บทที่ 205 ข้อสอบที่ง่ายดายยิ่ง
“สามหาวนัก!”
“ยอดอัจฉริยะอันดับหนึ่ง? หลินเป่ยเฉินพูดออกมาไม่อายปากบ้างหรือไง?”
“ไม่สงสัยอีกแล้วว่าทำไมเขาถึงได้กลายเป็นคนสมองไม่ปกติ”
“ฟังที่มันพูดออกมาเถอะ ไม่รู้เลยว่าไปเอาความมั่นใจมาจากไหน? เฮอะ”
“น้ำหน้าอย่างเจ้าเนี่ยนะจะเป็นผู้ชนะ? เพ้อเจ้อเหลือเกิน”
“หากข้าเจอตัวจริงของเจ้าหมอนี่นะ คงต้องซัดใส่สักหมัดแล้ว”
“เจ้าหมอนี่มันไม่มียางอายเลยจริงๆ”
เมื่อใบหน้าประดับรอยยิ้มของหลินเป่ยเฉินปรากฏขึ้นบนหน้าจอทั่วเมือง คำประกาศของเขาก็กลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ของชาวเมืองทันที ไม่มีใครเชื่อเลยว่าเด็กหนุ่มจะสามารถทำตามที่พูดได้จริงๆ
เพราะการแข่งขันครั้งนี้มันยากมากเกินไป
คนสติไม่ดีอย่างเจ้าแกะดำไม่มีทางผ่านเข้ารอบลึกๆ ได้เด็ดขาด
ในเวลาเดียวกันนี้ บรรดาลูกศิษย์อัจฉริยะจากสถานศึกษาต่างๆ ที่กำลังจะเข้าร่วมการแข่งขันด้วยเช่นกัน ต่างก็ยิ้มอย่างดูถูกดูแคลนให้แก่ความมั่นใจของหลินเป่ยเฉิน
แต่แน่นอนว่าก็มีคนอีกจำนวนไม่น้อยที่ชื่นชมความหล่อเหลาของเด็กหนุ่ม เมื่อใบหน้าของเขาปรากฏขึ้นในการถ่ายทอดสด
“ขนาดหน้าตายังหล่อเหลาถึงเพียงนี้ ฝีมือของเขาจะต้องเลิศล้ำอย่างแน่นอน”
ไม่ว่าจะเป็นสาวแก่แม่หม้ายหรือสาวเล็กสาวใหญ่ ต่างก็หลงใหลในเสน่ห์ความหล่อเหลาของหลินเป่ยเฉิน
แล้วกาลเวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ในเมืองต่างๆ จะมีการติดตั้งหน้าจอขนาดใหญ่สำหรับให้ชาวเมืองได้รับชมการถ่ายทอดสดทั้งสิ้น 21 จุด และในขณะนี้ ภาพบนหน้าจอก็กำลังแสดงให้เห็นความชุลมุนวุ่นวายของกลุ่มเด็กหนุ่มเด็กสาวที่กำลังรีบรุดไปยังพิธีเปิดการแข่งขันให้ทันเวลา
กลุ่มเด็กหนุ่มเด็กสาวประกอบไปด้วยหลินอี้ หลิงสง หลิงเฉิน โจวเค่อ ซูเสี่ยวหยาน หมี่โหรวหยาน คังซานเสว่ หวังซินโหยว และยอดมือกระบี่รุ่นเยาว์ชื่อดังอีกมากมาย พวกเขาทยอยปรากฏตัวบนหน้าจอถ่ายทอดสดทีละคน เรียกเสียงฮือฮาจากกลุ่มคนดูได้เป็นระยะ
สำหรับกับชาวเมืองทั่วไป การแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมือง เป็นเหมือนกิจกรรมความบันเทิงที่ทุกคนรอคอย
ณ สถานศึกษากระบี่หลวง
พิธีเปิดการแข่งขันกำลังดำเนินไป
ในฐานะที่เป็นสถานศึกษากระบี่อันดับ 1 ประจำเมืองหยุนเมิ่ง สถานศึกษากระบี่หลวงจึงมีความสมบูรณ์แบบในทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเรียนการสอน จำนวนบุคลากรที่มีความสมดุลกับจำนวนลูกศิษย์ สถาปัตยกรรมที่สวยงาม พื้นที่อันกว้างใหญ่ไพศาล ไม่ว่าจะมองจากมุมใด สถานศึกษากระบี่หลวงก็เรียกได้ว่าไร้ที่ติ
สถาบันของพวกเขาตั้งอยู่บนพื้นที่ราบสูงทางเขตตะวันตกเฉียงใต้ของตัวเมือง
ที่นี่มีสถานะเป็นรองเพียงวิหารเทพกระบี่กับจวนผู้ว่าประจำเมืองเท่านั้น
หลินเป่ยเฉินกำลังยืนถอนหายใจอยู่ในพิธีเปิดท่ามกลางกลุ่มเด็กหนุ่มเด็กสาวจำนวนมาก
นี่ไม่ใช่การแข่งขันรอบ 20 คนสุดท้ายตามที่เขาเข้าใจมาตลอด
เพราะไม่เคยมีใครบอกเขาเลยว่าการแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมืองรอบนี้ นอกจากจะมีผู้เข้าแข่งขัน 20 คนที่ผ่านการคัดเลือกเข้ารอบมาได้สำเร็จอย่างเลือดตาแทบกระเด็น ก็ยังมีลูกศิษย์จากสถานศึกษาต่างๆ อีกหลายสิบชีวิตได้รับการคัดเลือกเป็นพิเศษจากกระทรวงศึกษาให้เข้าร่วมการแข่งขันด้วยเช่นกัน
และนั่นทำให้การแข่งขันครั้งนี้ มีผู้เข้าร่วมทั้งหมดถึง 72 คน
ก่อนที่จะเริ่มการแข่งขันอย่างเป็นทางการ เจ้าหน้าที่จากกระทรวงศึกษาได้เดินขึ้นมาบนเวทีเพื่อกล่าวปาฐกถาที่แสนน่าเบื่อหน่าย
และเจ้าหน้าที่คนนั้นก็คือโจวเสวียงฟู ผู้ดำรงตำแหน่งเจ้ากรมกระทรวงศึกษาคนปัจจุบัน
เขาเป็นบุรุษวัยกลางคน หูกาง ปากกว้าง จมูกแหลม ดวงตาเป็นรูปวงรี ผิวขาวปราศจากราคี สีหน้าเคร่งขรึมจริงจังอยู่ตลอดเวลา เขาแต่งกายด้วยชุดในเครื่องแบบ พลังลมปราณหนาแน่นแผ่ออกมาจากร่างกาย บ่งบอกให้รู้ว่ามีพลังอยู่ในระดับปรมาจารย์
ในเมืองหยุนเมิ่ง จวนผู้ว่าจะมีอำนาจสูงสุด
ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงศึกษา กระทรวงกลาโหม กระทรวงมือปราบ กรมกองกิจการภายใน หรือกระทรวงการคลัง ต่างก็ทำงานขึ้นตรงต่อจวนผู้ว่าทั้งสิ้น
การทำงานในรูปแบบนี้เพิ่งจัดตั้งขึ้นเมื่อ 2 ปีก่อน
เพราะฉะนั้น จึงกล่าวได้ว่าหลิงจุนเเซวียนคือผู้ที่มีอำนาจสูงสุดภายในเมือง
ห้ากระทรวงสำคัญอยู่ภายใต้การปกครองของเขา
มีเพียงหน่วยงานเดียวเท่านั้นที่ท่านผู้ว่าการเมืองไม่มีสิทธิ์แต่ต้อง และนั่นก็คือหน่วยนักรบเมฆา
เพราะว่าหน่วยนักรบเมฆาเป็นหน่วยรบในตํานาน นายทหารในสังกัดทุกคนมีสถานะสูงส่ง ไม่ต้องทำงานขึ้นตรงต่อผู้ใดนอกจากองค์จักรพรรดิ
การแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมืองในจักรวรรดิเป่ยไห่ เป็นการแข่งขันที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน และมีความสำคัญมากเพราะราชวงศ์ผู้ก่อตั้งจักรวรรดิเป็นผู้ริเริ่มการแข่งขัน ด้วยเหตุนี้ แทบทุกคนที่เข้ามาร่วมงานจึงรู้สึกได้ถึงความกดดันมหาศาลบนสองบ่า
ท่านผู้ว่าหลิงจุนเซวียนและเจ้ากรมกระทรวงทั้งห้า รวมถึงผู้บังคับบัญชาระดับสูงของหน่วยนักรบเมฆา ซึ่งมีนามว่าหลี่เมิ้งสง ล้วนแต่นั่งประจำที่ยังโต๊ะของตนเอง
นอกจากนั้น ผู้ร่วมโต๊ะคนอื่นๆ ยังมีอาจารย์ใหญ่จากสถานศึกษาต่างๆ ประมุขจากหอการค้ายักษ์ใหญ่ ผู้อาวุโสที่ได้รับความเคารพเป็นอย่างสูงในตัวเมือง คณะอาจารย์ที่เกษียณอายุงานไปแล้วอีกหลายท่าน แม้แต่ตัวแทนจากสำนักยุทธ์อิสระ ก็ได้รับเชิญให้เข้าร่วมพิธีเปิดด้วยเช่นกัน
“ถ้ามีใครสักคนเอาระเบิดนิวเคลียร์มาบอมบ์ที่นี่นะ พวกผู้นำระดับสูงคงตายกันหมดเมืองแหง” หลินเป่ยเฉินยกมือปิดปากหาว คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยด้วยความเบื่อหน่าย
พิธีเปิดการแข่งขันที่มีพวกผู้ใหญ่ขึ้นมากล่าววาจาไร้สาระเช่นนี้ ทำให้เด็กหนุ่มนึกถึงพิธีการเปิดเทอมวันแรกของโรงเรียนมัธยมในโลกมนุษย์ขึ้นมาทันใด เมื่อครูใหญ่พูดจบ ก็จะส่งไมโครโฟนให้กับลูกน้องขึ้นมาพูดต่อ จากนั้นก็จะถึงคิวของเด็กนักเรียนและพ่อแม่ผู้ปกครองตามลำดับ…
ไม่มีอะไรน่าเบื่อมากไปกว่านี้อีกแล้ว
หลินเป่ยเฉินเริ่มกวาดสายตาสำรวจมองรอบตัว
ทันใดนั้น สายตาของเขาก็พบเข้ากับสองพี่น้องนายทหารหลิงฉือกับหลิงอู๋ ไม่รู้เลยว่าพวกเขามาปรากฏตัวอยู่ที่โต๊ะของแขกคนสำคัญตั้งแต่เมื่อไหร่
ทั้งสองคนสวมใส่ชุดเครื่องแบบนายทหาร ดูหล่อเหลาและเคร่งขรึม มีสง่าราศี
แต่สองพี่น้องไม่ได้มาด้วยกัน
หลิงฉือมาคนเดียว สีหน้าของเขาเย็นชาไร้ความรู้สึก ไม่ว่าใครนั่งอยู่ใกล้ๆ ก็จะรู้สึกกดดันขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผล
ส่วนหลิงอู๋มากับเด็กหนุ่มอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน
คำนวณจากสายตาน่าจะมีอายุไม่เกิน 17 ปี หน้าตาเรียกได้ว่าหล่อเหลาถึงขีดสุด คิ้วเข้ม ดวงตาคม จมูกโด่ง ผิวพรรณดีบอกได้เลยว่ามาจากตระกูลสูงส่งแน่ๆ แล้วเส้นผมยาวสลวยสีแดงเพลิงนั่นอีก ยิ่งมองก็ยิ่งโดดเด่นสะดุดตา
มิหนำซ้ำ เขายังสวมใส่ชุดเกราะและเสื้อคลุมสีแดง ยิ่งมีความโดดเด่นมากกว่าคนทั่วไปอีกหลายเท่า
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายหนึ่งมีความหล่อเหลาเกินหน้าเกินตาขนาดนี้ หลินเป่ยเฉินก็ชักจะรู้สึกเขม่นขึ้นมาแล้ว
“ไอ้หมอนี่มันหล่อกว่าเราอีกนะเนี่ย แม่งปล่อยเอาไว้ไม่ได้ซะแล้ว”
หลินเป่ยเฉินคำรามอยู่ในใจ
แต่ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่การกล่าวเปิดพิธีการแข่งขันบนเวทีจบสิ้นลงพอดี
“การแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมืองครั้งที่ 121… เริ่มต้นขึ้น ณ บัดนี้” ท่านผู้ว่าการหลิงจุนเซวียนกับเด็กหนุ่มผมแดงเดินออกมาเปิดการแข่งขันด้วยกัน
“เฮ้ย ดูเหมือนเจ้าหมอนี่จะเส้นใหญ่ไม่เบานี่หว่า”
หลินเป่ยเฉินอุทานออกมาโดยไม่รู้ตัว
“นี่เจ้าไม่ได้ฟังที่พวกเขากล่าวกันก่อนหน้านี้เลยหรือ?” ได้ยินเสียงของหลิงเฉินดังขึ้น เมื่อหลินเป่ยเฉินหันกลับไปมอง นางก็มาปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้าเขาแล้ว “เด็กหนุ่มผู้นี้คือองค์รัชทายาทของจักรวรรดิเป่ยไห่ ทุกคนต่างก็เรียกขานเขาว่าองค์ชายเจ็ด”
“เดี๋ยวก่อนนะ พวกเขาแนะนำตัวไปตั้งแต่ตอนไหนกันนี่?” หลินเป่ยเฉินกระพริบตาปริบๆ “ทำไมข้าถึงไม่ได้ยิน?”
หลิงเฉินพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว
นางไม่ได้พบกับเขานานแล้ว เมื่อสักครู่นี้เจอหน้ากัน หลิงเฉินเข้าใจว่าหลินเป่ยเฉินจะต้องวิ่งเข้ามาหานางด้วยความคิดถึงคนึงหา แต่ที่ไหนได้ เขากลับทำเหมือนไม่รู้จักนางด้วยซ้ำ และด้วยเหตุผลนี้เองที่ทำให้หลิงเฉินแอบรู้สึกขุ่นเคืองใจอยู่เล็กน้อย
“เราจะเริ่มต้นการสอบวัดความรู้อย่างเป็นทางการ” หลิงจุนเซวียนยืนประกาศอยู่บนเวทีด้วยเสียงดังฟังชัดเจน
เหล่าเด็กหนุ่มเด็กสาวอัจฉริยะทั้ง 72 คนเดินเข้ามายืนต่อแถว และก้าวขึ้นไปบนเวทีเพื่อรับกระดาษข้อสอบทีละคน
“หมายเลข 44 อีกแล้วเหรอวะเนี่ย?”
หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตเมื่อเห็นหมายเลขของตนเอง
ไม่ใช่เลขนำโชคสักเท่าไหร่เลย
เด็กหนุ่มกำลังจะเดินลงจากเวที ก็มีใครคนหนึ่งส่งเสียงทักทายว่า “เจ้าคือหลินเป่ยเฉินใช่หรือไม่?”
ปรากฏว่าเป็นองค์ชายเจ็ดในชุดเสื้อคลุมสีแดงนั่นเอง
“ใช่แล้วขอรับพระองค์ท่าน เขาผู้นี้คือหลินเป่ยเฉิน เป็นบุตรชายของอดีตขุนนางนักรบแห่งสวรรค์”
ก่อนที่หลินเป่ยเฉินจะได้ตอบคำถาม เสียงที่คุ้นหูก็ดังขึ้น แล้วไป๋ไห่ชิน หนึ่งในสามยอดมือกระบี่ประจำเมืองไป๋หยุน ก็มาปรากฏตัวขึ้นข้างกายองค์รัชทายาทอย่างเร็วไว
ตาเฒ่าคนนี้ยังอยู่อีกเหรอเนี่ย?
หลินเป่ยเฉินชะงักไปเล็กน้อยก่อนอุทานในใจด้วยความสงสัย
“หลินเป่ยเฉิน เจ้ากำลังอยู่ต่อหน้าองค์รัชทายาทของจักรวรรดิเป่ยไห่ ยังไม่รีบทำความเคารพอีก” หลิงอู๋เดินเข้ามาขยิบตาส่งสัญญาณให้หลินเป่ยเฉิน
“ข้าน้อยทำความเคารพองค์ชาย”
หลินเป่ยเฉินประสานมือโค้งคำนับอย่างนอบน้อม
ในนิยายออนไลน์ที่สามารถอ่านได้ในเน็ต พวกพระเอกหน้าโง่ที่ทะลุมิติไปอยู่ในโลกอื่น มักจะไม่ยอมตกอยู่ในอำนาจของพระราชาซึ่งปกครองอยู่ในดินแดนนั้นๆ เพราะยึดถือว่าตนเองมาจากต่างโลกต่างเมืองต่างดินแดน ไม่จำเป็นต้องแสดงความเคารพเหมือนกับชาวบ้านชาวเมืองทั่วไป
แต่หลินเป่ยเฉินเป็นผู้ที่ทะลุมิติมาจากโลกมนุษย์จริงๆ เขารู้ดีว่าตนเองจำเป็นต้องไหลตามน้ำไปก่อน
หลินเป่ยเฉินไม่ได้โง่พอที่จะมีปัญหากับราชวงศ์ผู้ปกครองจักรวรรดิ ดังนั้น เขาจึงไม่กล้าทำตัวกระด้างกระเดื่องต่อองค์รัชทายาทแม้แต่น้อย
“ดูจากหน่วยก้านของเจ้าแล้ว สมกับคำเล่าลือที่ว่าเป็นมังกรซ่อนอยู่ในกลุ่มพยัคฆ์ หลินเป่ยเฉิน ข้าขอบอกเลยนะว่าองค์จักรพรรดิชื่นชมเจ้ามาก การแข่งขันครั้งนี้ ขอให้เจ้าทำให้เต็มที่ที่สุด” องค์ชายผมแดงพูดด้วยน้ำเสียงมีไมตรี
“ขอบพระทัยฝ่าบาท”
หลินเป่ยเฉินประสานมือคำนับด้วยความอ่อนน้อมอีกครั้ง
หลังจากนั้น กลุ่มผู้เข้าแข่งขันก็เดินตามกันไปยังห้องสอบ
หลินเป่ยเฉินและเพื่อนร่วมสถาบันไม่ได้เข้าสู่ห้องสอบเดียวกัน
หลังจากนั่งรออยู่ชั่วชงน้ำชาหนึ่งถ้วย การสอบก็เริ่มต้นขึ้น
นี่คือการสอบวิชาประวัติศาสตร์ร่วมสมัย
หลินเป่ยเฉินเตรียมตัวมานานแล้ว ก่อนหน้านี้เขาเที่ยวสแกนตำราประวัติศาสตร์ทุกเล่มที่มีอยู่ในหอสมุดประจำสถานศึกษากระบี่ที่สามลงในโทรศัพท์มือถือ และสร้างเป็นแอปที่บรรจุข้อมูลทางประวัติศาสตร์เอาไว้มากมาย
ระหว่างนั่งอยู่ที่โต๊ะทำข้อสอบ หลินเป่ยเฉินพบว่ามีม่านพลังปรากฏขึ้นมาห้อมล้อมรอบกายทุกคน แบ่งแยกพวกเขาทำให้ไม่สามารถลอกข้อสอบกันได้
แล้วเนื้อหาคำถามก็ปรากฏขึ้นบนกระดาษข้อสอบ
หลินเป่ยเฉินนำโทรศัพท์มือถือออกมาใช้งานโดยไม่ลังเล เมื่อเขาเปิดเข้าไปในแอปข้อมูลประวัติศาสตร์ คำตอบของข้อสอบก็อยู่ในนั้นทั้งหมดแล้ว
ผ่านไปชั่ว 1 ก้านธูป
หลินเป่ยเฉินกรอกคำตอบเสร็จสิ้น
เขากดส่งกระดาษข้อสอบ
ทุกคนที่อยู่ในห้องสอบตกตะลึงไม่ใช่น้อย
ชาวเมืองที่รับชมการถ่ายทอดสดอยู่ก็ตกตะลึงไม่แพ้กัน
พวกเขาไม่เคยเห็นใครส่งกระดาษข้อสอบเร็วขนาดนี้มาก่อน