ทงพั่นโน้มตัวแล้วเลิกคิ้ว นายใหญ่เฉิงเอ่ยปากพูดก่อน

“เรียนใต้เท้า” เขายกมือขึ้นแล้วโค้งคำนับเล็กน้อย เอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ข้านามว่าเฉิงหนาน ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ปกครองตระกูลเฉิง ในปีซิงผิงที่แปดจากบรรพบุรุษอินหรง”

ทงพั่นมองผู้ช่วยเจ้าเมืองหลี่ ก่อนจะผายมือเชิญ

“ให้นายใหญ่เฉิงนั่ง” เขาพูด

นี่เป็นกฎเช่นกัน ผู้ช่วยเจ้าเมืองหลี่ไม่พูดอะไรอีก ทั้งยังไม่ได้สนใจดวงตาแห่งความเกลียดชังที่ไม่อาจปกปิดของนายใหญ่เฉิงและทงพั่น

นายใหญ่เฉิงนั่งบนเก้าอี้สี่ขาที่ศาลาว่าการส่งมาให้ในศาล

สาวใช้ของนายรองที่คุกเข่าอยู่บนพื้น ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมอง ตัวสั่นงันงก

เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่การก่อตั้งตระกูลเฉิง ที่มีคดีพิพาทระหว่างพี่น้อง

นายใหญ่เฉิงไม่ได้มองสาวใช้หรือใครก็ตามในศาล

“เจียวเหนียงของตระกูลข้าคนนี้ เกรงว่าทุกคนในที่นี้คงรู้จักดี” เขาพูด “เกิดมาสติไม่สมประกอบ ดูแลตัวเองไม่ได้ ไม่ทราบว่าเด็กประเภทนี้จะออกเรือนได้ไหม”

ไม่ แน่นอน เพราะไม่มีใครอยากจะขอแต่งงาน

“นายใหญ่เฉิง ตอนนี้แม่หญิงน้อยเฉิงหายดีแล้ว” เฉากุ้ยเอ่ย

“หายดีแล้วหรือ วันนี้เราจะไม่ถามว่าคนสติไม่สมประกอบจะหายดีได้หรือไม่ วันนี้ข้าจะถามว่าใครจะแต่งงานกับคนที่ครั้งหนึ่งเคยสติไม่สมประกอบกัน” นายใหญ่เฉิงพูดพลางมองดูผู้คนในศาล “ถามหัวใจพวกเจ้าแล้วคิดดู”

แน่นอนว่าไม่ คงจะถูกผู้อื่นหัวเราะจนตาย หรือบางทีในอนาคตอาจได้ลูกสติไม่สมประกอบเช่นกัน เช่นนั้นจะทำอย่างไร

“นายใหญ่ ท่านถามเช่นนี้แน่นอนก็ต้อง…” เฉากุ้ย เอ่ย

“ในศาลถ้าไม่ได้ถามห้ามตอบ!” ทงพั่นเคาะไม้จิงถังพลางตะโกน หลังจากนั้นก็มองผู้ช่วยเจ้าเมืองหลี่แล้วยิ้ม “จะยกเลิกกฎได้หรือ”

ผู้ช่วยเจ้าเมืองหลี่ยิ้ม ไม่พูดอะไร แต่รอยยิ้มนั้นดูฝืนใจเมื่อปรากฏอยู่ในสายตาของทงพั่น

สมน้ำหน้า!

ทงพั่นส่งเสียงเฮอะในใจ ก่อนจะมองนายใหญ่เฉิง

“นายใหญ่เฉิงพูดต่อเถอะ คิดเห็นต่อสินเดิมอย่างไรกันแน่” เขาถาม

นายใหญ่เฉิงไม่พูดต่อ แต่ดึงหนังสือแผ่นหนึ่งออกจากแขนเสื้อ

“ใต้เท้าโปรดตรวจสอบ” เขาพูด

นี่คืออะไรหรือ ขุนนางผู้น้อยรีบมารับและยื่นให้ทงพั่น

ทงพั่นเปิดออก สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมาก ราวกับตื่นเต้นและประหลาดใจ

“นี่คือรายชื่อสินเดิมของแม่เฉิงเจียวเหนียง” นายใหญ่เฉิงเอ่ยต่อ “ท่านใต้เท้าโปรดส่งต่อกันไป”

เขาพูดต่อแล้วยกมือให้คนอื่นๆ

“ทุกคนโปรดมาดู”

ทุกคนโปรดมาดูหรือ ผู้คนในศาลอดมองหน้ากันไม่ได้ แต่ทุกคนต่างก็สงสัย พวกเขาได้ยินมาว่าตระกูลเฉิงร่ำรวยมาก และยามที่แม่นางตระกูลโจวแต่งเข้ามาก็มีสินเดิมมากมาย อย่างไรก็ตามผู้คนไม่สามารถเห็นรายละเอียดสินเดิมที่แน่นอนได้ ในชั่วพริบตาผู้คนไม่อาจหยุดยั้งใจยืดคอไปมอง

ทงพั่นยังคงถือไว้ในมือ ราวกับเมื่อเห็นแล้วละสายตาไม่ได้ ผู้ช่วยเจ้าเมืองหลี่เอื้อมมือไปยื้อแย่งมา ทว่าเขาไม่ได้ดูอย่างจริงจังเท่าทงพั่น แต่แค่กวาดสายตาแล้วยื่นให้ขุนนางผู้น้อยข้างๆ เขา

เจ้าลูกช่างไม้ไม่เสียกิริยาเลยหรือนี่ ทงพั่นเม้มปากในใจ เสแสร้งได้เก่งจริงๆ!

แต่คนอื่นเสแสร้งไม่เก่งเหมือนผู้ช่วยเจ้าเมือง เมื่อหนังสือส่งต่อออกไป เดิมทีศาลอันเงียบสงบก็มีเสียงดังเอะอะโวยวายขึ้นมา มีเสียงตกใจเบาๆ และผู้คนถกเถียง ไม่ว่าจะตกใจหรือไม่ สีหน้าของพวกเขาต่างมีจุดร่วมกัน นั่นก็คือดวงตาเป็นประกาย

เมื่อได้เห็นกองเงินกองทอง ความอิจฉาริษยาและความโลภที่มาจากสัญชาตญาณเผยออกมา

ทั้งหมดนี้อยู่ในสายตาของนายใหญ่เฉิงผู้มีสีหน้าไร้ความรู้สึก

เจ้าเมืองซ่งที่ยืนอยู่ข้างประตูในศาลด้านหลัง ชะงักฝีเท้าและฟังการอภิปรายภายนอก

“…เงินเยอะเหลือเกิน…รวยจริงๆ…”

“…นี่คือเมื่อสองสามปีที่แล้วนะ..ตอนนี้ที่นาและร้านค้าเหล่านั้นมีมูลค่าขึ้นมากแล้ว…”

“…หนึ่งปีก็อย่างน้อยห้าหมื่นก้วนกระมัง…”

หนึ่งปี! ห้าหมื่นก้วน!

ดวงตาของเจ้าเมืองซ่งเป็นประกายขึ้นในทันใด รวยมากดังคาด

นายใหญ่เฉิงเอ่ย

“ทุกท่าน ถ้ามีสินเดิมพวกนี้ พวกเจ้าจะแต่งงานกับเด็กสติไม่สมประกอบหรือไม่” เขาถาม พร้อมเอื้อมมือออกไปและถามคำถามนี้อีกครั้ง

ขุนนางผู้น้อยที่ถือหนังสือส่งรายการสินเดิมกลับคืนอย่างไม่เต็มใจนัก

ในขณะนี้ เมื่อได้ยินคำถามของนายใหญ่เฉิงอีกครั้ง บรรยากาศในศาลก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

มีสินเดิมเหล่านี้แล้ว อย่าว่าแต่แต่งงานกับคนบ้าเลย ต่อให้เป็นคนตายพวกเขาก็ยอม!

แน่นอนว่าไม่มีใครพูดออกมาจริงๆ

นายใหญ่เฉิงไม่ได้คิดอย่างนั้น เขายิ้มและเก็บหนังสือลงในแขนเสื้อ

“ความมั่งคั่งทำให้ผู้คนประทับใจได้จริงๆ สินะ” เขาเอ่ย “ถ้ามีสินเดิมเหล่านี้ ลูกสาวตระกูลคงมีคนมาสู่ขอไม่ขาดสาย แต่จะทำไปเพื่ออะไรหรือ ก็เพื่อเงินอย่างไรเล่า!”

จู่ๆ อาจารย์เฉิงก็ขึ้นเสียง สร้างความตกใจให้กับบางคนที่ยังอยู่ในภวังค์ของเงิน

“แต่งงานกับลูกสาวตระกูลข้าเพื่อเงิน ก็ไม่ใช่เรื่องที่เกินกว่าเหตุ ตอนนี้ในเมืองนี้หากจะแต่งงานทีหนึ่งต่างต้องเตรียมสินเดิมมากมาย แต่ลูกสาวตระกูลข้าแตกต่างจากคนทั่วไปนี่” จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้สี่ขา เดินไปสองสามก้าวในศาล เหลือบมองผู้คน “นางเป็นเด็กสติไม่สมประกอบ เป็นคนป่วย จิตใจและมันสมองของนางไม่เปิด ไม่สามารถดูแลตัวเองได้ เด็กประเภทนี้ถูกขอแต่งงานโดยอาศัยสินเดิม ไม่รู้ว่าคนเช่นนั้นจะจริงใจกับนางได้ขนาดไหน!”

คนในศาลพากันละสายตามองไปทางอื่น

นายใหญ่เฉิงพ่นลมหายใจและยิ้มให้ตัวเอง

“พวกเราตระกูลเฉิงเลี้ยงลูกแบบนี้ เป็นสิ่งเราควรทำ เราไม่สามารถละทิ้งหรือกำจัดนางได้ แต่ตระกูลคนอื่นล่ะ” เขาถามพลางมองดูผู้คนในศาล “คนอื่นๆ ล่ะ ไม่ใช่ญาติ ไม่มีเหตุอันใด รับนางไปโดยอาศัยความร่ำรวยและทรัพย์สมบัติ ลูกสาวที่แต่งออกไปก็เหมือนน้ำที่สาดออกไป พวกเราสามารถดูแลได้ช่วงเวลาหนึ่ง แต่จะดูแลได้ตลอดชีวิตไหม ความมั่งคั่งมัดใจผู้คน และความมั่งคั่งเองก็เป็นมีดสังหารเช่นกัน บอกข้าที ข้าจะเปิดเผยสินเดิมได้อย่างไร บอกคนทั้งโลกให้แต่งงานกับนางแบบนี้ได้อย่างไร นั่นไม่ดีต่อนาง นั่นเป็นการบังคับให้นางไปตาย เราจึงปฏิเสธที่จะให้สินเดิม ข้าทำไปเพื่ออะไร ก็แค่หาตระกูลที่ไม่หวั่นไหวต่อความมั่งคั่งและอยากแต่งงานกับนางด้วยใจจริงไม่ใช่หรือ”

เขาพูดถึงตรงนี้ ก่อนจะก้าวไปข้างหน้า

“ผิดอะไร” เขาตะโกนด้วยเสียงสูง “นี่ผิดอะไร มันผิดอะไร”

ผู้คนในศาลรู้สึกหูอื้อ

ใช่ ผิดอะไรหรือ นี่ไม่ได้ผิดอะไรนี่

เด็กไม่ผิดที่จะเดินและอาละวาดไปทั่ว แต่จะผิดหากเด็กเดินอาละวาดพร้อมกอดทองไปด้วย และเป็นความผิดของพ่อแม่!

เมื่อเห็นผู้คนในศาลที่พยักหน้าโดยไม่ตั้งใจ จากนั้นมองไปที่ใบหน้าซีดขาวและดวงตาที่หมองคล้ำของเฉากุ้ยและพวกพ้อง นายใหญ่เฉิงสูดหายใจเข้าลึกๆ ในใจ

สู้กับเขา! ให้สมกับที่แก่กว่าพวกเจ้า! กินเกลือมามากกว่าที่พวกเจ้ากินข้าวเสียอีก! พวกเด็กๆ เข็ดหลาบกันบ้างเถอะ!

แต่ในใจของนายใหญ่เฉิงไม่ได้มีความสุขเท่าไรนัก ชนะก็จริง แต่อันที่จริงก็แพ้เช่นกัน ตั้งแต่ตอนที่เขาจำต้องก้าวเข้ามา ก็แพ้แล้ว

หัวหน้าตระกูลผู้สง่างามของตระกูลเฉิงต้องขึ้นศาลเพราะลูกหลาน ช่างเสียหน้าเหลือเกิน ไม่ต้องพูดถึงที่ต้องเอารายการสินเดิมออกมา การเก็บความลับเรื่องทรัพย์สินเป็นกฎนิรันดร์

คราวนี้ ความมั่งคั่งของตระกูลเฉิงถูกเปิดเผยในแก่คนภายนอก ไม่รู้ว่าดึงดูดสายตาสอดแนมได้กี่คน!

นายใหญ่เฉิงกัดฟันด้วยความเกลียดชัง ทั้งหมดนี้เป็นเพราเด็กบ้านั่น! แล้วก็บ้านรองด้วย!

ครั้งนี้เขาจะไม่ปล่อยพวกเขาไว้แน่!

นายใหญ่เฉิงเงยหน้ามองศาลด้วยความเกลียดชัง

“ใต้เท้า! ข้าทำผิดอะไรหรือ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น

ทั้งทงพั่นและผู้ช่วยเจ้าเมืองได้สติกลับมา

“ไม่ผิด” ทงพั่นเอ่ยแล้วพยักหน้า ย้ำความมุ่งมั่นของเขาว่า “ไม่ผิด”

เขาเอื้อมมือหยิบไม้จิงถังก่อนจะตะโกนร้องให้พาตัวออกไป ทว่าก่อนที่จะเคาะไม้นั้น

“ช้าก่อน” เฉากุ้ยตะโกน

…………………….