เพราะใต้เท้าสองคนมีความคิดเห็นไม่ตรงกันภายในศาล บรรยากาศจึงตึงเครียดไม่น้อย

“ใต้เท้าหลี่ ท่านหมายความว่าการขโมยทรัพย์สินของตระกูลอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้เป็นพฤติกรรมอันชอบธรรมอย่างนั้นหรือ” ทงพั่นหน้าเขียว มองผู้ช่วยเจ้าเมืองหลี่ โดยไม่มองโจทก์และจำเลยในศาล แฝงการประชดในคำพูด

ถ้ารู้ว่าเจ้าช่างไม้คนนี้รักเงิน แต่อุปนิสัยเนื้อแท้ของช่างไม้ทำให้เขาทำสิ่งที่ถูกต้องเสมอ ใช้ประโยชน์จากสิ่งที่ถูกต้อง และทำสิ่งที่ถูกต้องเพื่อผู้อื่น แต่วันนี้กลับฉีกหน้าตัวเอง ลำเอียงอย่างไม่สนใจสิ่งใด

ตระกูลโจวให้ประโยชน์มากมายเพียงใด คุ้มค่าที่เขากล้าเสี่ยงกับการถูกฟ้องร้องและทำลายอาชีพการงานหรือ

“ทงพั่นเข้าใจผิดแล้ว” ผู้ช่วยเจ้าเมืองหลี่พูดด้วยท่าทางเคร่งขรึม “การปล้นคืออะไร ยึดครองในสิ่งที่ไม่ใช่ของตนเอง ถึงจะเรียกว่าปล้น ถ้าทวงคืนของตัวเอง ก็ไม่เรียกว่าการปล้น”

“ใต้เท้าโปรดพิพากษาอย่างเป็นธรรม!” เฉากุ้ยพูดทันที “เพราะสินเดิมของนายหญิงถูกแย่งชิง ข้าน้อยถึงต้องทำ”

“มีพยานไหม” ผู้ช่วยเจ้าเมืองหลี่ถามทันที

เสียงการตบสร้างความตกใจให้คนในศาลและบดบังเสียงเอ่ยตอบของเฉากุ้ย

“ลูกบอกว่าพ่อกระทำผิด เพราะเห็นแก่เงินทองทรัพย์สิน ถือเป็นการเนรคุณ ไม่เอาน่า” ทงพั่นยืนขึ้น กำไม้จิงถัง [1]สีหน้ายากจะซ่อนความโกรธได้ “ฟาดยี่สิบไม้ ไล่ตีออกไป!”

เจ้าพนักงานศาลทั้งสองแถวขานรับพร้อมกัน ก่อนจะเดินไปข้างหน้าพร้อมกับไม้พลองสุยหั่วด้วยใบหน้าที่เหี้ยมโหด

หลินจิ่วและพรรคพวกดีอกดีใจบนความทุกข์ของผู้อื่น มองเฉากุ้ยและพวกพ้อง นายใหญ่เฉิงที่อยู่ห้องด้านข้างก็โล่งใจเช่นกัน

แม้ว่าเขาจะมองไม่เห็น แต่เขาสามารถจินตนาการได้ว่า ผู้ช่วยเจ้าเมืองที่ไร้ยางอาย จนแทบจะปล้นกันซึ่งๆ หน้าแบบนี้ ในชีวิตนี้ไม่เคยเห็นเงินหรืออย่าไร ทำเช่นนี้คุ้มค่าแล้วหรือ

“ช้าก่อน”

เสียงแหลมอีกเสียงหนึ่งดังขึ้นในศาล

“ใต้เท้า ท่านเคยพูดว่าลูกชายบอกว่าพ่อทำผิด เพราะเห็นแก่เงินและทรัพย์สิน ถือเป็นการเนรคุณ ถ้าไม่ใช่เช่นนี้เล่า”

ทงพั่นมองผู้ช่วยเจ้าเมือง แทบจะโกรธเจียนตาย เขาร้องตะโกนด่าเจ้าลูกช่างไม้ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าในใจ

“จะไม่ใช่ได้อย่างไร” เขาตะโกน

ทันทีที่พูดออกไป เขากับเจ้าเมืองซ่งที่อยู่ด้านในร้องตะโกนพร้อมกันในใจ

แต่สายเกินไปแล้ว

“ใต้เท้า นายหญิงของข้าไม่ได้พูดว่าบิดานางทำผิด แต่ที่จำต้องต่อสู้เรื่องทรัพย์สินเงินทอง ไม่ใช่เพื่อความมั่งคั่งร่ำรวย แต่เพื่อรักษาไว้ซึ่งจริยธรรม” เฉากุ้ยซึ่งถูกพวกเจ้าพนักงานศาลจับไว้ พูดขึ้นทันที “ข้ามีพยาน ข้ามีพยาน”

“พยาน!” ผู้ช่วยเจ้าเมืองหลี่เอื้อมมือไปคว้าไม้จิงถัง ก่อนจะเคาะอย่างแรงแล้วร้องตะโกน

ทงพั่นมองไม้ที่ถูกขโมยไป ใบหน้าถมึงทึง

ผู้ช่วยเจ้าเมืองหลี่ช่างบ้าเสียจริง!

ไม่ว่าเจ้าจะพูดอะไร สุดท้ายแล้วก็เป็นการต่อสู้ของตระกูล อย่างไรก็ตามแม้จะเป็นข้อสรุปที่ขัดต่อจริยธรรม ไล่ตีพวกเขากลับไปแล้วอย่างไร! คอยดูเถอะ!

ทันใดนั้นเขาสะบัดแขนเสื้อ ก่อนจะนั่งลงแล้วมองด้วยใบหน้าเย็นชา

พยานหรือ มิใช่การแย่งชิงทรัพย์สมบัติหรอกหรือ จริยธรรมใช่ไหม เล่นอะไรกันอยู่

นายใหญ่เฉิงขมวดคิ้วแล้วเดินออกไปสองสามก้าว เขาเห็นหญิงนางหนึ่งถูกเหล่าเจ้าพนักงานศาลพาออกมาจากในห้อง เขาตกตะลึงและโกรธทันที

บังอาจ!

“ข้าคารวะใต้เท้า”

หญิงผู้นั้นคุกเข่าลงแล้วก้มหัวคำนับตรงประตู

“ข้าน้อยคือคนใช้ของฮูหยินรองเฉิง มาแทนนายรองเฉิงและฮูหยินรองเฉิงเจ้าค่ะ”

ตามปกติแล้ว นายรองที่มีสถานะทางการไม่สามารถขึ้นศาลได้ และภรรยาของเขาก็มาไม่ได้ ดังนั้นคนใช้จึงต้องมาแทน

“เจ้าจะมาเป็นพยานอะไร” ผู้ช่วยเจ้าเมืองหลี่ถามอย่างโล่งใจ

ขอบคุณดินขอบคุณฟ้า มีพยานจริงๆ ด้วย!

“นายหญิงไม่ได้ฟ้องบิดาหรือนายรองของนาง ความจริงไม่ได้ฟ้องใคร” หญิงรับใช้ก้มศีรษะและตอบ ถึงแม้นางจะได้รับการสอนมาจากบ้าน แต่นางก็ยังตัวสั่นเมื่อขึ้นศาลครั้งแรก โชคดีที่นางยังพูดได้ แม้ว่าจะตะกุกตะกัก “เพราะสินเดิม…”

“สินเดิมเป็นอย่างไรหรือ” ผู้ช่วยเจ้าเมืองหลี่ถาม

“นายใหญ่บอกว่าตอนนายหญิงแต่งงาน จะไม่ให้สินเดิม” หญิงรับใช้เอ่ย

ทันทีที่พูดเช่นนี้ ทั้งศาลก็ตกตะลึง

ที่ตกใจคือไม่ให้สินเดิม และที่ตกใจมากกว่าคือ นายรองมาเป็นพยานปรักปรำนายใหญ่!

นายใหญ่ในห้องด้านข้างตัวสั่น รู้สึกหนาวเหน็บไปทั้งตัว

เขารู้ว่าบ้านรองไม่พอใจเขา แต่เขาก็ไม่สนใจ ในฐานะผู้ปกครองตระกูล เขาไม่สามารถทำให้ทุกคนพอใจได้เสมอไป สิ่งที่เขาต้องทำคือรักษาสมดุลของทั้งตระกูลและรับรองความรุ่งโรจน์และอนาคตของตระกูล

เขารู้ว่าน้องชายของเขาไม่ใช่คนที่ติดตามพี่ชายคนโตเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป เขาเติบโตขึ้นมา มีความโลภเป็นของตัวเอง นี่เป็นธรรมชาติของมนุษย์ และเขาไม่ได้คิดว่าแปลกอะไร เข้าใจได้

เขารู้ทั้งหมด แต่เขาไม่รู้ว่าน้องชายของเขาจะปฏิบัติต่อเขาแบบนี้! ความโลภนี้ทำให้คนเป็นบ้าไปแล้วหรือ

นายใหญ่เฉิงเอื้อมมือไปจับวงกบประตู ใบหน้าของเขาซีดเซียว กระวนกระวายใจ อยากจะคร่ำครวญด้วยความโกรธและร้องไห้ออกมาดังๆ

เขารู้ว่าพวกเขาไปเจอเด็กบ้านั่นแล้ว เขาเดาว่าพวกเขาจะพูดเรื่องแย่ๆ ของตนกลับ เพียงแค่พูดก็พูดไปเถิด กระดูกหักเหลือเส้นเอ็นไว้ ยังกลัวที่จะถูกคนอื่นนินทาอีกหรือ

แต่คิดไม่ถึง พวกเขาไม่ได้เพียงแค่พูดกัน ทว่ากลับใช้มีดแทงตัวเองอย่างแรง

เขาไม่ได้ยินสิ่งที่ผู้คนในศาลพูดกันแล้ว ขณะจับวงกบประตู ก็รู้สึกว่าข้างหูกำลังเกิดเสียงอื้ออึง

ตระกูลโจวให้ประโยชน์อะไรแก่พวกเขา ถึงทำให้สามีภรรยาทำเรื่องเช่นนี้ได้!

บ้าไปแล้ว บ้าไปแล้ว!

นายใหญ่เฉิงกำหมัดแน่น ทุบไปที่กรอบประตูอย่างแรง ใบหน้าซีดเซียวของเขาแปรเปลี่ยนเป็นสีเขียว ภาพของเจ้าอาวาสซุนกราบไหว้เฉิงเจียวเหนียงปรากฏขึ้นตรงหน้าอีกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้ มีอีกสองคนอยู่ข้างเจ้าอาวาสซุน นั่นก็คือนายรองและฮูหยินรอง…

นางคือมารร้ายที่มอมเมาผู้คนอย่างนั้นหรือ เด็กบ้านั่น…

นายใหญ่เฉิงได้สติในทันใด นี่เป็นความคิดของฮูหยินใหญ่เฉิง หญิงที่โง่เขลา! เขาคิดเช่นนี้ได้อย่างไร!

คำถามและคำตอบในศาลผ่านเข้ามาในหูของเข้า ราวกับอยู่ใกล้แต่ก็เหมือนอยู่ไกล

“…ไม่ให้สินเดิมหรือ สินเดิมเป็นแม่ของแม่นางเฉิงทิ้งไว้ใช่หรือไม่”

“…ใช่ เป็นของแม่ของนายหญิงเฉิงทิ้งไว้เจ้าค่ะ”

“….ใต้เท้าโปรดพิพากษาอย่างเป็นธรรม นายหญิงของข้าไม่ได้ทำเพื่อเงินและทรัพย์สิน แต่เพื่อกอบกู้ชื่อเสียงของนาง นางออกเรือนโดยไม่มีสินเดิม ก็จะทำให้คนทั้งโลกหัวเราะเยาะที่นางไม่มีแม่หรอกหรือ…”

ชั่วพริบตา ศาลก็ตกอยู่ในกำมือของฝ่ายตรงข้าม ทงพั่นหยุดพูด นั่งด้วยใบหน้าดำคร่ำเครียด มองดูอย่างเย็นชา ในฐานะเหยื่อของการต่อสู้อย่างหลินจิ่วและคนอื่นๆ ก็เพิกเฉยไปแล้ว พวกเขาอ้าปากค้างมองผู้ช่วยเจ้าเมืองหลี่ เฉากุ้ยและสาวใช้ของบ้านรองตระกูลเฉิงถามตอบกัน

สุดท้ายแล้วก็เข้าไปเกี่ยวกับสินเดิมจนได้

เจ้าเมืองซ่งในห้องชั้นในก็มีสีหน้าหม่นหมองลงเช่นกัน

เขายังคงประเมินความมุ่งมั่นของผู้ช่วยเจ้าเมืองหลี่ต่ำไป แสดงเจตคติของตนเองอย่างเงียบๆ ท่ามกลางความเย้ยหยันของทงพั่น เขาก็บรรลุเป้าหมายได้อย่างไม่สนสิ่งใด

ไอ้ลูกช่างไม้คนนี้เป็นบ้าไปแล้ว!

“นางบอกว่าอยากได้สินเดิมเพื่อแม่ของตน เช่นนั้น ที่เราไม่ให้สินเดิมกับนาง ก็เรียกว่าทำเพื่อแม่ของนางไม่ใช่หรือ”

เสียงแหบเรียบของชายหนุ่มลอยไปถึงศาล

นายใหญ่เฉิงต้องปรากฏตัวด้วยตนเองเสียแล้ว ดังนั้นเขาจึงต้องแสดงตัวด้วยตนเอง

เจ้าเมืองซ่งนั่งตัวตรง เตรียมพร้อมที่จะลุกขึ้น

เห็นนายใหญ่เฉิงเดินเข้ามาในศาล ผู้ช่วยเจ้าเมืองหลี่ก็แสดงสีหน้าเรียบเฉย พลางกระแอมเบาๆ

“ผู้ที่เข้ามาเป็นใคร ยังไม่ได้ถูกเรียกชื่อ เข้ามาในศาลได้อย่างไร” เขาเอ่ย

“ใต้เท้าหลี่!” ทงพั่นไม่สามารถทนดูได้อีกต่อไป เขาพูดอย่างเย็นชาว่า “อย่าให้มันมากเกินไปนะ!”

“จะยกเลิกกฎได้หรือ” ผู้ช่วยเจ้าเมืองหลี่กล่าวด้วยถ้อยคำที่ชอบธรรม

………………….

[1] 惊堂木 ไม้จิงถัง แผ่นไม้ที่ใช้เคาะให้เกิดเสียง เพื่อดึงความสนใจขณะว่าการในศาล