวไป

ครั้งนี้เฉิงฉือรอนางอยู่ในห้องรับแขกอยู่ก่อนแล้ว เพียงแต่ว่านางเพิ่งจะมอบจดหมายให้เฉิงฉือเสร็จ นายท่านผู้เฒ่าซ่งผู้นั้นก็มาหาเสียแล้ว

โจวเสาจิ่นยู่ปาก

เฉิงฉือยิ้มขื่นพลางเอ่ยขึ้นว่า “นายท่านผู้เฒ่าซ่งมาหาข้าเพราะมีธุระ หลายวันมานี้องค์ฮ่องเต้ทรงมีรับสั่งเรียกตัวขุนนางและเจ้าพนักงานไปร่วมกันถกเรื่องการป้องกันปัญหาอุทกภัยของแม่น้ำเหลือง นายท่านผู้เฒ่ามาหาข้า ให้ข้าช่วยเขาเขียนแนวทางแก้ปัญหาอุทกภัยด้วยกันสักข้อหนึ่ง เดิมทีข้าเข้าใจว่าเป็นขุนนางใหญ่ซ่งที่ต้องการใช้ แต่ผู้ใดจะรู้ว่าตอนที่ขุนนางใหญ่ซ่งส่งเข้าไปในสำนักพระราชวังนั้นกลับเขียนชื่อของข้าเอาไว้ในสารฉบับนั้น ตอนนั้นพี่ชายใหญ่ของข้าก็อยู่ด้วย ภาพเหตุการณ์นั้น เจ้าคงพอจะจินตนาการได้กระมัง เมื่อวานพี่ใหญ่เรียกข้าไปต่อว่าอย่างรุนแรงไปชุดหนึ่ง เช้าตรู่ของวันนี้ก็มีจดหมายจากซอยซวงอวี๋ให้ข้าเข้าไปหาครั้งหนึ่งอีกด้วย…แต่ข้าอยากจะหารือเรื่องนี้กับนายท่านผู้เฒ่าซ่งก่อนจะทำอย่างไรดี”

โจวเสาจิ่นได้ยินเช่นนั้น ไหนเลยจะยังเคืองโกรธอะไรได้อีก รีบกล่าวขึ้นว่า “เช่นนั้นรีบเชิญนายท่านผู้เฒ่าซ่งเข้ามาเถิดเจ้าค่ะ” ยังเอ่ยถามเขาอย่างเป็นห่วงว่า “นายท่านผู้เฒ่ารองคงไม่ลงโทษท่านหรอกกระมัง”

“ไม่รู้เหมือนกัน” เฉิงฉือกล่าว “เมื่อวานพี่ใหญ่ของข้าเอาแต่ตำหนิข้า ข้าเองก็เอาแต่โมโห จึงไม่ได้ถามว่าพวกขุนนางและเจ้าพนักงานทั้งหลายมีความเห็นอย่างไรกันบ้าง คงได้แต่ต้องดูว่านายท่านผู้เฒ่าซ่งจะทราบหรือไม่เท่านั้นแล้ว สรุปแล้วเรื่องนี้ช่างวุ่นวายจริงๆ!”

โจวเสาจิ่นยิ้มตาหยีขณะมองเขา คล้ายกับลูกแมวที่แอบขโมยกินปลาเข้าไป

เฉิงฉือใจเต้นขึ้นมาในทันใด เอ่ยถามว่า “มีอะไรหรือ”

“เปล่าเจ้าค่ะๆ” โจวเสาจิ่นกล่าว ทว่าก็ยังคงกล่าวคำพูดในใจออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ว่า “ถ้าหากว่าองค์ฮ่องเต้ทรงให้ท่านไปเป็นขุนนางเนื่องด้วยเรื่องนี้ก็คงจะดียิ่งนักเจ้าค่ะ! ถึงเวลานั้นต่อให้เป็นท่านผู้นำตระกูลจวนรองก็ไม่อาจขัดขวางท่านได้แล้ว”

ที่แท้เด็กน้อยก็คิดเช่นนี้นี่เอง!

เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้าอยากให้ข้าเป็นขุนนางมากถึงเพียงนี้เชียว!”

“แน่นอนอยู่แล้วเจ้าค่ะ!” โจวเสาจิ่นดีใจที่เฉิงฉือมีโอกาสดีๆ เช่นนี้ ดวงตาเต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม กล่าวว่า “เมื่อได้เป็นขุนนางแล้ว ท่านผู้นำตระกูลจวนรองก็จะยุ่งเรื่องของท่านไม่ได้อีก คราวนี้ท่านอยากทำอะไรก็จะได้ทำอย่างนั้นแล้วเจ้าค่ะ!”

เฉิงฉือตะลึงงัน

ชิงเฟิงวิ่งเข้ามา กล่าวขึ้นว่า “นายท่านผู้เฒ่าซ่งและคุณชายใหญ่ซ่งมาแล้วขอรับ!”

โจวเสาจิ่นได้ยินแล้วก็อยากจะหลบออกไป

แต่ทางด้านตะวันออกเป็นห้องชั้นในของเฉิงฉือ ส่วนทางด้านตะวันตกเป็นห้องโถง นายท่านผู้เฒ่าซ่งและคุณชายใหญ่ซ่งน่าจะเข้ามาจากทางด้านนั้น…หรือว่านางควรจะหลบเข้าไปอยู่ในห้องชั้นในของท่านน้าฉือ? เช่นนั้นมิสู้ไม่หลบออกไปยังจะดีเสียกว่า!

เมื่อคิดถึงตรงนี้ โจวเสาจิ่นจึงถลึงตาใส่เฉิงฉือครั้งหนึ่ง ด้วยท่าทางที่บอกว่า “ท่านรีบคิดหาวิธีให้เข้าเร็วเข้าเจ้าค่ะ”

เฉิงฉือมองอาการชักสีหน้าอย่างเอาแต่ใจของนางแล้ว มุมปากยกยิ้มขึ้นมา กล่าวเสียงนุ่มว่า “ไม่เป็นไร เจ้าเองก็เคยเจอนายท่านผู้เฒ่าซ่งมาก่อน ตอนที่เจ้ามาหาข้าคราวก่อน พอนายท่านผู้เฒ่าซ่งได้ยินว่าเป็นเจ้า ยังถามข้าว่าเจ้าสูงขึ้นบ้างหรือยัง อยากจะเจอเจ้าสักหน่อย…”

เขาพูดยังไม่ทันจบ นายท่านผู้เฒ่าซ่งและซ่งมู่ก็เดินเข้ามาแล้ว

มองโจวเสาจิ่นที่งดงามและอ่อนโยนที่อยู่ตรงหน้าแล้ว ดวงตาของนายท่านผู้เฒ่าซ่งก็เป็นประกาย กล่าวยิ้มๆ ว่า “นี่คงเป็นหลานรองตระกูลโจวกระมัง ไม่ได้เจอกันแค่สองปี ก็งดงามถึงเพียงนี้แล้ว! หากมิใช่เพราะมาเจอที่นี่ ข้าคงจำไม่ได้เสียแล้ว!”

โจวเสาจิ่นได้แต่ก้าวออกไปทำความเคารพนายท่านผู้เฒ่าซ่ง

ยิ่งมองนายท่านผู้เฒ่าซ่งก็ยิ่งชอบใจ ชี้ไปที่ซ่งมู่พลางกล่าวขึ้นว่า “นี่คือพี่ชายจากตระกูลซ่งของเจ้า แม้นจะไม่รู้เรื่องแม่น้ำ แต่ก็ยังถือว่าเป็นคนคำนวณตัวเลขได้ผู้หนึ่ง ข้าตั้งใจพาเขามาขอให้น้าฉือของเจ้าช่วยชี้แนะ ต่อไปพวกเจ้าก็คบหาเสมือนเป็นพี่ชายน้องสาวกันก็แล้วกัน”

โจวเสาจิ่นก้าวออกไปทำความเคารพซ่งมู่ ถือโอกาสชำเลืองมองซ่งมู่ครั้งหนึ่ง เห็นซ่งมู่ผู้นั้นก้มหน้าจนดวงตาชิดจมูก จมูกชิดหน้าอกอย่างมีมารยาทยิ่งนัก ในใจรู้สึกผ่อนคลายลงเล็กน้อย รู้สึกดีกับซ่งมู่เป็นอย่างมาก

นายท่านผู้เฒ่าซ่งลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เอ่ยกับเฉิงฉือว่า “ข้ามีเรื่องอยากคุยกับเจ้า เจ้าว่าให้หลานรองตระกูลโจวเป็นเจ้าบ้าน พาหลานชายคนโตคนทึ่มทื่อของพวกข้าผู้นั้นไปเดินเล่นในลานสักหน่อยดีหรือไม่”

เฉิงฉือมองโจวเสาจิ่นครั้งหนึ่ง

โจวเสาจิ่นตอบรับในทันที

ท่านน้าฉือมีธุระสำคัญกับนายท่านผู้เฒ่าซ่ง ในเรือนของเขาก็ไม่มีสตรีมาดูแลเรื่องต่างๆ ภายในบ้าน นางที่เป็นหลานสาวผู้หนึ่งก็ต้องช่วยท่านน้าฉือดูแลแขกอยู่แล้วเป็นธรรมดา

เฉิงฉือหันไปยิ้มให้นาง เอ่ยเสียงนุ่มประโยคหนึ่งว่า “ไปเถิด”

โจวเสาจิ่นได้ยินแล้วก็รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง

เหตุใดน้ำเสียงของท่านน้าฉือถึงได้ฟังดูเจ็บปวดถึงเพียงนั้น…ราวกับว่าจากกันแล้วจะไม่ได้พานพบกันอีกก็ไม่ปาน…

แต่ซ่งมู่พึมพำกล่าวขอบคุณนางและยืนอยู่ข้างๆ รอให้นางนำทางแล้ว

นางจำต้องกดเก็บความประหลาดใจนั้นเอาไว้ในส่วนลึกของหัวใจ แล้วเดินออกไปพร้อมกับซ่งมู่

ลานบ้านช่วงเดือนที่สองของฤดูใบไม้ผลิ ต้นไม้ต้นหญ้าอุดมสมบูรณ์ เต็มไปด้วยความเขียวชอุ่ม

โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ ขึ้นอย่างอารีว่า “นายท่านผู้เฒ่าซ่งให้ข้าพาท่านมาเดินเล่น แต่ความจริงแล้วข้าเองก็ไม่คุ้นเคยกับบ้านของท่านน้าฉือสักเท่าไรนัก นายท่านผู้เฒ่าซ่งและท่านน้าฉือคงรู้สึกว่าพวกเราเกะกะ ก็เลยไล่พวกเราออกมา มิสู้คุณชายซ่งไปนั่งใต้ซุ้มองุ่นในสวนจะดีกว่า หลังจากที่นายท่านผู้เฒ่าซ่งและท่านน้าฉือคุยกันเสร็จแล้ว พวกเราจะได้เข้าไปปรนนิบัติได้”

หนึ่งบุรุษหนึ่งสตรี อีกทั้งล้วนพ้นวัยเด็กมากันแล้ว นายท่านผู้เฒ่าซ่งอาจจะกระทำตามใจไม่สนขนบได้ ทว่านางไม่อาจพาซ่งมู่ไปเดินเล่นในลานอย่างที่นายท่านผู้เฒ่าซ่งกล่าวเช่นนั้นได้

การรับมือเช่นนี้ของนางช่างดียิ่ง

ซ่งมู่ชื่นชมเป็นอย่างมาก รู้สึกว่านางอ่อนโยนอีกทั้งยังมีความคิดเป็นของตัวเอง ไม่เหมือนน้องสาวตระกูลหวัง เมื่อเห็นเขาก็วิ่งเข้ามารุมล้อมโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ลากเขาเข้าไปในเรือนชั้นในโดยไม่ระวังกฎระเบียบหรือขนบอะไรแม้แต่น้อย แม้กระทั่งระหว่างพี่สาวน้องสาวกันก็อิจฉาริษยากันเอง ไม่วันนี้คนนี้ตกน้ำ ก็พรุ่งนี้ใบหน้าของคนนั้นขึ้นผดผื่นเพราะแป้งผัดหน้า…และท่านลุงใหญ่ก็ยิ่งแล้วใหญ่เป็นคนละโมบไม่รู้จักพอ ทุกครั้งที่เจอเขาหรือไม่ก็บิดาล้วนพร่ำบ่นว่ามีตระกูลใดที่ทำการค้าแล้วไปได้ไกลกว่าเขาบ้างทว่ากลับได้เป็นตัวแทนค้าผ้าของราชสำนักเพราะใช้เส้นสายของใครต่อใครบ้าง และมีตระกูลใดบ้างที่เพราะสนิทสนมกับขุนนางใหญ่ต่างๆ ก็เลยได้ทำการค้าจนยิ่งใหญ่ขึ้นมา ทุกคำกล่าวไม่ว่าจะนอกหรือในล้วนเป็นการตำหนิว่าบิดาไม่ช่วยเหลือเขาทั้งสิ้น…นี่ก็เป็นเหตุผลที่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่มีทางยอมแต่งกับน้องสาวตระกูลหวัง และก็เป็นเหตุผลที่บิดาลังเลหลังจากที่ทราบเรื่องแล้วเช่นกัน

ซ่งมู่กล่าวขอบคุณเสียงอ่อนโยน นั่งลงที่โต๊ะหินใต้ซุ้มองุ่น

โจวเสาจิ่นให้ชุนหว่านไปช่วยบ่าวไพร่ของซอยอวี๋เฉียนจัดเตรียมน้ำชาและของว่าง ส่วนตัวเองยืนไม่ใกล้ไม่ไกลอยู่ด้านนอกของซุ้มองุ่น

ซ่งมู่เห็นเช่นนั้นก็รีบลุกขึ้นมา เอ่ยขึ้นว่า “แม่นางมานั่งตรงนี้เถิด! พอดีว่าข้าอยากจะไปดูว่าในอ่างเลี้ยงปลาเลี้ยงปลาอะไรไว้บ้าง!” จากนั้นไม่รอให้โจวเสาจิ่นได้กล่าวอะไร ก็เดินตรงไปที่อ่างเลี้ยงปลาด้านนอกแล้ว ก้มศีรษะลง ทำท่าทางว่ากำลังดูปลา

โจวเสาจิ่นยิ่งรู้สึกประทับใจเขามากยิ่งขึ้น กระซิบบอกให้สาวใช้ไปยกตั่งมาให้เขาตัวหนึ่ง แล้ววางของว่างเอาไว้บนราวเฉลียงที่อยู่ข้างๆ

นายท่านผู้เฒ่าซ่งที่แอบดูอยู่ในห้องมองแล้วก็หัวเราะฮ่าออกมาอย่างพึงพอใจไม่หยุด ลากเฉิงฉือมาดูด้วย เอ่ยขึ้นว่า “เป็นอย่างไรบ้าง หลานชายของข้าพอจะคู่กับหลานสาวของเจ้าได้หรือไม่”

ภายใต้ดวงตะวันอบอุ่นของวสันตฤดู สตรีอ่อนโยนรูปร่างบอบบางงดงาม บุรุษงามสง่ารูปร่างสูงโปร่ง แม้นจะยืนห่างกันซ้ายคนขวาคน ทว่ากลับดูเหมาะสมกันดั่งกุมารทองกุมารีหยกที่นั่งอยู่หน้าองค์พระโพธิสัตว์ก็ไม่ปาน เป็นความเหมาะสมที่ยากจะอธิบายออกมา ดูเจริญตายิ่งนัก

ในใจของเฉิงฉือรู้สึกเจ็บปวดประหนึ่งถูกเข็มทิ่มแทง ทว่ากลับเอ่ยกับนายท่านผู้เฒ่าซ่งยิ้มๆ ว่า “ไปเถอะ! พวกเราไปคุยธุระกันเถิด!”

นายท่านผู้เฒ่าซ่งมองด้วยความชอบอกชอบใจอีกสองครั้ง จากนั้นถึงได้เดินไปที่ห้องหนังสือพร้อมกับเฉิงฉือ

ภายในลานพลันเงียบเชียบขึ้นมาในทันใด ไม่มีแม้สรรพเสียงใดๆ

ซ่งมู่มองไปยังสาวใช้ที่ปรนนิบัติอยู่ภายในลานครั้งหนึ่ง

ทุกคนต่างยืนก้มหน้าก้มตาอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบสงบด้วยกิริยามารยาทของคนตระกูลใหญ่

ซ่งมู่นึกถึงท่าทางของบรรดาบ่าวไพร่ที่มองเขาแล้วพากันกระซิบกระซาบนินทาตอนที่ตนอยู่ในบ้านของท่านลุงใหญ่ขึ้นมา เขาลอบส่ายศีรษะอยู่ในใจ รู้สึกว่ายังคงเป็นท่านปู่ที่มีวิสัยทัศน์และมีประสบการณ์กว้างไกล

แต่ว่าคุณหนูรองตระกูลโจวจะชอบเขาหรือไม่นะ…

ตอนมาซ่งมู่ยังมีความมั่นใจเต็มเปี่ยม ทว่าเวลานี้กลับไม่ค่อยมั่นใจขึ้นมาแล้ว

เขาตัดสินใจว่าควรจะพูดกับโจวเสาจิ่นสักสองประโยค อย่างน้อยการทำเช่นนี้ก็ทำให้โจวเสาจิ่นได้รู้จักเขามากขึ้น เผื่อว่าถ้าต่อไปทั้งสองคนได้หมั้นหมายกัน อย่างน้อยคุณหนูตระกูลโจวก็จะได้แต่งให้เขาด้วยความยินดี

…………………………………………………………….