บทที่ 202 เป็นนางอีกแล้ว
นี่คือท่าไม้ตายสุดท้ายของเขา
หลินเป่ยเฉินเงยหน้าขึ้น อ้าปากออกและใช้ปากงับลูกศรที่พุ่งเข้ามา
แรงกระแทกของลูกศรเกือบทำให้เด็กหนุ่มฟันหัก
แต่โชคดีที่หลินเป่ยเฉินบรรลุขั้นกระบี่กระดูกเหล็กเรียบร้อยแล้ว ร่างกายของเขาจึงมีความแข็งแรงมากกว่าเดิม ผิวหนังของเขาแข็งแกร่งราวทองแดง เช่นเดียวกับกระดูกตลอดทั้งร่างที่แข็งแกร่งไม่ต่างจากเหล็กไหล
ฟันนับเป็นกระดูกชนิดหนึ่งในร่างกาย เพราะฉะนั้น หลินเป่ยเฉินจึงมีฟันแข็งแรงมากกว่าคนทั่วไป
เขางับลูกศรที่พุ่งเข้ามาได้อย่างแม่นยำ
ฮื่อ!
เด็กหนุ่มส่งเสียงครางในลำคอ
เขาเลิกคิ้วขึ้นสูง พลังลมปราณที่แฝงมากับตัวลูกศรทำให้ศีรษะของหลินเป่ยเฉินหงายเริ่ดไปด้านหลัง ตัวคนเซถลาไปไกล ก่อนที่จะสามารถยืนตั้งหลักได้อีกครั้ง
หลังจากนั้น หลินเป่ยเฉินก็คายลูกศรออกจากปาก
เลือดจำนวนมากไหลทะลัก
เด็กหนุ่มรู้สึกปวดระบมไปทั่วช่องปาก
แต่เมื่อคิดว่าสามารถหลีกเลี่ยงไม่ทำให้ลูกศรปักทะลุคอของเขาได้สำเร็จ เจ็บปวดเพียงเท่านี้ก็ถือว่าน่ายินดีมากแล้ว
ในลำคอของหลินเป่ยเฉินรู้สึกร้อนผ่าว
เลือดที่ไหลซึมอยู่ในปากไหลทะลักลงคอ หลินเป่ยเฉินพูดอะไรไม่ออกอีกครั้ง
ทันใดนั้น ร่างของใครบางคนก็ลอยออกมาจากป่าไผ่และทิ้งตัวลงมายืนอยู่บนพื้นดินซึ่งมีใบไผ่หล่นกระจัดกระจายเหมือนเงาของภูตพรายตนหนึ่ง
คนผู้นี้สวมใส่ชุดสีดำ มีหน้ากากสีดำปิดบังใบหน้า
ดวงตาคู่นั้นเป็นประกายดุดัน สะท้อนประกายกับความมืดของป่าไผ่วิบวาว
“หึหึ คิดไม่ถึงเลยจริงๆ…ตลอดระยะเวลา 10 ปี 3 เดือนกับอีก 4 วัน ไม่เคยมีใครรอดพ้นจากลูกธนูดอกที่สี่ของข้าสำเร็จมาก่อน หลินเป่ยเฉิน เจ้าควรภูมิใจในตัวเองแล้ว”
น้ำเสียงของมือธนูแหบแห้ง เป็นเหมือนเสียงของก้อนหินเสียดสีกันระคายหู
ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายมีเจตนาดัดเสียง
“เจ้า…”
หลินเป่ยเฉินกระอักเลือดออกมาอีกคำใหญ่ ในลำคอรู้สึกเจ็บแปลบ ได้แต่ส่งเสียงกระซิบถามออกมาเหมือนสัตว์ป่าที่ได้รับบาดเจ็บ “เจ้า…บอกมาเดี๋ยวนี้…เจ้าเป็นใคร…”
“เฮอะ เจ้าอยากรู้ใช่ไหมว่าผู้ที่กำลังจะฆ่าตนเองเป็นใคร?” มือธนูเสียงแหบหัวเราะในลำคอ “ทุกอย่างเป็นเพราะเจ้าไปล่วงเกินคนที่ไม่ควรล่วงเกิน…ด้วยเหตุนี้เจ้าจึงต้องตาย แต่เจ้าควรขอบคุณข้านะ หากคืนนี้เป็นปีศาจนั่นลงมือด้วยตนเอง เจ้าคงต้องพบกับความทุกข์ทรมานมากกว่านี้หลายเท่า!”
หากเป็นในสถานการณ์ปกติ มือธนูผู้นี้จะรีบสังหารเหยื่อทันที
สำหรับกับมือสังหาร การเสียเวลาพูดคุยอยู่กับผู้ที่เป็นเป้าหมาย คือเรื่องที่ไม่สมควรทำเป็นอย่างยิ่ง
แต่มือธนูเสียงแห้งเป็นคนที่ชอบแหกกฎเสมอ
เขาไม่เคยเจอคู่ต่อสู้ที่สามารถรับลูกธนูของตนเองได้เกินสามดอกมาก่อน โดยเฉพาะลูกธนูดอกที่สี่ซึ่งยิงออกไปด้วยกระบวนท่า ‘มารดาแผลงศร’ นี่คือท่าไม้ตายที่เขาใช้สังหารเป้าหมายมานับครั้งไม่ถ้วน แต่เมื่อเห็นเด็กหนุ่มสามารถรับท่าไม้ตายของเขาได้สำเร็จ มือธนูจึงอดรู้สึกชื่นชมหลินเป่ยเฉินขึ้นมาไม่ได้!
โดยเฉพาะการใช้ปากงับลูกธนูของเขา นี่คือการกระทำที่ทำให้มือธนูเสียงแห้งต้องเบิกตาโตด้วยความเหลือเชื่ออย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
พลัน หลินเป่ยเฉินส่งเสียงคำรามในลำคอและเหวี่ยงดาบวิ่งเข้ามา
แต่ฝีเท้าของเขาไม่มั่นคง
เด็กหนุ่มมีสภาพเหมือนสัตว์ป่าใกล้ตาย นี่คือการต่อสู้ครั้งสุดท้ายที่จะนำพาเขาไปสู่กับดักดับชีวิต
ดวงตาของนักธนูเป็นประกายวูบวาบด้วยความอำมหิต
เขาค่อยๆ น้าวคันธนูและประทับลูกศรลงไป
ฟ้าว!
ลูกศรดอกที่ห้ามีเป้าหมายอยู่ที่หัวใจของหลินเป่ยเฉิน
ลูกศรดอกนั้นพุ่งทะลวงหัวใจของเด็กหนุ่มและทะลุร่างกายของเขาไปปักอยู่บนก้อนหินที่ตั้งอยู่ด้านหลัง
“เรียบร้อย” มือสังหารถอนหายใจด้วยความโล่งอก
นี่คือนิสัยประจำตัวของเขา
ต้องถอนหายใจออกมาทุกครั้งเมื่อทำภารกิจสำเร็จ
เป็นการถอนหายใจเพื่อส่งวิญญาณผู้ตายไปสู่สุคติ
อย่างไรเสีย มือสังหารอย่างพวกเขาก็นับว่ายังเป็นคนผู้หนึ่ง
แต่ในพริบตาต่อมานั้น นักธนูเสียงแห้งก็รู้สึกได้ถึงแรงลมที่พัดเข้ามาปะทะทางด้านหลัง
แล้วเขาก็รู้สึกเย็นวาบที่หน้าอก
เมื่อก้มหน้ามองลงไปก็ต้องเลิกคิ้วขึ้นสูงด้วยความประหลาดใจ
มีดาบเล่มหนึ่งแทงทะลุหน้าอกของเขาจากด้านหลัง ใบดาบมีขนาดใหญ่ แทบจะตัดร่างกายเขาขาดเป็นสองท่อน
นี่คือดาบของหลินเป่ยเฉิน
ติ๋ง ติ๋ง ติ๋ง
เลือดไหลหยดจากปลายดาบตกสู่พื้นดิน
“หมดเวลาสนุกแล้วสิ”
เสียงของหลินเป่ยเฉินดังขึ้นด้านหลังมือธนู
เด็กหนุ่มถือดาบด้วยมือข้างเดียว
ส่วนมืออีกข้างค่อยๆ ปล่อยออกจากขาหน้าของอากวง
“เป็นไปได้…อย่างไร…” มือธนูพึมพำออกมาโดยไม่รู้ตัว หลินเป่ยเฉินโดนลูกศรของเขายิงทะลุหัวใจล้มลงนอนสิ้นชีพไปแล้วไม่ใช่หรือ แต่เมื่อหันไปมองที่ซากศพของเด็กหนุ่ม มือสังหารก็พบว่าร่างกายของหลินเป่ยเฉินกำลังสลายตัวหายไปในอากาศอย่างเชื่องช้า
“เป็นไปได้อย่างไรกัน…เป็นไปได้อย่างไร…” มือธนูมัจจุราชพูดออกมาได้เพียงเท่านั้น ศีรษะก็ห้อยตกไปข้างหนึ่งและล้มลงสิ้นชีพไปตรงนั้นเอง
เขานอนตายตาไม่หลับด้วยซ้ำ
“เป็นไปได้ไงน่ะเหรอ?” หลินเป่ยเฉินเดินเข้าไปใช้เท้าเตะธนูออกจากมือของศพมือสังหาร หอบหายใจด้วยความเหนื่อยล้า “มันเป็นเพราะว่า…นอกจากข้าจะเก่งเรื่องการแสดงแล้ว ข้ายังมีร่างแยก แล้วก็สามารถล่องหนได้ด้วยไงล่ะ”
ระหว่างที่พูด เด็กหนุ่มก็กระอักเลือดออกมาตลอดเวลา
พูดหนึ่งคำ เลือดกระเด็นสิบหยด
นับว่าค่ำคืนนี้เขาเสียเลือดมากเกินไปแล้วจริงๆ
หลินเป่ยเฉินทรุดกายนั่งลงอย่างหมดสภาพ
เขายกมือขึ้นใช้วงแหวนวารีครอบคลุมตนเองเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ
“จี๊ด!” เจ้าหนูอากวงมีเหงื่อออกท่วมตัว ขนสีขาวสวยของมันเปียกแนบไปกับลำตัว เจ้าหนูลิ้นห้อยด้วยความเหนื่อยล้า แต่มันก็ไม่ลืมส่งเสียงออกมาเพื่อทวงความดีความชอบของตนเอง
หลินเป่ยเฉินรู้สึกดีขึ้นอย่างรวดเร็ว ความเจ็บปวดทั้งหมดหายไปแล้ว
เขาเอื้อมมือออกไปลูบหัวเจ้าหนูสัตว์เลี้ยงตัวแสบ
คราวนี้ที่รอดชีวิตมาได้ก็เป็นเพราะอากวงแท้ๆ
ความจริง หลินเป่ยเฉินสังเกตเห็นความสามารถข้อนี้ตั้งแต่บ่ายเมื่อวานแล้ว
อากวงรับประทานหญ้าดาราน้อยเข้าไป ทำให้มันมีความสามารถในการล่องหนได้ตามใจชอบ และตอนที่มันถือมีดเข้ามามีเจตนาลอบสังหารเขา มีดในมือของมันก็พลอยล่องหนไปด้วย
นี่หมายความว่าในขณะที่เจ้าหนูล่องหนอยู่ ไม่ว่าตัวมันสัมผัสกับสิ่งใด สิ่งนั้นก็จะล่องหนด้วยเช่นกัน
นั่นคือการคาดเดาของหลินเป่ยเฉิน
และคืนนี้มีแต่ต้องเสี่ยงดวงทดสอบดูเท่านั้น
ในวินาทีแห่งความเป็นความตายเมื่อสักครู่ หลินเป่ยเฉินไม่มีทางเลือก เขาแอบกวักมือเรียกอากวงที่ซ่อนตัวยืนดูเหตุการณ์อยู่ด้านข้างด้วยความตื่นเต้นให้เข้ามาหา แล้วเขาก็จับขาหน้าข้างหนึ่งของมันเอาไว้
ความพยายามสำเร็จผล
หลังจากนั้น หลินเป่ยเฉินใช้โทรศัพท์มือถือฉายภาพจำลองของตนเองเพื่อดึงดูดความสนใจมือสังหาร
แล้วเขาก็เดินหิ้วเจ้าหนูอากวงในสภาพล่องหน อ้อมมาอยู่ด้านหลังมือธนู และจัดการแทงดาบออกไปได้สำเร็จ
ทำไมเขาถึงได้ฉลาดหลักแหลมอย่างนี้นะ?
หลินเป่ยเฉินยิ้มแย้มออกมาด้วยความภูมิใจในตัวเอง
นี่น่ะหรือนักฆ่ามืออาชีพ?
ไม่เห็นจะน่ากลัวสักเท่าไหร่เลยนี่หว่า
หลินเป่ยเฉินก้มหน้ามองบาดแผลที่อยู่บนหัวไหล่ซ้ายของตนเอง พบว่ามันเริ่มสมานตัวแล้ว แต่ก็ยังมีเลือดไหลซึมออกมาอยู่บ้าง
สงสัยจะเป็นอาการบาดเจ็บที่รุนแรงพอสมควร ต่อให้ใช้วงแหวนวารีรักษา อย่างน้อยก็ต้องอาศัยเวลาอีกสักระยะหนึ่ง
ขณะนี้ เรี่ยวแรงในร่างกายของเด็กหนุ่มฟื้นคืนกลับมาถึง 70 ส่วนแล้ว
แต่เขาก็ยังคงนั่งนิ่งเฉยอยู่บนพื้นต่อไป
ไม่เพียงเท่านั้น หลินเป่ยเฉินยังเริ่มหอบหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยล้า
เขาดูอ่อนแอและบาดเจ็บใกล้ตาย
เพราะชีวิตคือการแสดง และหลินเป่ยเฉินเชื่อว่าตนเองเก่งเรื่องการแสดง
เขาต้องแสดงต่อไป
เพราะเด็กหนุ่มกังวลว่าอาจจะมีมือสังหารคนอื่นซ่อนตัวอยู่ในความมืดอีกก็เป็นได้
หลินเป่ยเฉินพยายามจะล่อให้มันออกมา
เด็กหนุ่มรอคอยให้มือสังหารออกมาติดกับดัก
ผ่านไปอึดใจใหญ่
ยังคงไม่มีความเคลื่อนไหวจากในป่าไผ่
“โอ๊ย…ข้าจะตายอยู่แล้ว”
หลินเป่ยเฉินตาเหลือกดิ้นทุรนทุรายอยู่บนพื้นดิน กระอักเลือดออกมาจากปากคำใหญ่
“หวัง…หวังจง…ช่วยข้าด้วย…ออกมาช่วย…”
หลินเป่ยเฉินแขนขาชักกระตุก ครวญครางอย่างน่าเวทนา
สุดท้าย…
วูบ!
เสียงชายเสื้อปะทะลมดังขึ้น
แล้วเงาร่างที่เหมือนวานรตัวหนึ่งพุ่งกระโจนออกมาจากป่าไผ่ มีดในมือเจ้าของร่างนั้นมีความคุ้นตาจนทำให้หลินเป่ยเฉินต้องเลิกคิ้วขึ้นสูง
เป็นนางอีกแล้ว!