บทที่ 207 เจ้าจะมีปัญญาทำอะไรข้าได้
เฉาพั่วเถียนยิ้มอย่างมีความสุข
หลินเป่ยเฉินสงสัยเด็กหนุ่มผมทองมานานแล้ว และวันนี้ความสงสัยของเขาก็ได้รับคำตอบเสียที
“เป็นข้าเอง แล้วเจ้าจะทำไม?”
แววตาของเฉาพั่วเถียนเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม เช่นเดียวกับน้ำเสียงที่กระตุ้นโทสะหลินเป่ยเฉินเต็มที่ “ถ้าไม่ติดกฎว่าห้ามสังหารเจ้า การฆ่าเจ้านั้นง่ายดายยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือเสียอีก เจ้าคิดหรือว่าติงเล่ยจะสามารถปกป้องเจ้าได้ หึหึ จงตาสว่างเสียที แม้แต่ชีวิตของเขาเอง ติงเล่ยก็ยังไม่สามารถปกป้องได้ด้วยซ้ำ”
หลินเป่ยเฉินเลิกคิ้วสูงด้วยความประหลาดใจ “เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
แต่เฉาพั่วเถียนกลับไม่พูดอะไรออกมาอีก
หลินเป่ยเฉินถลันเข้าไปกระชากคอเสื้อเฉาพั่วเถียน
“นี่ หลินเป่ยเฉิน เจ้าคิดจะทำอะไร?”
ชิวเทียนรีบตะโกนเสียงดังทันที “ในระหว่างการแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมือง ห้ามไม่ให้ผู้เข้าร่วมการแข่งขันทำร้ายกันเด็ดขาด เจ้ากำลังละเมิดกฎอยู่ รู้ตัวหรือไม่?”
เฉาพั่วเถียนหรี่ตามองหน้าหลินเป่ยเฉินด้วยแววตาเย้ยหยัน เขายิ้มมุมปาก ปล่อยให้อีกฝ่ายขยุ้มคอเสื้อได้ตามใจชอบ ซ้ำยังทำสีหน้าท้าทายเหมือนกำลังดูถูก ว่าหลินเป่ยเฉินไม่มีทางกล้าต่อยเขาเด็ดขาด
“พี่เฉิน พวกเราไปกันเถอะ”
เยว่เว่ยหยางส่งเสียงเตือนเรียกสติ
หลินเป่ยเฉินจึงข่มความโกรธแค้นและปล่อยมือออกจากคอเสื้อของเฉาพั่วเถียน
“ฝากเอาไว้ก่อนเถอะ สำหรับทุกชีวิตที่ต้องตายไปในหุบเขาชายแดนเหนือ ข้าจะต้องแก้แค้นให้พวกเขาแน่นอน” หลินเป่ยเฉินมองหน้าเด็กหนุ่มผมทองตลอดเวลาที่พูดถ้อยคำเหล่านี้ออกมา
เฉาพั่วเถียนยังคงยิ้มมุมปากอย่างท้าทาย
หลังจากนั้น หลินเป่ยเฉินก็หันมาแสยะยิ้มใส่หน้าชิวเทียน “ข้าไม่คิดเลยนะว่าสถานศึกษากระบี่ที่หก ซึ่งมีสถานะเป็นสำนักศึกษาของราชการ จะยินดียอมรับคนชั่วผู้ทรยศอาจารย์ของตนเองเข้าเป็นลูกศิษย์ได้อย่างนี้ โปรดจำเอาไว้ให้ดีว่าการกระทำของพวกท่าน จะต้องมีผลลัพธ์ตามมาแน่นอน”
ชิวเทียนหัวเราะฮ่าฮ่า “หลินเป่ยเฉิน เจ้าเป็นเพียงเด็กน้อยกลับพูดจาวางท่าใหญ่โต เจ้าคิดว่าตนเองเป็นใคร? อย่าลืมสิว่าบิดาของเจ้าทำความผิดอะไรเอาไว้ เจ้าเป็นเพียงลูกคนบาปคนหนึ่งเท่านั้น ยังไม่รู้ตัวอีกหรือ?”
หลินเป่ยเฉินสูดหายใจลึกเพื่อทำให้ตนเองใจเย็นลงและกล่าวว่า “เชื่อข้าเถอะ อีกไม่นานเดี๋ยวท่านก็ได้รู้ว่าข้าเป็นใคร”
ชิวเทียนดวงตาเป็นประกายวาวโรจน์ ชั้นไขมันของเขาสั่นกระเพื่อมในขณะที่ระเบิดเสียงหัวเราะ ก่อนตอบกลับมาว่า “คิดหรือว่าข้าไม่รู้ว่าเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่ หึหึ จงตาสว่างได้แล้ว ต่อให้ไม่มีคุณชายเฉา เจ้าก็ไม่มีทางเป็นผู้ชนะการแข่งขันครั้งนี้หรอก เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นยอดอัจฉริยะมาจากไหน? ข้าจะบอกความจริงให้นะ คนอย่างเจ้า ยังห่างไกลจากคำว่ายอดอัจฉริยะอีกเยอะ”
หลินเป่ยเฉินหัวเราะในลำคอ “คอยดูก็แล้วกัน แล้วข้าจะทำให้ท่านรู้ว่าสถานศึกษากระบี่ที่หกทำผิดพลาดมหันต์”
พูดจบแล้ว หลินเป่ยเฉินก็หมุนตัวเดินจากมา
ชิวเทียนกับเฉาพั่วเถียนระเบิดเสียงหัวเราะเหยียดหยามไล่หลัง
หลินเป่ยเฉินกําหมัดแน่น
ใบหน้าของบรรดานักล่าอสูรหญิงจากสำนักล่าอสูรกุหลาบไฟผุดพราวขึ้นมาในจิตใจของเด็กหนุ่ม
พวกนางเป็นเพียงหญิงสาวที่อ่อนแอ ผู้อยากจะมีชีวิตรอดในโลกที่โหดร้ายใบนี้ และพวกนางก็ไม่เคยคิดร้ายกับผู้ใด ซ้ำยังไม่เคยหาเรื่องใครก่อน
สมาชิกของสำนักล่าอสูรกุหลาบไฟน่ารักและควรค่าต่อการเคารพ
แต่เพราะความเห็นแก่ตัวของเฉาพั่วเถียน ชีวิตของพวกนางจึงต้องจบสิ้นลง บางคนตายอย่างน่าอนาถไร้หลุมศพฝังในหุบเขาชายแดนเหนือ บางคนถูกนำตัวไปขายทอดตลาด กลายเป็นทาสรับใช้สนองราคะผู้มีอำนาจเงินทอง
เฉาพั่วเถียนทำให้ฉู่เหินต้องเสียแขนไปทั้งสองข้าง
เฉาพั่วเถียนทำให้ใบหน้าของเยว่หงเซียงต้องเสียโฉม
ทั้งหมดเป็นเพราะเฉาพั่วเถียนคนเดียว!
หลินเป่ยเฉินพยายามควบคุมระดับลมหายใจ
ตั้งแต่ที่เข้ามาอยู่ในโลกจอมยุทธ์แห่งนี้ หลินเป่ยเฉินไม่เคยรู้สึกอยากจะฆ่าใครมากเท่านี้มาก่อน
แต่แล้วมือของใครบางคนก็ขยับมากุมมือเขาเอาไว้
ใบหน้าที่งดงามและดวงตาที่สดใสของหลิงเฉินกำลังจ้องมองมาที่เขาด้วยความวิตกกังวล
เยว่เว่ยหยางก็รู้สึกได้ถึงเพลิงโทสะของหลินเป่ยเฉินเช่นกัน แต่นางเพิ่งรู้จักกับเด็กหนุ่มได้ไม่นาน และนางก็เป็นตัวแทนของวิหารเทพกระบี่ ไม่สะดวกที่จะทำอะไรเกินหน้าเกินตาอย่างเช่นที่หลิงเฉินสามารถกระทำได้ ดังนั้น เยว่เว่ยหยางจึงทำได้เพียงพูดออกมาว่า “คุณชายหลินสบายใจเถอะ คนชั่วช้าเช่นนี้ สักวันหนึ่งกรรมจะต้องตามสนองแน่นอน”
หลินเป่ยเฉินพยักหน้า บีบมือหลิงเฉินเล็กน้อยพอให้นางรู้ว่าเขาไม่เป็นอะไรแล้ว จากนั้นเขาก็ปล่อยมือ
บัดนี้ กลุ่มเด็กหนุ่มเด็กสาวทยอยออกมาจากห้องสอบกันเกือบหมดแล้ว
ผู้เข้าร่วมการแข่งขันทั้ง 72 คนต่างก็เป็นมือกระบี่ดาวรุ่งที่กระทรวงศึกษาคัดเลือกมาเป็นอย่างดี เพราะฉะนั้น เวลาในการใช้ทำข้อสอบของพวกเขาจึงรวดเร็วมาก
ผู้เข้าร่วมการแข่งขันจำนวนสองในสามของทั้งหมด ต่างก็ส่งกระดาษข้อสอบเสร็จเรียบร้อย
ทุกคนต่างก็มีสีหน้าภูมิใจในตัวเอง
เฉกเช่นเด็กหนุ่มผู้มีท่าทางโอหังคนหนึ่ง เขาเดินเข้ามาหาพร้อมด้วยสีหน้าท่าทางไม่เป็นมิตร
“เจ้าใช่ไหมหลินเป่ยเฉิน?” เด็กหนุ่มคิ้วโก่งหน้าขาวกล่าวต่อโดยทันที “ข้ามีนามว่าเจินเค่อจิน เป็นลูกศิษย์ชั้นปีที่ 3 ของสถานศึกษากระบี่ที่สอง ข้าอยากจะมาบอกเจ้าว่า…”
“ไสหัวไปซะ”
หลินเป่ยเฉินคำรามออกไปโดยไม่รู้ตัว
เด็กหนุ่มนามว่าเจินเค่อจินผงะถอยหลังไปหลายก้าว ใบหน้าซีดขาวด้วยความตกใจ “เจ้า…”
หลินเป่ยเฉินหันขวับไปมองด้วยดวงตาคมวาวราวกับคมกระบี่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “บัดนี้ข้ากำลังอารมณ์ไม่ดี อย่ามาก่อกวน”
เฉาพั่วเถียนที่ยืนดูอยู่ใกล้ๆ ยิ่งฉีกยิ้มออกมาด้วยความพอใจมากขึ้น
แล้วกาลเวลาก็เคลื่อนผ่านไป
การสอบวัดความรู้วิชาแรกกำลังจะผ่านพ้นไป ฮันปู้ฟู่กับไป๋ชินหยุนทำข้อสอบเสร็จเรียบร้อย ก็เดินออกมาสมทบกับหลินเป่ยเฉินและยืนพูดคุยกันเรื่องเนื้อหาในข้อสอบอย่างสนุกสนาน
แต่เยว่หงเซียงยังคงไม่ออกมา
แต่ในที่สุด เสียงกระดิ่งแจ้งเตือนหมดเวลาก็ดังขึ้น
เยว่หงเซียงเดินออกมาจากห้องสอบเป็นคนสุดท้าย
ก่อนหน้านี้ เด็กหนุ่มที่ส่งกระดาษคำตอบเป็นระดับรองสุดท้าย ก็เดินออกมาจากห้องสอบก่อนหน้านางเกือบ 1 ก้านธูป
ด้วยเหตุนี้ เมื่อเยว่หงเซียงเดินออกมา ทุกสายตาจึงจับจ้องไปที่นางเป็นจุดเดียว
เด็กหนุ่มหลายคนเห็นทรวดทรงองค์เอวของเยว่หงเซียงก็ให้เกิดอาการตาลุกวาวในทันใด ถึงจะไม่เห็นใบหน้าที่ซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากากครึ่งซีก แต่มันก็ทำให้หัวใจของพวกเขาเต้นไม่เป็นจังหวะแล้ว
แน่นอนว่าเมื่อมีคนชอบ ก็ต้องมีคนชัง
“เป็นนางเองหรือที่ออกมาเป็นคนสุดท้าย?”
“หึหึ คิดว่าที่นี่เป็นงานราตรีหรืออย่างไร จึงต้องใส่หน้ากากของอาจารย์ฟ่านเข้าห้องสอบด้วยอย่างนี้?”
“คงเอาเวลาไปห่วงสวยหมดนั่นแหละ ถึงได้ไม่มีปัญญาทำข้อสอบ”
เกิดเสียงกระซิบกระซาบดังขึ้นรอบบริเวณ
เยว่หงเซียงได้ยินอย่างชัดเจน แต่สีหน้าของนางก็ยังเยือกเย็นไม่เปลี่ยนแปลง ก่อนที่นางเดินจะเข้ามาหยุดยืนอยู่ข้างกายหลินเป่ยเฉินและทักทายพวกเขาด้วยรอยยิ้ม
“เจ้าทำข้อสอบเป็นอย่างไรบ้าง?”
ฮันปู้ฟู่คือคนแรกที่ถามออกมาด้วยความเป็นห่วง
เยว่หงเซียงตอบว่า “ข้าพยายามเต็มที่แล้วเจ้าค่ะ แต่มีคำถามอยู่หลายข้อที่ข้าไม่แน่ใจคำตอบ ข้าจึงต้องเสียเวลาคิดทบทวนอยู่นานกว่าจะได้คำตอบที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุด แต่สุดท้ายข้าก็ทำได้สำเร็จ!”
“ดีแล้วล่ะ” ฮันปู้ฟู่ยิ้มกว้าง “ข้าก็เหมือนกัน คำถามช่วงท้ายข้าตอบไม่ได้ แต่ก็ส่งกระดาษข้อสอบไปทั้งอย่างนั้น ถ้าข้าใจเย็นและมีความอดทนอย่างศิษย์น้องเยว่สักนิดก็คงดี”
เยว่หงเซียงยิ้มออกมาเล็กน้อย…
ทันใดนั้น มีเสียงหัวเราะขบขันดังขึ้นจากข้างตัว
เด็กสาวนางหนึ่งกล่าวว่า “ที่แท้ก็เป็นเจ้านี่เองที่ทำให้ทุกคนต้องเสียเวลากันไปหมด ถ้ารู้ตัวว่าตนเองไม่มีความสามารถ เจ้าก็ควรถอนตัวไปเสีย ถ้าเป็นข้าทำให้ผู้อื่นเสียเวลาขนาดนี้นะ ข้าคงอับอายจนขาดใจตายไปแล้ว ฮ่าฮ่า”
เยว่หงเซียงไม่พูดคำใด นางหันหน้าไปทางอื่น และทอดสายตามองไปยังทิวเขาที่อยู่ไกลลิบ
ฮันปู้ฟู่เบิกตาโตด้วยความเดือดดาล
ไป๋ชินหยุนถลึงตาจ้องมองคนพูดด้วยดวงตาร้อนผ่าว “เจ้าเป็นใคร? บอกชื่อของเจ้ามาเดี๋ยวนี้”
เด็กสาวนางนั้นมีร่างกายผอมบางและมีผมสีเกาลัด ริมฝีปากบางเฉียบของนางบิดตัวเป็นรอยยิ้มอวดดี ก่อนจะหัวเราะในลำคอ ตอบว่า “ทำไมเล่า? มีกฎห้ามพูดคุยกันด้วยหรือไร? ข้ามีนามว่าเจิ้งซูไค เป็นศิษย์ประจำชั้นปีที่ 3 จากสถานศึกษากระบี่ที่หก เจ้าจะมีปัญญาทำอะไรข้าได้?”