บทที่ 203 ศรมังกรคราส

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

บทที่ 203 ศรมังกรคราส

ก่อนที่มีดจะเข้ามาถึงตัว พลังลมปราณได้แผ่เข้ามาถึงก่อน

ดวงตาของมือสังหารเป็นประกายชั่วร้ายอยู่ในความมืด ราวกับว่ามันไม่ใช่ดวงตาของมนุษย์

ในทันทีทันใดนั้น หลินเป่ยเฉินจดจำได้แล้วว่ามือสังหารผู้นี้เป็นใคร

มันคือคนที่ปลอมตัวเป็นเด็กหญิงเสี่ยวหลิง!

มันคือโจทย์เก่าที่เกือบแทงเด็กหนุ่มตายอยู่ในหุบเขาชายแดนเหนือ

หลินเป่ยเฉินกระแทกฝ่ามือลงไปบนพื้นดิน

นั่นทำให้เขาสามารถดีดตัวลอยออกมาได้ไกลสองวา

ดาบศีลธรรมที่เมื่อสักครู่นี้หายลับไปแล้ว ไม่รู้เลยว่ามันกลับเข้ามาอยู่ในมือของหลินเป่ยเฉินตั้งแต่เมื่อไหร่

คมดาบสาดแสงเป็นประกายวูบ

“เจ้า…”

มือสังหารผู้เก่งกาจเรื่องการปลอมตัวชะงักถอยหลัง แต่ก็ยังตอบรับได้รวดเร็วมากพอ

ติ๊ง!

มีดในมือของมันยกขึ้นมาปัดป้องคมดาบได้ทันเวลา

ประกายไฟสาดกระจาย

มีดกระเด็นหลุดออกจากมือ

ได้ยินเสียงดังกร๊อบจากข้อมือของนักฆ่า เลือดเป็นสายไหลทะลักออกมาจากบาดแผล ที่เหวอะหวะมองเห็นถึงกระดูก

แต่ด้วยความที่มีร่างกายขนาดเล็กกะทัดรัด มือสังหารจึงสามารถลอยตัวตีลังกาหายกลับเข้าไปในป่าไผ่ได้อีกครั้ง

หลินเป่ยเฉินกระโดดตามติด

ตวัดกวัดแกว่งดาบศีลธรรมในมือ

เขาใช้ออกด้วยกระบวนท่า ‘ชวนโฉมงามชมบุปผา’ จากเพลงกระบี่รักนิรันดร์

ภาพมายาที่เป็นกลีบดอกไม้ปลิวกระจายในอากาศ

อำพรางคมดาบที่ซ่อนตัวอยู่ด้านหลัง

มือสังหารร่างเล็กไม่ได้มีเจตนาจะต่อสู้อีกแล้ว

มันกางแขนออกว้าง แล้วบนแผ่นหลังก็เหมือนมีปีกค้างคาวงอกออกมาอย่างไม่น่าเชื่อ มือสังหารลอยตัวร่อนขึ้นไปเหนือป่าไผ่ด้วยความเร็วสูง

มันรู้ดีว่าหากคิดสู้ต่อไปตนเองก็ไม่ใช่คู่มือของหลินเป่ยเฉิน

นอกจากอาวุธคู่กายจะหลุดมือแล้ว แขนของมันยังได้รับบาดเจ็บสาหัส

นั่นทำให้มือสังหารรู้ตัวว่าหลินเป่ยเฉินมีความแข็งแกร่งมากกว่าตอนที่เคยพบเจอกันในหุบเขาชายแดนเหนือ

ระดับพลังที่ก้าวกระโดดของเขาทำให้นักฆ่าร่างเล็กถึงกับตกตะลึง

แต่ที่น่าประหลาดใจก็คือ หลินเป่ยเฉินได้รับบาดเจ็บสาหัสขนาดนั้น เสียเลือดไปเป็นจำนวนมากขนาดนั้น แล้วทำไมถึงยังได้มีความแข็งแกร่งอยู่ถึงเพียงนี้?

“หลินเป่ยเฉิน ครั้งหน้าที่พวกเราเจอกัน เจ้าตายแน่”

แล้วมือสังหารร่างเล็กก็ใช้ปีกค้างคาวของมันร่อนออกไปจากสถานศึกษากระบี่ที่สาม

หลินเป่ยเฉินพยายามจะใช้วิชาตัวเบาวิหคดั้นเมฆติดตามไป

แต่วิชาตัวเบาของเขาก็ยังไม่ดีเท่า ‘ปีก’ ของมือสังหารผู้นั้น

เพียงพริบตาเดียว ร่างของมือสังหารก็กลายเป็นเพียงจุดสีดำเล็กๆ บนท้องฟ้า ก่อนที่มันจะหายลับจากสายตาไปอย่างรวดเร็ว

หลินเป่ยเฉินเมื่อเห็นว่าตามไม่ทัน ก็มุ่งหน้ากลับไปที่ตำหนักไม้ไผ่อีกครั้ง

“น่าเสียดายชะมัด” เด็กหนุ่มถอนหายใจ

เขาอุตส่าห์แกล้งตายเพื่อล่อศัตรู มั่นใจว่าจะต้องสังหารฝ่ายตรงข้ามได้แน่นอน แต่หลินเป่ยเฉินก็ได้รับทราบแล้วว่าการสังหารนักฆ่ามืออาชีพไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่คิด

เด็กหนุ่มยืนถือดาบด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

นี่มันคืนอะไรกัน อยู่ดีๆ ก็มีนักฆ่าปรากฏตัวเต็มไปหมด

ต้องมีเบื้องหลังแอบแฝงแน่นอน

หลินเป่ยเฉินหวนนึกถึงเหตุการณ์ในหุบเขาชายแดนเหนือ สมาคมนักล่าอสูรพวกนั้นที่ถูกเขากวาดล้าง พวกมันเป็นเพียงแค่เบี้ยของใครบางคนที่ถูกจ้างมาเพื่อสังหารเขาเท่านั้น

กลุ่มกองโจรในคราบนักล่าอสูรหลายคนมีฝีมือแข็งแกร่งก็จริง แต่เมื่อต่อสู้กันจริงๆ แล้ว ก็สามารถถูกฆ่าตายได้ง่ายดายยิ่งกว่าหั่นผักผ่าแตงโม และไม่มีทางที่จะรับมืออาจารย์จากสถานศึกษากระบี่อย่างพานเว่ยหมินกับฉู่เหินได้เด็ดขาด

นั่นหมายความว่าจะต้องมีมือสังหารระดับสูงแฝงตัวอยู่ในกลุ่มกองโจร ดังเช่นคืนที่พวกมันบุกโจมตีค่ายพักของพวกเขากลางดึก

และพวกมันหนีรอดไปได้

พวกมันยังคงออกล่ายามราตรี

หลินเป่ยเฉินรู้สึกขนลุกเมื่อสายลมโชยมาปะทะผิวกาย

เขาเดินลากดาบใหญ่หมุนตัวกลับไปที่ตำหนักไม้ไผ่

เอาละ

การที่มือสังหารคู่แค้นของเขาสามารถหลบหนีไปได้ ถือว่ามีข้อดีอยู่เล็กน้อย

เพราะมันทำให้หลินเป่ยเฉินยังมีโอกาสแก้แค้น

แต่หลังจากนี้ เขาต้องระมัดระวังตัวมากกว่าเดิม

หลังจากลอบสังหารเขาไม่สำเร็จในค่ำคืนนี้ ครั้งต่อไปที่พวกมันลงมือ แผนการจะต้องยิ่งแยบยลมากกว่านี้แน่นอน

หลินเป่ยเฉินต้องหาทางป้องกันทุกอย่างเท่าที่จะทำได้

แต่ยิ่งคิดมากเท่าไหร่ เด็กหนุ่มก็ยิ่งรู้สึกโกรธแค้นมากขึ้นเท่านั้น

“น่ากลัวฉิบหายเลยโว้ย”

“แม่งเหมือนไม่ใช่มนุษย์ ทำไมถึงได้คิดฆ่าเด็กหนุ่มที่มีหน้าตาหล่อเหลาอย่างเราได้ลงคอนะ”

“ไม่ได้การ เราต้องหาทางตามหาพวกมันให้เจอ แล้วฆ่าพวกมันทิ้งไปให้หมด จะเหลือไว้เป็นเสี้ยนหนามในอนาคตไม่ได้เด็ดขาด”

เมื่อกลับเข้าไปในอาณาเขตของตำหนักไม้ไผ่แล้ว

สิ่งแรกที่หลินเป่ยเฉินพบเจอก็คือศพของมือสังหารชุดดำที่นอนเกลื่อนกลาดอยู่บนพื้น และเขาก็เริ่มต้นทำตามธรรมเนียมส่วนตัวตามลำดับ…

เริ่มจากตัดหัวไปก่อนหน้านี้เรียบร้อยแล้ว

ตามด้วยแทงหัวใจ

แล้วค้นดูข้าวของมีค่าที่พวกมันพกติดตัวเป็นการปิดท้าย

เด็กหนุ่มให้ความสนใจที่มือธนูมัจจุราชมากที่สุด

ก่อนหน้านี้ หลินเป่ยเฉินมีคัมภีร์ยิงอาวุธลับอยู่แล้วหนึ่งเล่ม แต่เขาก็พบว่าอาวุธลับของตนเอง มีอานุภาพอ่อนด้อยกว่าลูกธนูหลายเท่า

ถ้าสามารถกำจัดศัตรูได้ในระยะไกล แล้วจะต้องเสี่ยงอันตรายเข้าไปต่อสู้ในระยะประชิดตัวเพื่ออะไรอีก?

หลินเป่ยเฉินเลือกฝึกวิทยายุทธ์ที่จะส่งเสริมความปลอดภัยของตนเองก่อน ส่วนเหตุผลข้ออื่นมีความสำคัญรองลงมา

เมื่อค้นตัวมือธนูมัจจุราช เด็กหนุ่มก็พบเข้ากับถุงเก็บของใบหนึ่ง

ในนั้นมีเหรียญทอง 15 เหรียญ เหรียญเงิน 40 เหรียญและเหรียญทองแดงอีกเล็กน้อย เช่นเดียวกับคัมภีร์หนังสัตว์ที่มีตัวอักษรเขียนอยู่ด้านบนว่า ‘คัมภีร์ศรมังกรคราส’ ซึ่งเป็นวิชาการยิงธนูที่มือสังหารผู้นี้ใช้โจมตีหลินเป่ยเฉินนั่นเอง

เด็กหนุ่มเปิดอ่านคัมภีร์อย่างผ่านๆ รอบหนึ่ง ก็รู้ว่าวิชายิงธนูชนิดนี้แบ่งแยกออกเป็น 3 ส่วน ส่วนแรกเป็นกระบวนท่าที่เรียกว่า ‘มารดาแผลงศร’ ซึ่งเป็นกระบวนท่าไม้ตายที่มือธนูมัจจุราชตั้งใจจะใช้เด็ดชีพหลินเป่ยเฉิน

ต่อจากนั้น ก็เป็นอีกสองกระบวนท่าพิฆาตอย่าง ‘ศรแสงสุริยัน’ และ ‘ศรม่านพิรุณ’

สองกระบวนท่านี้มือธนูไม่ได้ใช้ออกมา ไม่รู้ว่าที่ไม่ใช้เป็นเพราะยังไม่มีโอกาส หรือเป็นเพราะยังศึกษาไม่ถึงกันแน่

นี่คือคัมภีร์การยิงธนูระดับ 3 ดาว

หลินเป่ยเฉินยิ้มกว้างด้วยความดีใจ

เพียงได้คัมภีร์เล่มนี้มาเล่มเดียว การเกือบถูกลอบสังหารในคืนนี้ก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว

เด็กหนุ่มลองค้นศพอื่นๆ ดูบ้าง

แต่เขาต้องยอมรับเลยว่ามือสังหารกลุ่มนี้เป็นนักฆ่ามืออาชีพจริงๆ พวกมันไม่พกอะไรที่จะระบุถึงที่มาที่ไปของตนเองเอาไว้เลยสักชิ้นเดียว

หลินเป่ยเฉินค้นดูทุกซอกทุกมุม แต่ก็ไม่พบเจออะไรจากศพของชายชุดดำเหล่านี้อีกแล้ว

มือสังหารอาชีพเวลาออกทำภารกิจ ย่อมไม่พกอะไรที่เกินไปกว่าอาวุธคู่กาย

ซากศพของมือสังหารเหล่านั้นถูกนำมากองไว้หน้าตำหนักไม้ไผ่

กว่าที่หน่วยลาดตระเวนประจำสถาบันจะทราบข่าวเรื่องการลอบสังหาร ก็ผ่านไปอีกอึดใจใหญ่

หลังจากตรวจสอบดูแล้ว อาจารย์ผู้ทำหน้าที่ลาดตะเวนก็มีสีหน้าตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง

“พวกมันถึงกับบุกรุกเข้ามาในสถานศึกษากระบี่ที่สาม ถือว่าให้อภัยไม่ได้เด็ดขาด” อาจารย์หนุ่มกล่าวอย่างหัวเสีย

มีคนส่งมือสังหารเข้ามาเพื่อลอบฆ่าตัวแทนผู้เข้าร่วมการแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมืองของพวกเขา นับเป็นเรื่องที่ให้อภัยไม่ได้แล้วจริงๆ

“ไม่ต้องห่วงนะ หลินเป่ยเฉิน ทางสถาบันจะไม่เพิกเฉยต่อเรื่องนี้แน่นอน” อาจารย์หนุ่มรับปากกับหลินเป่ยเฉินอย่างหนักแน่น ก่อนจะเคลื่อนย้ายซากศพของมือสังหารออกไป

หลินเป่ยเฉินเดินกลับเข้าไปในตำหนักไม้ไผ่และตะโกนด้วยความเดือดดาล “หวังจง เจ้าหมาแก่ไร้น้ำยา เมื่อสักครู่นี้เจ้ามุดหัวอยู่ที่ไหน? นายน้อยของเจ้าเกือบจะถูกฆ่าตายอยู่แล้ว ทำไมไม่ออกมารับลูกศรแทนข้า?”

พ่อบ้านหวังรีบวิ่งออกมารับหน้าเขาทันที

ชายชราคลี่ยิ้มและอธิบายว่า “นายน้อยขอรับ นายน้อยพูดอย่างนี้ได้อย่างไร? ตัวข้านั้นมีนามว่าหวังจง ที่มาจากคำว่าจงรักภักดี ไม่มีใครจะซื่อสัตย์ต่อนายน้อยมากไปกว่าข้าอีกแล้วขอรับ ก่อนหน้านี้นายน้อยเป็นคนกำชับเองว่าให้ข้าดูแลตำหนักไม้ไผ่ให้ดี ข้าจึงไม่กล้าเดินออกไปจากที่นี่แม้แต่ก้าวเดียวเลยขอรับ นายน้อยได้โปรดวางใจ ตำหนักไม้ไผ่ของเรายังปลอดภัยไม่มีใครบุกรุกเข้ามาได้สำเร็จ”

หลินเป่ยเฉินกระโดดถีบขาคู่ใส่พ่อบ้านชราล้มกลิ้งไปหลายตลบ

“เหลวไหล ยังมีหน้ามาเล่นลิ้นกับข้าอีกหรือ?”

หลินเป่ยเฉินสบถอีกเป็นชุด

ตอนที่แกล้งได้รับบาดเจ็บสาหัสเมื่อสักครู่นี้ หลินเป่ยเฉินก็อยากจะรู้เหมือนกันว่ามีใครในตำหนักไม้ไผ่บ้างที่จะออกไปช่วยเหลือเขายามตกอยู่ในภัยอันตราย แต่บ่าวรับใช้ของเขาทุกคนเอาแต่ยืนนิ่งเฉยหลบอยู่ในตัวบ้านพัก โดยเฉพาะพ่อบ้านหวัง ไม่รู้ว่าจะยึดมั่นในคำสั่งของเขามากไปถึงไหน ตาเฒ่านั่นไม่คิดเลยหรือว่านายน้อยคนนี้อาจจะต้องเสียชีวิตจริงๆ ก็ได้