บทที่ 206 เป็นเจ้าจริงๆ ด้วย
“ในการแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมือง ข้อสอบแต่ละวิชาจะมีความยากง่ายแตกต่างกันไป และผู้ที่สามารถทำคะแนนเป็นอันดับหนึ่ง ก็จะได้รับเงินรางวัลพิเศษไปครอบครอง”
หลินเป่ยเฉินเดินยิ้มแฉ่งออกมาจากห้องสอบ
การทำข้อสอบวิชาประวัติศาสตร์ร่วมสมัยของเขา จะต้องได้คะแนนเต็มอย่างแน่นอน
ในกติกาบอกไว้ว่า ผู้ที่ทำคะแนนเป็นอันดับหนึ่งจะได้รับเงินรางวัล 10 เหรียญทองคำ
หลินเป่ยเฉินนึกถึงเงินรางวัลก็มีความสุขจนหุบยิ้มไม่ลง
ขณะนี้เขากำลังมีวิกฤตด้านการเงิน ไม่คิดเลยว่าโอกาศหาเงินจะมาถึงรวดเร็วเพียงนี้
“คุณชายหลินยิ้มแย้มมีความสุขอะไรหรือเจ้าคะ?” เสียงทักทายที่คุ้นหูดังขึ้น
เมื่อเด็กหนุ่มหันกลับไปมอง เขาก็ต้องชะงักด้วยความประหลาดใจ
ผู้ที่เข้ามาทักทายคือเยว่เว่ยหยาง
เยว่เว่ยหยางไม่ได้สวมใส่ชุดนักพรตอีกต่อไปแล้ว ขณะนี้นางสวมใส่ชุดเกราะแนบเนื้อ อวดเน้นส่วนเว้าส่วนโค้งที่เขาไม่เคยให้ความสนใจมาก่อน
นางสวมใส่รองเท้าบูทสีแดงปกป้องน่องขาขาวเนียน เอวบางคอดกิ่วคาดไว้ด้วยกระโปรงที่เป็นกึ่งชุดเกราะ แต่ไม่มีอะไรโดดเด่นสะดุดตามากไปกว่าหน้าอกหน้าใจล้นทะลักคู่นั้น เด็กสาวปล่อยผมยาวสลวยลงมาระดับเอว ใบหน้าจิ้มลิ้มงดงาม ริมฝีปากอวบอิ่ม…
สาบานนะว่านี่คือนักบวช?
หลินเป่ยเฉินแอบกลืนน้ำลายไม่รู้ตัว
“นักบวชเยว่ทำข้อสอบเสร็จเร็วเหมือนกันสินะ?” หลินเป่ยเฉินสอบถามเพื่อพยายามเปลี่ยนเรื่อง
เยว่เว่ยหยางยิ้มแย้มอ่อนหวาน แสดงความสนิทสนม ก่อนตอบว่า “ถูกต้องแล้วเจ้าค่ะ ข้อสอบง่ายมากเกินไป ทำเสร็จข้าก็ออกมาเลย แต่ไม่ทราบว่าครั้งนี้ คุณชายหลินจะโชคดีได้คะแนนเต็มอีกหรือไม่เจ้าคะ?”
หลินเป่ยเฉินพยายามถ่อมตัวเต็มที่ “ข้าคงสู้เจ้าไม่ได้หรอก”
“เจ้าจะไปสู้อะไร กับใคร ที่ไหน เมื่อไหร่ ยังไง มิทราบ?”
พลัน เสียงของเด็กสาวอีกคนหนึ่งดังขึ้นด้านหลังด้วยความเย็นชา หลินเป่ยเฉินสะดุ้งโหยงเหมือนถูกเข็มฉีดยาปักเข้าที่ขั้วหัวใจ
“เอ่อ…”
หลินเป่ยเฉินหันกลับไปมองแล้วก็ต้องยืนตัวแข็งทื่อ
หลิงเฉินมาแล้ว
ดูเหมือนนางจะกลับมาอยู่ในตัวตนเจ้าหญิงจอมเย็นชาอีกครั้ง
นี่หรือเปล่านะที่เรียกว่าอุบัติการณ์รถไฟชนกัน?
บ้าน่า เขาไม่ได้เป็นอะไรกับพวกนางสักหน่อย
หลังจากคิดดังนั้น หลินเป่ยเฉินก็ทำเสียงแข็งทันที “ไม่มีอะไรหรอก ข้าเพียงพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์การสอบกับนักบวชเยว่เท่านั้นเอง…”
“เลิกเรียกข้าว่านักบวชเยว่ได้แล้ว เรียกว่าเว่ยหยางเฉยๆ ก็พอเจ้าค่ะ”
เยว่เว่ยหยางขัดขึ้นพร้อมกับคลี่ยิ้มหวาน
หลินเป่ยเฉินรู้สึกหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้
“เอ่อ…”
พลัน หลิงเฉินเดินเข้ามาคล้องแขนหลินเป่ยเฉินอย่างแสดงความเป็นเจ้าของและกล่าวว่า “ดูเหมือนนักบวชเยว่จะทำข้อสอบได้ไม่มีปัญหาสินะ ถึงได้ส่งข้อสอบเร็วขนาดนี้”
สายตาของเยว่เว่ยหยางจ้องมองมือที่เกี่ยวแขนหลินเป่ยเฉินตาไม่กระพริบ จากนั้นนางจึงหัวเราะในลำคอ กล่าวตอบว่า “ข้อสอบมันง่ายเกินไปน่ะสิเจ้าคะ ทำข้อสอบแบบนี้เสียเวลาเปล่าๆ ไม่ทราบเลยว่าคุณหนูหลิงเฉินมีความคิดเห็นเช่นไร?”
หลิงเฉินตอบรับกลับไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ถูกแล้ว ข้อสอบพวกนี้น่าเบื่อมาก ข้ามั่นใจว่าถึงจะไม่ตั้งใจทำสักเท่าไหร่ แต่ข้าก็ต้องได้ 100 คะแนนเต็มแน่นอน”
หลินเป่ยเฉินมองหน้าเยว่เว่ยหยางสลับกับหลิงเฉิน
ทำไมบรรยากาศถึงได้น่าอึดอัดขนาดนี้เนี่ย?
นี่สาวสวยทั้งสองคนทะเลาะกันเพื่อแย่งชิงเขาอย่างนั้นหรือ?
เด็กหนุ่มเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว
แต่แล้วรอยยิ้มของเขาก็หายวับไปอย่างรวดเร็ว เมื่อเด็กหนุ่มนึกได้ถึงเรื่องราวที่สำคัญมากกว่านั้น
เขารีบชักแขนกลับมาจากมือของหลิงเฉิน พูดว่า “เดี๋ยวก่อนนะ คนที่ทำคะแนนได้เป็นอันดับหนึ่งจะได้รับเงินรางวัล 10 เหรียญทองคำ พวกเจ้ามั่นใจว่าตัวเองก็จะได้คะแนนเต็มเหมือนกันใช่ไหม? ถ้ามีคนทำคะแนนเต็มได้สามคน เงินรางวัลก็ต้องหารสามน่ะสิ…ทำไมสวรรค์ถึงได้กลั่นแกล้งข้าขนาดนี้”
เมื่อหลิงเฉินกับเยว่เว่ยหยางได้ยินดังนั้น พวกนางก็งงงันมากแล้ว
พวกนางนึกว่าหลินเป่ยเฉินจะมีปัญหาทุกข์ใจเรื่องอันใด
ที่แท้กลับเป็นเรื่องเงินรางวัลไปเสียได้
เขาคิดอะไรของเขาอยู่นะ?
เมื่อเห็นเด็กสาวทั้งสองคนเงียบไม่ตอบคำ หลินเป่ยเฉินก็ยิ่งมีความร้อนใจมากขึ้นกว่าเดิม “บอกเอาไว้เลยนะ ถ้าต้องหารสามกันจริงๆ พวกเจ้ารวยแล้วเอาไปคนละ 3 เหรียญทองคำก็พอ ส่วนข้ามันคนจน ข้าขอ 4 เหรียญแล้วกัน!”
ว่าไงนะ?
เด็กสาวทั้งสองนางเบิกตาโตด้วยความไม่อยากเชื่อ
กำลังอยู่ต่อหน้าสาวงามแท้ๆ แต่หลินเป่ยเฉินกลับประกาศตัวว่าตนเองร้อนเงิน…นี่หรือคือคนเสเพลอันดับหนึ่งประจำเมืองหยุนเมิ่ง? ทำไมเขาถึงได้ไม่เข้าใจจิตใจของสตรีเลยแม้แต่น้อย? หรือว่าอาการทางสมองของเขาจะกำเริบอีกแล้ว?
หลิงเฉินกับเยว่เว่ยหยางต่างก็พูดอะไรไม่ออก
ถ้าไม่ติดที่ว่าใบหน้าของเขาหล่อเหลามากเกินไป และแววตาของเขาก็ดูไร้เดียงสามากเกินไป พวกนางคงได้ตบเขาไปหลายฉาดแล้ว
“เอาตามที่คุณชายหลินสบายใจเถิดเจ้าค่ะ”
เยว่เว่ยหยางตั้งสติได้ก่อนเป็นคนแรก จึงคลี่ยิ้มอ่อนหวานหยาดเยิ้ม
หลิงเฉินหันไปมองกลุ่มเด็กหนุ่มเด็กสาวที่เริ่มทยอยออกมาจากห้องสอบมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วนางก็จับมือของหลินเป่ยเฉินหน้าตาเฉย ก่อนกล่าวว่า “ที่นี่มีคนเยอะมากเกินไป พวกเราไปพูดคุยกันที่อื่นดีกว่า…”
หลินเป่ยเฉินชะงักถอยหลังและพยายามแกะมือหลิงเฉินออกโดยไม่ให้เสียมารยาท “เดี๋ยวก่อนสิ ข้าว่าตอนที่อยู่ในจวนผู้ว่าคืนนั้น ข้าก็พูดชัดเจนไปแล้วนะ พวกเราสองคนน่ะ…”
หลิงเฉินพูดสวนกลับมาเสียงแข็งกระด้าง “นั่นมันเป็นสิ่งที่เจ้าพูดแต่เพียงฝ่ายเดียว และข้าจะต้องเปลี่ยนความคิดของเจ้าให้ได้”
หลินเป่ยเฉินถอนหายใจด้วยความเหนื่อยล้า “แต่ว่า…”
เขาล่ะอยากจะไปตามตัวหลิงฉือให้มาลากตัวน้องสาวสุดที่รักกลับไปจริงๆ…
บอกแล้วไงว่าเขาไม่อยากยุ่งกับนางสักหน่อย แล้วทำไมพวกท่านถึงปล่อยให้นางมายุ่งกับเขาอยู่ได้?
แต่ในขณะที่หลินเป่ยเฉินกำลังจะยกมือทึ้งผมตัวเองด้วยความปวดหัวอยู่นั้น ใครคนหนึ่งก็เดินเข้ามาทักทายว่า “เหอเหอ นับว่าโชคชะตานำพามิตรสหายมาเจอกันอย่างแท้จริง หลินเป่ยเฉิน พวกเราได้เจอกันอีกแล้ว”
และบุคคลผู้นั้นก็คือเฉาพั่วเถียน…
หลังจากชะงักไปเล็กน้อย หลินเป่ยเฉินก็ใบหน้ากระตุกด้วยความโกรธแค้น “ชะ…เฉาพั่วเถียน? คนทรยศอย่างเจ้ามาทำอะไรที่นี่?”
วาจาของเขาร้ายกาจไม่เบา
รอยยิ้มอันจอมปลอมปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเฉาพั่วเถียน ไม่มีอะไรที่เขาจะต้องปิดบังอีกต่อไป “ข้ามาที่นี่เพื่อเข้าร่วมการแข่งขันน่ะสิ เจ้าไม่รู้ข่าวหรือไง?”
“เจ้าเนี่ยนะ? เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาเข้าร่วมการแข่งขันกับพวกเรา?” หลินเป่ยเฉินเข้าใจว่าตนเองอาจจะหูฝาด จึงกล่าวต่อ “เจ้าไม่ได้ศึกษาอยู่ในสถาบันของเมืองนี้ และเจ้าก็ไม่ใช่คนของสำนักยุทธ์อิสระ เพราะฉะนั้น เจ้าไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมการแข่งขัน”
“หุหุ ใครบอกเจ้าว่าคุณชายเฉาไม่มีสิทธิ์”
จังหวะนั้น ชายชราร่างอ้วนเคลื่อนกายด้วยการกระโดดดึ๋งๆ เข้ามาหาพวกเขาพร้อมกับกล่าวว่า “คุณชายเฉาลงทะเบียนเป็นลูกศิษย์ของสถานศึกษากระบี่ที่หกเมื่อ 10 วันที่แล้ว และเมื่อสถาบันของเรายื่นเรื่องต่อกระทรวงศึกษาเป็นกรณีพิเศษ คุณชายเฉาจึงมีสิทธิเข้าร่วมการแข่งขันอย่างถูกต้องทุกประการ หลินเป่ยเฉิน เจ้าคงคิดไม่ถึงเลยล่ะสิ?”
ชายชราร่างอ้วนผิดมนุษย์มนาคนนี้ก็คือชิวเทียน หัวหน้าคณะอาจารย์จากสถานศึกษากระบี่ที่หก
เขาคือศัตรูตัวฉกาจของติงซานฉือ
เฉาพั่วเถียนเข้าเรียนที่สถานศึกษากระบี่ที่หกอย่างนั้นหรือ?
และยังสอบผ่านคุณสมบัติทั้งหมดจนสามารถเข้าร่วมการแข่งขันครั้งนี้ได้อีกด้วย?
“หรือว่าเจ้ามาเพื่อแก้แค้นข้า?”
นี่คือความเป็นไปได้เดียวเท่านั้นและหลินเป่ยเฉินก็พูดออกไปโดยไม่ลังเล
เฉาพั่วเถียนยิ้มมุมปาก ตอบรับด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ถูกต้องแล้ว ข้าจะแก้แค้นเจ้าให้สาสมกับที่เจ้าเคยทำเอาไว้สิบเท่า ข้าจะทำให้เจ้าได้เข้าใจว่าตัวเจ้าเองแค่โชคดีเท่านั้น ถึงเป็นผู้ชนะในคืนประลองกระบี่ คอยดูให้ดีเถอะ ข้าจะย่ำยีศักดิ์ศรีของเจ้า และข้าจะเหยียบย่ำเจ้าชนิดที่เจ้าไม่มีวันโงหัวกลับขึ้นมาได้อีก”
กล่าวมาถึงตอนนี้ เด็กหนุ่มผมทองก็ขยับเข้ามากระซิบที่ข้างหูหลินเป่ยเฉินว่า “น่าเสียดายนัก ตอนที่อยู่ในหุบเขาชายแดนเหนือ ถ้าไม่ได้เป็นเพราะว่าตาแก่ฉู่เหินมันมาขวางทางข้าไว้ ป่านนี้ข้าคงฆ่าเจ้าสำเร็จไปแล้ว”
หลินเป่ยเฉินหัวใจกระตุกวูบ ดวงตาเป็นประกายวาวโรจน์
“เป็นเจ้าจริงๆ ด้วย”
เขาจ้องมองเฉาพั่วเถียนด้วยความโกรธแค้นสุดขั้วหัวใจ ไม่ต่างจากสายตาที่ใช้จ้องมองสัตว์ร้ายซึ่งผุดขึ้นมาจากนรก