ตอนที่ 381 สังหรณ์ใจ

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ซ่งมู่เว้นระยะห่างกับโจวเสาจิ่นด้วยทางเดินหินปูลายเงินเหรียญขณะสนทนาปราศรัยกับนาง “เจ้ามาถึงจิงเฉิงตั้งแต่เมื่อใดหรือ ได้ยินว่าเจ้ามีพี่สาวผู้หนึ่งแต่งเข้าตระกูลเลี่ยวที่เจิ้นเจียง แล้วหลานชายจะครบรอบเดือนเมื่อใด ทุกวันที่หนึ่งและวันที่สิบห้าของเดือนจะมีงานวัดจัดที่วัดต้าเซียงกั๋ว คุณหนูโจวเคยไปเดินเล่นมาแล้วหรือยัง”

คุณชายซ่งรู้เกี่ยวกับนางละเอียดขนาดนี้ได้อย่างไร

โจวเสาจิ่นลอบสงสัยอยู่ในใจ ทว่ามิได้แสดงออกมาทางสีหน้า ตอบคำถามทีละข้อๆ อย่างเป็นธรรมชาติและสบายๆ

ซ่งมู่เห็นสีหน้าโจวเสาจิ่นอ่อนโยน ไม่มีความขุ่นเคืองใจเลยแม้แต่นิดเดียว รู้สึกโล่งอกไปครั้งใหญ่ ทว่าใบหูกลับร้อนจนแดงก่ำไปหมด กล่าวต่อไปว่า “ความจริงแล้วจิงเฉิงยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกเป็นจำนวนมาก นอกจากวัดต้าเซียงกั๋วและวัดไป๋อวิ๋นก้วนแล้ว ทะเลสาบสือช่าก็น่าเที่ยวไม่น้อย ช่วงฤดูหนาวเล่นน้ำแข็งได้ ส่วนฤดูร้อนก็พายเรือเล่นได้ ทางทิศใต้ของเมืองยังมีสถานที่หนึ่งเรียกว่าตรอกจินอวี๋ เป็นที่ขายปลาและนกโดยเฉพาะ ยังมีอีกสถานที่หนึ่งเรียกว่าเฟิงไถ เป็นสถานที่ขายต้นไม้ดอกไม้ ว่ากันว่าต้นไม้ดอกไม้ในพระราชวังล้วนซื้อมาจากที่นั่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อถึงฤดูหนาว พวกเขาปลูกดอกไม้ที่บานในฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนได้ ทุกบ้านต่างไปซื้อกลับมาฉลองวันขึ้นปีใหม่สักสองสามกระถาง ค้าขายดียิ่งนัก รถม้าที่ไปรับต่างแน่นขนัดขยับไม่ได้เลยทีเดียว…”

เรื่องพวกนี้ล้วนเป็นสิ่งที่โจวเสาจิ่นรู้อยู่แล้ว

แต่เพื่อเป็นการให้เกียรติซ่งมู่ นางจึงยังคงยิ้มน้อยๆ นั่งฟังอยู่ตรงนั้น

นี่ไม่เพียงทำให้ซ่งมู่รู้สึกว่าโจวเสาจิ่นเป็นคนสุภาพอ่อนโยนและรู้สึกพึงพอใจกับการเกี่ยวดองในครั้งนี้เป็นอย่างมากเท่านั้น ยังทำให้เขารู้สึกกล้าหาญและมีกำลังใจขึ้นมาก เขาหยุดเสียงพูดลงครู่หนึ่ง จากนั้นกล่าวขึ้นว่า “คุณหนูรอง ข้ามีน้องสาวผู้หนึ่ง เนื่องด้วยเหตุที่ข้ายังไม่ได้หมั้นหมาย ถึงแม้นางจะมีคู่หมายที่ถูกใจแล้ว ทว่ายังคงไม่ได้หมั้นหมายกัน มารดาของข้าตั้งใจเอาไว้ว่าอีกสองสามวันจะพานางไปจุดธูปที่วัดต้าเซียงกั๋ว ข้าได้ยินมาว่าคุณหนูรองเลื่อมใสในพระพุทธองค์อย่างแท้จริง มิสู้ชักชวนมารดาพร้อมด้วยมารดาและน้องสาวของข้าไปเที่ยวชมวัดต้าเซียงกั๋วด้วยกัน วัดต้าเซียงกั๋วเป็นวัดประจำราชวงศ์ของรัชสมัยก่อน ทุกวันนี้ก็ยังได้รับการยกย่องเชิดชูเป็นอย่างมากอยู่ เดือนสิบสองของปีที่แล้วยังไปจุดธูปที่วัดต้าเซียงกั๋ว ยังคงเฟื่องฟูไปด้วยธูปเทียน นอกวัดก็มีของขายเป็นจำนวนมาก ทุกครั้งที่น้องสาวกับมารดาของข้าไปล้วนซื้อของกลับมาด้วยหนึ่งกองใหญ่…”

ยิ่งฟังในใจของโจวเสาจิ่นก็ยิ่งรู้สึกว่าไม่ถูกต้องนัก

นี่ซ่งมู่…คิดจะนัดหมายนางออกไปแทนมารดาของเขา…แต่เขาสุภาพบุรุษผู้หนึ่ง จะทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร

นางหันไปมองซ่งมู่

แววตาของซ่งมู่ดูจริงใจ ทว่าก็แฝงไว้ด้วยความขัดเขินอยู่ด้วยหลายส่วน

โจวเสาจิ่นหัวใจสะดุดตกใจ ความคิดบ้าบิ่นหนึ่งพลันปรากฏขึ้นมาในหัวสมองของนาง

ที่ผ่านมาเวลาจวนหลักของซอยจิ่วหรูจะตบแต่งบุตรสาวออกไปมักจะมีธรรมเนียมการดูตัวกันก่อน…หรือว่า หรือว่านางเองก็กำลังเผชิญกับมันอยู่?

แต่เหตุใดพี่สาวถึงไม่บอกนางตามตรงนะ

นางมองซ่งมู่ที่สวมอาภรณ์หรูหรา บริเวณเอวห้อยตราประทับหินโซ่วซานสลักลายพระพรหมและถุงหอมผ้าทอเค่อซือเอาไว้ ทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่าซ่งมู่เองก็เป็นบุตรหลานของตระกูลใหญ่ตระกูลโตผู้หนึ่ง…แต่ตระกูลของนางเป็นเพียงเจ้าเมืองขั้นสี่เท่านั้น…เพราะฉะนั้นจึงต้องดูตัวกันก่อน…ไม่เช่นนั้นหากหมั้นหมายกันไป ก็จะไม่อาจถอนคืนได้อีก…ท่านน้าฉือต้องกลัวว่านางจะไม่พอใจเป็นแน่…ดังนั้นถึงได้วางแผนเช่นนี้…

ชั่วขณะนั้นโจวเสาจิ่นรู้สึกมือเท้าเย็นไปหมด กว่าครู่ใหญ่ถึงจะได้สติคืนกลับมา

นางกระโดดลุกพรวดขึ้นมา ด้วยกิริยารุนแรงเล็กน้อย จนเกือบจะปัดใส่จอกน้ำชาที่วางอยู่บนโต๊ะน้ำชาข้างกายหกเสียแล้ว

ซ่งมู่ที่กำลังกล่าวอยู่นั้นไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ก็รีบลุกตามขึ้นมาด้วย

โจวเสาจิ่นหน้าซีดเล็กน้อย สูดหายใจเข้าลึกๆ ครั้งหนึ่งถึงได้สงบสติอารมณ์ลงได้ ยิ้มพลางกล่าวกับซ่งมู่ว่า “คุณชายมู่ ข้า ข้านึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ ท่านนั่งอยู่ตรงนี้ก่อนสักครู่หนึ่ง ข้าจะรีบกลับมา”

ซ่งมู่บังเกิดความสงสัยขึ้นในใจเล็กน้อย ทว่าเรื่องของสตรีจึงไม่อาจสอบถามได้ ยิ้มพร้อมกับประสานมือค้อมตัวให้นาง

โจวเสาจิ่นย่อกายให้ครั้งหนึ่ง พาชุนหว่านออกจากลานบ้านไปอย่างรีบร้อน จับต้นกุ้ยฮวาที่อยู่ตรงหน้าประตูเรือนชั้นในต้นนั้นเอาไว้ไม่มีแรงขยับได้อีกแม้แต่ก้าวเดียว

ชุนหว่านร้อนใจ กระซิบถามไม่หยุดว่า “คุณหนูรอง นี่ท่านเป็นอะไรไปเจ้าคะ รู้สึกไม่สบายตรงที่ใดหรือไม่ สีหน้าท่านดูซีดเซียวยิ่งนัก…”

“ข้าไม่เป็นไร” ผ่านไปกว่าครู่ใหญ่ โจวเสาจิ่นถึงได้เอ่ยขึ้นว่า “เพียงนึกเรื่องบางอย่างขึ้นได้เท่านั้น”

น้ำเสียงของนางแหบแห้งเล็กน้อย คล้ายกับจะร้องไห้ออกมาแล้วก็ไม่ปาน

ชุนหว่านรีบก้าวออกไปประคองนาง

อารมณ์ของโจวเสาจิ่นถึงได้ค่อยๆ สงบลงมา

สิ่งที่สำคัญที่สุด ณ ตอนนี้ก็คือต้องเข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งก่อนว่าเรื่องตรงหน้าคือเรื่องอะไรกันแน่…แต่ถ้าหากอยากเข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งว่าเรื่องตรงหน้าคือเรื่องอะไร จดหมายที่พี่สาวให้นางนำมาส่งให้ฉบับนั้นก็จะกลายเป็นกุญแจสำคัญ…แต่จะรู้ได้อย่างไรว่าพี่สาวเขียนอะไรในจดหมายฉบับนั้นบ้าง

โจวเสาจิ่นกัดริมฝีปาก สั่งการชุนหว่านว่า “เจ้าแอบไปเชิญหลั่งเย่ว์มาที่นี่เงียบๆ หน่อย ข้ามีเรื่องด่วน!”

ชุนหว่านไม่กล้าชักช้า รีบสาวเท้าออกไปตามหาคน

โชคดีที่บ้านหลังนี้ไม่ใหญ่มาก ไม่นาน หลั่งเย่ว์ก็ตามชุนหว่านเข้ามาอย่างรีบร้อน

โจวเสาจิ่นขอร้องเขา “พี่สาวให้ข้านำจดหมายมาให้ท่านน้าฉือฉบับหนึ่ง ในนั้นมีลูกประคำเส้นหนึ่งติดมาด้วย” ขณะที่นางกล่าว ก็ถอดสร้อยลูกประคำที่บนข้อมือออกมา “หลังจากที่ข้าดูเสร็จแล้วก็ลืมเก็บใส่กลับเข้าไปดังเดิม ประเดี๋ยวเจ้าช่วยข้าแอบนำกลับไปคืนสักหน่อยจะเป็นการดียิ่ง”

หลั่งเย่ว์ขานรับคำยิ้มๆ ยังกล่าวปลอบโยนนางว่า “มิต้องเป็นกังวลขอรับ ต่อให้นายท่านสี่ทราบเรื่องแล้วก็ไม่เคืองโกรธอย่างแน่นอน”

มีเรื่องมากมายที่ผู้อื่นกระทำไม่ได้แต่คุณหนูรองล้วนทำต่อหน้านายท่านสี่ได้ ก็เพียงแอบดูจดหมายที่พี่สาวของคุณหนูรองเองส่งให้นายท่านสี่เท่านั้น ต่อให้นายท่านสี่ทราบเรื่องแล้วจะเคืองโกรธ แต่เมื่อคุณหนูรองทำท่าทางตลกขบขันสักอย่างเรื่องก็ผ่านพ้นไปเองแล้ว

โจวเสาจิ่นพยักหน้าด้วยจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว บรรยายลักษณะของจดหมายฉบับนั้นให้หลั่งเย่ว์ฟัง

หลั่งเย่ว์เห็นนางมีท่าทางเป็นกังวลใจอย่างมาก จึงไม่กล้าชักช้า วางชุดน้ำชาแล้วก็เดินไปที่ห้องหนังสือทันที

เฉิงฉือกำลังสนทนากับนายท่านผู้เฒ่าซ่งอยู่ “…เจตนาดีของท่านขุนนางใหญ่ข้ารับทราบด้วยความสำนึกแล้ว อย่างที่ท่านกล่าวมา ที่พวกเราทำเรื่องนี้มิใช่เพื่อยศตำแหน่ง ยิ่งกว่านั้นยังเกิดกระแสเช่นนี้ออกมาอีก ถ้าหากราชสำนักมีเจตนาจะขุดลอกแม่น้ำเหลือง ก็มอบงานเกี่ยวกับแม่น้ำที่สำคัญมาให้ข้าทำสักสองสามอย่างก็พอ ส่วนเรื่องจะให้ไปปกครองดูแลการจัดการแม่น้ำต่างๆ นั้นอย่าเลยจะดีกว่า! ข้าทั้งอดทนกับเรื่องวุ่นวายพวกนี้ไม่ได้ และก็ทนรับสภาพที่ยากจนข้นแค้นเช่นนี้ไม่ได้ด้วย ความตั้งใจดีของท่านในครานี้คงต้องเสียเปล่าแล้วขอรับ”

นายท่านผู้เฒ่าซ่งเอ่ยโน้มน้าวเขาอย่างอดทนว่า “เจ้าคงไม่อาจลอยไปลอยมาเช่นนี้ไปตลอดชีวิตหรอกกระมัง คนบนโลกใบนี้ ต่อให้ไม่อยากมีชื่อเหลือเอาไว้ในประวัติศาสตร์ ก็อยากจะทำอะไรที่มีประโยชน์ต่อแผ่นดิน ต่อปวงประชาบ้างกระมัง ข้าไม่รู้ว่าที่บ้านของเจ้าวางแผนเอาไว้อย่างไร ข้าเห็นเจ้าเช่นนี้แล้วรู้สึกเสียดายเป็นอย่างยิ่ง กะเอาไว้ว่าหลังเสร็จจากเรื่องนี้แล้วจะเดินทางไปจินหลิงด้วยตัวเองสักครั้ง ไปพบฮูหยินผู้เฒ่า เพื่อพูดคุยเรื่องของเจ้าให้ดีๆ สักครั้ง…”

เฉิงฉือพลันค้นพบว่าตนยกหินมาทับเท้าของตัวเองเข้าเสียแล้ว จึงไม่ได้สังเกตว่าหลั่งเย่ว์ยืนกวาดตาไปมาอยู่ครู่ใหญ่ สุดท้ายสายตาก็เคลื่อนไปตกอยู่บนจดหมายที่ถูกเขาทิ้งไว้ในตะกร้าทิ้งกระดาษฉบับนั้น จากนั้นฉวยโอกาสตอนที่เขาไม่ทันสังเกตหยิบจดหมายฉบับนั้นขึ้นมาดู แล้วก็วางลงไปในตะกร้าทิ้งกระดาษอีกครั้ง แสร้งทำเป็นเดินออกไปอย่างสงบเสงี่ยม จากนั้นก็วิ่งตรงไปยังประตูเรือนชั้นใน

เมื่อเห็นเขาสีหน้าของโจวเสาจิ่นก็มีชีวิตชีวาขึ้น

ทว่าหลังเย่ว์ที่มีอาการเหนื่อยหอบกลับเอาสร้อยลูกประคำมาคืนให้โจวเสาจิ่นอย่างกระวนกระวายเล็กน้อย พูดตะกุกตะกักว่า “คุณหนูรอง จดหมายที่ท่านบอกมาฉบับนั้น อยู่…อยู่ในตะกร้าทิ้งกระดาษขอรับ…ยังไม่ได้เปิดออก…ข้าไม่กล้านำของใส่เข้าไปขอรับ…”

เขาไม่รู้ว่าคุณหนูรองต้องการให้เขาทำอะไรกันแน่

แต่จะให้เขานำของออกมาจากห้องของนายท่านสี่นั้น เขาไม่กล้าทำอย่างแน่นอน

เสาจิ่นตะลึงงัน เอ่ยขึ้นว่า “จดหมายยังไม่ได้เปิด? ทิ้งเอาไว้ในตะกร้าทิ้งกระดาษ? เป็นไปไม่ได้! เจ้าดูผิดหรือเปล่า”

หลั่งเย่ว์รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย กล่าวขึ้นว่า “ข้าไม่น่าจะดูผิดนะขอรับ! หน้าซองเขียนเอาไว้อย่างชัดเจนว่า ‘เรียนท่านน้าที่เคารพ’ ตัวอักษรงดงาม แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นลายมือของสตรี ข้ายังลองจับดูแล้ว เบาบางอย่างยิ่ง ยังถูกขยำจนเป็นลูกกลมๆ…ไม่คล้ายกับว่ามีอะไรอยู่ในนั้นเลยขอรับ…”

หรือว่าจะไม่มีอะไรอยู่ในซองจดหมายฉบับนั้นเลย?

นี่เป็นเรื่องที่พี่สาวกับท่านน้าฉือตกลงกันเรียบร้อยแล้ว เป็นเพียงข้ออ้างเพื่อส่งนางมาเท่านั้น!

ร่างกายของโจวเสาจิ่นอ่อนยวบ หากมิใช่เพราะชุนหว่านหูตาไวมาประคองนางเอาไว้ได้ทันล่ะก็ เกรงว่านางคงได้ขายหน้าเป็นแน่แล้ว

หลั่งเย่ว์เห็นนางไม่คล้ายคนกุเรื่องเท็จขึ้นมา จึงเอ่ยเสียงเบาขึ้นว่า “คุณหนูรอง หรือว่าท่านจะจำผิดขอรับ…จดหมายที่เลี่ยวไท่ไทมอบให้นายท่านสี่อาจจะไม่ใช่ฉบับนั้น…”

โจวเสาจิ่นเอ่ยขึ้นอย่างฝืดเฝื่อนว่า “เช่นนั้นเจ้าเห็นจดหมายที่เขียนด้วยตัวอักษรงดงามฉบับที่สองหรือไม่”

“ไม่…ไม่มีขอรับ” หลั่งเย่ว์ลูบศีรษะอย่างเก้อกระดาก

โจวเสาจิ่นกล่าวว่า “ไม่มีอะไรแล้ว เจ้าไปทำธุระของเจ้าเถิด! ประเดี๋ยวข้าจะไปพูดกับท่านน้าฉือด้วยตัวเอง”

หลั่งเย่ว์พยักหน้า เดินจากไปด้วยอาการลังเลเล็กน้อย

กว่าครู่ใหญ่โจวเสาจิ่นถึงได้สงบใจลงมาได้

ชุนหว่านเอ่ยขึ้นด้วยความเป็นห่วงว่า “ท่าน…ท่านไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่ เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่าเจ้าคะ”

นางรู้ดีว่าโจวเสาจิ่นไม่เคยเปิดจดหมายฉบับนั้นมาก่อนตั้งแต่ต้น

โจวเสาจิ่นส่ายศีรษะ ครุ่นคิด จากนั้นเล่าสิ่งที่ตนคาดเดาขึ้นมาให้ชุนหว่านฟัง

ชุนหว่านได้ยินแล้วดีใจขึ้นมาอย่างลิงโลด เสียดายก็แต่ว่าเมื่อครู่มิได้พิศพิจารณามองซ่งมู่ผู้นั้นให้ละเอียด “ต้ากูไหน่ไนก็จริงๆ เลย เหตุใดถึงไม่คุยกับท่านให้กระจ่าง การเกี่ยวดองที่ดีขนาดนี้ หรือยังกลัวว่าท่านจะไม่ยินยอมอย่างนั้นหรือ ถ้าหากรู้ว่าคุณหนูรองมาดูตัวตั้งแต่เนิ่นๆ ล่ะก็ ข้าน่าจะแต่งตัวให้คุณหนูรองอย่างพิถีพิถันสักหน่อย…ข้ามิได้บอกว่าตอนนี้ท่านแต่งตัวไม่ดี…คุณหนูรองของพวกเรางดงามโดยธรรมชาติ ต่อให้ห่มคลุมด้วยเสื้อผ้าเก่าๆ ก็ยังดึงดูดความสนใจได้มากกว่าสตรีที่แต่งกายอย่างประณีตประดิดประดอยเหล่านั้นเสียอีก…ข้าหมายความว่า หากตั้งใจแต่งตัวดีๆ สักหน่อย ต้องทำให้คุณชายซ่งผู้นั้นเห็นแล้วลืมไม่ลงอย่างแน่นอน…ไอ้โหยว นี่จะทำอย่างไรดี!” นางเดินวนไปวนมาอย่างร้อนใจ “ทางด้านนายท่านสี่นี้ไม่มีเจ้านายสตรีเลยสักคน ต่อให้อยากยืมของอะไรก็ไม่มีที่ให้ยืมได้ หากข้าเร่งกลับไปเอาแป้งผัดหน้าและเครื่องประดับมาสักเล็กน้อยไม่รู้ว่าจะทันการหรือไม่…”

เรื่องที่น่ายินดีมากขนาดนี้ ทว่าโจวเสาจิ่นกลับหัวเราะไม่ออก

นางเอ่ยขึ้นว่า “เจ้ารู้สึกว่าการเกี่ยวดองในครั้งนี้ดีมากหรือ”

“แน่นอนเจ้าค่ะ!” ตอนนี้เองชุนหว่านถึงได้สัมผัสถึงอารมณ์ความรู้สึกของโจวเสาจิ่น รอยยิ้มของนางจางลงเล็กน้อย เอ่ยขึ้นอย่างจริงจังว่า “หรือว่าคุณหนูรองไม่พอใจอย่างนั้นหรือเจ้าคะ คุณชายซ่งผู้นั้นคงเป็นบุตรชายเลี้ยงของฮูหยินซ่งกระมัง เช่นนั้นเขาก็คงเป็นบุตรชายของขุนนางใหญ่ เพียงแต่ไม่รู้ว่ามียศตำแหน่งอะไรบ้างหรือยัง แต่พื้นเพนี้ก็ไม่ด้อยไปกว่าคุณชายใหญ่สวี่เลย…อีกทั้งยังเป็นคนหน้าตาหล่อเหลา มิใช่ว่าฮูหยินหยวนตั้งหน้าตั้งตาสู่ขอคุณหนูใหญ่ตระกูลหมิ่นไปเป็นบุตรสะใภ้หรอกหรือ คุณหนูรองของพวกเราก็มิได้ด้อยไปกว่าคุณหนูใหญ่ตระกูลหมิ่นผู้นั้น ได้แต่งไปเป็นบุตรสะใภ้ของตระกูลขุนนางใหญ่เช่นกัน…”

โจวเสาจิ่นพลันรู้สึกว่าชุนหว่านน่ารำคาญเล็กน้อย กล่าวตัดบทนางอย่างไม่ค่อยพอใจว่า “เฉิงสวี่แต่งกับภรรยาเช่นไรแล้วเกี่ยวอะไรกับข้า เหตุใดข้าต้องประชันขันแข่งกับเขาด้วย!”

ชุนหว่านรีบปิดปากเงียบ

โจวเสาจิ่นยืนอยู่ใต้ต้นกุ้ยฮวาเป็นเวลานาน ถึงได้เอ่ยกับชุนหว่านว่า “พวกเราเข้าไปกันเถอะ! ท่านน้าฉือให้ข้าช่วยรับรองคุณชายซ่ง พวกเราไม่อาจทิ้งคุณชายซ่งไว้ตรงนั้นอย่างไม่ใส่ใจดูแลได้”

ชุนหว่านได้ยินเช่นนั้นก็ยินดีปรีดาขึ้นมาอีกครั้ง รีบกล่าวขึ้นอย่างรีบร้อนว่า “ใช่แล้วเจ้าค่ะๆ เนื่องจากคุณชายซ่งผู้นั้นเป็นแขก ทิ้งเขาไว้ตรงนั้นก็ออกจะเสียมารยาทเกินไป”

โจวเสาจิ่นไม่แสดงความเห็นอะไร ค่อยๆ เดินเข้าไปอย่างช้าๆ

ซ่งมู่ยกจอกชาขึ้นมาแล้วก็วางลงไปอีกครั้ง

ไม่รู้ว่าคุณหนูรองตระกูลโจวผู้นั้นไปที่ใด ผ่านไปนานขนาดนี้แล้วก็ยังไม่ปรากฏตัวออกมา หรือว่าจะไม่พอใจอะไรตน? แต่แค่ดูก็รู้ได้ว่าคุณหนูรองตระกูลโจวเป็นคุณหนูจากตระกูลใหญ่ที่รู้จักควบคุมอารมณ์เป็นอย่างดีประเภทนั้น ต่อให้ไม่พอใจเขา ก็ไม่น่าจะทิ้งเขาไว้ตรงนี้และจากไปดื้อๆ โดยไม่สนใจเช่นนั้น…ดูทีแล้วตนพึงพอใจกับการเกี่ยวดองในครั้งนี้มากกว่าที่ตนคาดคิดเอาไว้เสียอีก ไม่อย่างนั้นจะรู้สึกเป็นกังวลเกี่ยวกับผลได้ผลเสียมากขนาดนี้ได้อย่างไร

………………………………………………………………………..