บทที่ 204 หันหน้าสู้กล้อง

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

บทที่ 204 หันหน้าสู้กล้อง

“จี๊ด”

อากวงกระโดดเข้ามาในบ้านพัก

เมื่อสักครู่นี้มันเป็นผู้ที่ช่วยชีวิตหลินเป่ยเฉินเอาไว้อย่างแท้จริง ราชันย์อสูรจึงเดินมามองหน้าหวังจงด้วยสายตาเหยียดหยาม

หวังจงใบหน้ากระตุก

ตำแหน่งคนรับใช้ขวัญใจนายน้อยดูจะหลุดลอยออกไปห่างไกลมากขึ้นทุกที

ก่อนหน้านี้ มีแต่เขาคนเดียวเท่านั้นที่นายน้อยจะเอ่ยปากชม

แต่มาบัดนี้ พ่อบ้านหวังจงไม่สามารถสู้ได้แม้แต่หนูป่าตัวหนึ่งด้วยซ้ำ…

ไม่มีอะไรน่าปวดใจมากไปกว่านี้อีกแล้ว

ขืนเป็นเช่นนี้ต่อไป หวังจงแน่ใจว่าตนเองจะต้องกลายเป็นหมาหัวเน่าแน่นอน

เขาจะต้องหาทางกำจัดเจ้าหนูปีศาจตัวนี้ให้ได้

“จุดตะเกียง”

หลินเป่ยเฉินออกคำสั่ง

แล้วหญิงรับใช้ทั้งสองนางก็จุดตะเกียงภายในห้องโถง

“ขอกระดาษกับปากกา”

เมื่อรับปากกาขนนกมาถือในมือ หลินเป่ยเฉินก็ครุ่นคิดอะไรอยู่เล็กน้อย ก่อนจะเริ่มต้นเขียน

เด็กหนุ่มเขียนข้อความทั้งหมด 10 หน้ากระดาษอย่างรวดเร็ว

“หวังจง เช้าวันพรุ่งนี้เจ้าออกไปซื้อของตามรายการที่ข้าจด ทั้งหมดเป็นรายชื่อสมุนไพรที่สามารถหาซื้อได้ในร้านขายยาประจำเมือง แต่จงจำเอาไว้ว่าร้านขายยาหนึ่งร้าน สามารถซื้อสมุนไพรมาได้เพียงหนึ่งชนิดเท่านั้น เจ้าพอจะทำได้หรือไม่?”

หลินเป่ยเฉินพูดพร้อมกับยื่นส่งกระดาษทั้ง 10 แผ่นนั้นให้แก่ชายชรา

“นายน้อยไม่ต้องเป็นห่วงขอรับ หวังจงผู้นี้จะจัดการให้เอง”

แล้วพ่อบ้านหวังก็หันมาแสยะยิ้มให้กับเจ้าหนูอากวง

เห็นไหมล่ะเจ้าหนูโง่ สุดท้ายนายน้อยก็ยังเชื่อใจข้ามากกว่าเจ้าอยู่ดี

“แล้วเงินล่ะขอรับ นายน้อย” เมื่ออ่านรายการสิ่งของที่ต้องซื้อ หวังจงก็แบมือไปข้างหน้าผู้เป็นเจ้านาย “น่าจะใช้ประมาณ 20 เหรียญทองคำขอรับ”

“เอ่อ…”

เมื่อเด็กหนุ่มได้ยินคำว่า 20 เหรียญทองคำ หัวใจของเขาก็กระตุกวูบ หลังจากคิดดูอีกรอบแล้ว หลินเป่ยเฉินก็พูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม “สมุนไพรอะไรจะแพงขนาดนั้น”

พูดจบ เขาก็โยนเงินให้ชายชราห้าเหรียญทองคำ

“ถ้าไม่พอ เจ้าก็หาทางแก้ปัญหาเองแล้วกัน”

“แล้วข้าจะทำอย่างไรล่ะขอรับ นายน้อย?”

หวังจงขมวดคิ้วด้วยความจนปัญญา

“เจ้าก็หาทางเข้าสิ” หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตเหมือนไม่อยากเชื่อ “หวังจง เจ้าเป็นพ่อบ้านของข้าจนถึงอายุปูนนี้เข้าไปแล้ว เรื่องเงินเล็กน้อยเพียงเท่านี้ ยังจะต้องรบกวนนายน้อยของเจ้าอีกหรือ?”

“นะ…นายน้อย หวังจงรับทราบแล้ว” พ่อบ้านชราพูดออกมาอย่างรู้สึกผิด

หลินเป่ยเฉินหันกลับมาก้มมองที่ราชันย์อสูรอีกครั้ง “ส่วนเจ้า ข้าเขียนแผนที่โดยรอบของตำหนักไม้ไผ่เอาไว้แล้ว คืนนี้เจ้าต้องออกไปกลบฝังกองอึของตนเองให้เรียบร้อย…เข้าใจหรือไม่”

อากวงทำสีหน้าบอกชัดว่าไม่เข้าใจ

ก็ในเมื่อผู้บุกรุกพวกนั้นต้องเสียทีเพราะเหยียบกับระเบิดอึของมันไม่ใช่หรือ?

แล้วทำไมนายท่านถึงต้องสั่งให้มันออกไปกลบฝังกองอึด้วยเล่า?

หลินเป่ยเฉินจัดการเขกกะโหลกเจ้าอากวงไปหนึ่งโป๊ก “ยังไม่เข้าใจอีก? จำเอาไว้ว่านับจากวันนี้ไป เจ้าห้ามเข้าไปขับถ่ายในห้องน้ำ แล้วก็ห้ามขับถ่ายเรี่ยราดตามสนามหญ้าด้วย ถ้าเจ้ารู้สึกปวดท้อง ให้ไปอุจจาระตามจุดที่ข้าระบุเอาไว้ในแผนที่ เข้าใจหรือไม่? และถ้าเจ้าไม่เชื่อฟังคำสั่ง ข้าจะจับเจ้ามาทำเป็นเนื้อย่างเสีย”

เด็กหนุ่มได้เห็นมากับตาแล้วว่าราชันย์อสูรเมื่อรับประทานหญ้าดาราน้อยเข้าไป มันก็เกิดการกลายพันธุ์ นอกจากสามารถล่องหนได้แล้ว อุจจาระยังกลายเป็นกับระเบิดที่สามารถปล่อยพิษออกมาได้อีกด้วย

ที่น่ากลัวก็คือมันเป็นกองอุจจาระล่องหน

ผู้คนจะไม่รู้ตัวเลยเมื่อเดินเหยียบ เพราะอุจจาระของหนูอสูรตัวนี้ไม่มีสีไม่มีกลิ่น เมื่อเหยียบลงไปแล้ว ก็จะปรากฏหมอกควันสีเขียวฟุ้งตลบขึ้นมา และอานุภาพของมันน่ากลัวยิ่งกว่ากับระเบิดหลายเท่า

แน่นอนว่ามันเป็นสิ่งที่มีทั้งข้อดีและข้อเสียอยู่ในตัว

ถ้าใช้ไม่ถูกวิธี กับระเบิดอึพวกนี้ก็จะเป็นอันตรายต่อพวกเขาเอง

“จี๊ด!”

อากวงรับกระดาษไปดูด้วยความตื่นกลัว มันรีบจดจำตำแหน่งในแผนที่อย่างตั้งอกตั้งใจ เพราะกลัวว่าสักวันหนึ่งตนเองอาจจะเผลอขับถ่ายอุจจาระผิดที่ผิดทางเข้าก็เป็นได้

“เอาละ คืนนี้พอเท่านี้ก่อน พวกเราแยกย้ายกันไปพักผ่อน”

หลินเป่ยเฉินอ้าปากหาวหวอด

แต่หลังจากลุกขึ้นเดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าว เด็กหนุ่มก็เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ เขาหันกลับมาพูดว่า “เดี๋ยวก่อน หวังจง คืนนี้เจ้าขึ้นไปนอนที่ห้องของข้าก็แล้วกัน”

ส่วนตัวเขาเองเดินไปหยุดยืนหน้าห้องพักของพ่อบ้านชรา

ยังไงซะ ระวังตัวไว้ก่อนดีกว่า

เพราะไม่มีผู้ใดสามารถรับประกันได้เลยว่ามือสังหารเหล่านั้นจะไม่กลับมาอีก

จากสิ่งที่หลินเป่ยเฉินสามารถประเมินได้ก็คือ กลุ่มมือสังหารดูจะมีความชำนาญพื้นที่เป็นพิเศษ เหมือนกับว่าพวกมันมาดูลาดเลาแล้วหลายครั้ง และพวกมันก็จะต้องรู้ตำแหน่งห้องพักของเขาเป็นแน่แท้ นั่นหมายความว่าห้องนอนบนชั้นสองในตำหนักไม้ไผ่เป็นสถานที่อันตราย ถ้าจะเกิดการบุกโจมตีขึ้นมา ก็ให้หวังจงรับกรรมแทนแล้วกัน

“นายน้อยขอรับ ข้า…” หวังจงหน้าเสีย ด้วยรู้ดีว่านายน้อยกำลังคิดอะไรอยู่ แต่นี่คือคำสั่งที่ปฏิเสธไม่ได้ สุดท้ายชายชราก็ต้องยกมือปาดน้ำตาและเดินขึ้นบันไดไปตามคำสั่ง

หลินเป่ยเฉินหันหน้ากลับมายิ้มหวานให้แก่หญิงรับใช้ทั้งสองนาง แล้วกล่าวว่า “คืนนี้ดึกมากแล้ว พวกเจ้าทั้งสองรีบกลับห้องไปพักผ่อนเสียเถิด”

ในเวลาเดียวกันนั้น

ที่ด้านนอกตำหนักไม้ไผ่

เงาร่างที่สวมใส่ชุดเสื้อคลุมมือกระบี่กำลังยืนอยู่บนยอดต้นไผ่ที่มีความสูงห้าจั้ง กิ่งก้านใบของต้นไผ่กำลังโบกสะบัดตามสายลม

แสงจันทร์สาดส่อง เส้นผมสีเขียวของคนผู้นั้นเป็นประกายระยิบระยับ

เมื่อเห็นแสงตะเกียงในตำหนักไม้ไผ่ดับวูบลง มุมปากของเขาก็ยกตัวเป็นรอยยิ้ม

วันต่อมา

เข้าสู่ช่วงปลายฤดูร้อน

วันนี้จะมีพิธีเปิดการแข่งขันการค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมืองรอบ 20 คนสุดท้าย หลินเป่ยเฉินได้ข่าวว่าพิธีเปิดจะจัดขึ้นอย่างใหญ่โตและเป็นที่เฝ้ารอของผู้คนทั้งเมือง

ประตูสถาบันเปิดตั้งแต่เช้าตรู่ ลูกศิษย์ของสถานศึกษากระบี่ที่สามออกมารวมตัวกันที่ลานด้านหน้า เพื่อทำพิธีส่งตัวฮันปู้ฟู่ หลินเป่ยเฉิน เยว่หงเซียงและไป๋ชินหยุน ซึ่งเป็นตัวแทนสถาบันทั้งสี่เดินทางไปยังสถานศึกษากระบี่หลวง เพื่อเริ่มต้นการแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมืองรอบสุดท้าย

หลิงไท่ซวีผู้เป็นอาจารย์ใหญ่เกือบมาร่วมพิธีส่งตัวลูกศิษย์ไม่ทัน

เขาปรากฏตัวในสภาพที่ยังเมามาย

ชายชราแทบจะลืมตาไม่ขึ้นด้วยซ้ำ

ดังนั้น พิธีส่วนใหญ่จึงเป็นหลิวฉีไห่รับหน้าที่ดำเนินการ

เมื่อปฏิบัติตามพิธีทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย ตัวแทนสถาบันทั้งสี่คนก็เดินขึ้นรถม้าโดยสารออกมาจากสถานศึกษา โดยที่มีเสียงตะโกนให้กำลังใจจากเพื่อนร่วมสถาบันอยู่ด้านหลัง สัตว์อสูรจำนวน 4 ตัวลากรถม้าผ่านประตูสถานศึกษากระบี่ที่สามออกไปอย่างเชื่องช้า ก่อนที่มันจะเริ่มเร่งความเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ

ครั้งนี้ พานเว่ยหมินกับเฒ่าทะเลรับหน้าที่ดูแลรถม้าของพวกเขาด้วยตนเอง

สองฟากฝั่งของท้องถนน มีชาวเมืองมารวมตัวกันให้กำลังใจอย่างหนาแน่น

เมื่อมองดูก็จะพบว่ามีทั้งคนแก่ กลุ่มวัยรุ่นหนุ่มสาว กลุ่มคนที่เป็นพ่อค้าแม่ค้า เรียกได้ว่ามีกลุ่มคนทุกช่วงอายุวัยเลยทีเดียว…

เนื่องจากชาวเมืองเกือบทุกคนต่างก็เป็นศิษย์เก่าของสถานศึกษากระบี่ที่สาม พวกเขาจึงรู้สึกภูมิใจมากที่สถาบันของตนเองมีลูกศิษย์สามารถผ่านเข้าสู่รอบสุดท้ายได้เช่นนี้

“สู้เขานะ เด็กๆ”

“ผ่านบททดสอบด่านแรกให้ได้นะ”

“ถ้าพวกเจ้าคนใดสามารถผ่านเข้าสู่ด่านที่สองได้สำเร็จ เจ้าสามารถมาดื่มกินที่โรงเตี๊ยมซิงฮุยของข้าได้เลยสามวันสามคืน ข้าจะไม่คิดเงินสักเหรียญเดียว…”

เกิดเสียงตะโกนอื้ออึงดังขึ้นไม่รู้จบ

หลินเป่ยเฉินยกมือเท้าคางมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยความเบื่อหน่าย

บรรยากาศเหมือนชาวบ้านมาส่งลูกหลานเดินทางเข้าไปสอบในตัวเมืองไม่มีผิด

มันไม่ใช่ความทรงจำที่ดีของเขาสักเท่าไหร่

แต่แล้ว หลินเป่ยเฉินก็ได้พบว่าขณะนี้มีเจ้าหน้าที่ของกระทรวงศึกษาหลายคนกำลังถือสิ่งที่เหมือนกับกระจกเอาไว้อยู่ในมือ พวกเขาลอยตัวอยู่ใกล้รถม้าตลอดเวลา และดูเหมือนว่าจะนำกระจกในมือส่องมาทางหลินเป่ยเฉินที่อยู่ในห้องโดยสารของรถม้าด้วยซ้ำ

“ดูนั่นสิ นั่นมันกระจกเนตรทิพย์นี่นา พวกเขากำลังถ่ายทอดสดเราอยู่ล่ะ”

ไป๋ชินหยุนอุทานออกมาด้วยความตื่นเต้นและโบกไม้โบกมือให้กับกระจกบานหนึ่ง

กระจกเบิกเนตรเป็นวัตถุที่ได้มาจากการเล่นแร่แปรธาตุ มันทำหน้าที่เหมือนกล้องถ่ายทอดสดบนโลกมนุษย์ ทุกภาพที่สะท้อนอยู่บนกระจกในขณะนี้ จะไปปรากฏอยู่บนหน้าจอใหญ่ที่ตั้งอยู่ทั่วทุกมุมเมือง

เจ้าหน้าที่ของกระทรวงศึกษาเหล่านี้ มีหน้าที่ไม่ต่างไปจากนักข่าวภาคสนาม พูดง่ายๆ ก็คือพวกเขาเป็นทีมงานถ่ายทอดสด คอยเกาะติดสถานการณ์ของผู้เข้าแข่งขันแต่ละคนอย่างใกล้ชิด และด้วยเหตุนี้เอง บรรดาเด็กหนุ่มเด็กสาวที่ได้เข้าสู่การแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมืองรอบ 20 คนสุดท้าย ก็มักจะกลายเป็นดาวดังประจำเมืองในพริบตา

หลินเป่ยเฉินไม่อยากเชื่อว่าโลกจอมยุทธ์แห่งนี้จะมีการถ่ายทอดสดจริงๆ

ทันใดนั้น เขาหันไปส่ายหน้ากับไป๋ชินหยุน และพูดว่า “ศิษย์น้องไป๋ เจ้าต้องใจเย็นลงหน่อย เจ้าไม่รู้หรือไงว่ายิ่งเป็นคนดังมากเท่าไหร่ ชีวิตก็ยิ่งมีแต่ความวุ่นวายมากเท่านั้น บัดนี้พวกเราควรรักษาภาพลักษณ์ไว้ก่อนไม่ดีกว่าหรือ?”

ไป๋ชินหยุนชักสีหน้าด้วยความไม่พอใจ

แต่เมื่อลองทบทวนคำพูดของเด็กหนุ่มรุ่นพี่ นางก็รู้สึกว่าเขาพูดจามีเหตุผล บัดนี้นางสมควรรักษาภาพลักษณ์ จึงรีบนั่งหลังตรงทำสีหน้าสงบสุขุม ไม่แสดงอาการตื่นเต้นออกมาอีก

เยว่หงเซียงกับฮันปู้ฟู่ก็ทำตัวเงียบขรึมเช่นเดียวกัน

ทั้งสองคนต่างก็เห็นด้วยกับคำพูดของหลินเป่ยเฉิน บัดนี้ สิ่งที่พวกเขาควรทำมากที่สุดคือการรักษาภาพลักษณ์ เพราะกำลังมีคนรับชมการถ่ายทอดสดอยู่ทั้งเมือง

ทว่า ในพริบตาต่อมานั้นเอง

หลินเป่ยเฉินกลับหันไปโบกไม้โบกมือให้กับกระจก และฉีกยิ้มที่คิดว่าทำให้เขาหล่อเหลามากที่สุด ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่มละลายใจสตรีว่า “สวัสดีทุกท่าน ข้าพเจ้ามีนามว่าหลินเป่ยเฉิน เป็นเด็กหนุ่มที่มีหน้าตาหล่อเหลาที่สุดในเมืองหยุนเมิ่ง และเป็นยอดอัจฉริยะอันดับหนึ่งด้วยเช่นกัน ข้าขอรับประกันเลยว่าตำแหน่งผู้ชนะในการแข่งขันครั้งนี้จะต้องเป็นของข้าอย่างแน่นอน…”

ไป๋ชินหยุนใบหน้ากระตุกอย่างควบคุมไม่ได้

ฮันปู้ฟู่หันขวับไปจ้องมองหลินเป่ยเฉินด้วยความไม่อยากเชื่อ

ส่วนเยว่หงเซียงได้แต่ส่ายหน้าด้วยความอ่อนอกอ่อนใจมากแล้ว