แม้ว่าจะมีปากเสียงกับสามี แต่เมื่อนายใหญ่เฉิงกลับมาถึงบ้าน ฮูหยินใหญ่เฉิงก็ยังกระตือรือร้นที่จะต้อนรับเขา
“เป็นอย่างไรบ้าง” นางถาม
นายใหญ่เฉิงดูผ่อนคลายและแตกต่างไปจากตอนที่เขาออกไปในตอนเช้าอย่างสิ้นเชิง ฮูหยินใหญ่เฉิงรู้คำตอบอยู่แล้ว แต่นางก็โล่งใจที่ได้ยินกับหู
“ไม่ต้องกังวล” นายใหญ่เฉิงเอ่ย เลิกแขนเสื้อขึ้น ก่อนจะนั่งลง “พรุ่งนี้ขึ้นศาล”
ฮูหยินใหญ่เฉิงที่เพิ่งโล่งใจได้ไม่นาน ก็แทบเป็นลม
“ขึ้นศาล!” นางร้องตะโกน
นางเด็กบ้าคนนี้ฟ้องร้องสำเร็จจริงหรือ ให้ตายเถอะ ฮูหยินใหญ่เฉิงร้องไห้พลางมือกุมอก
“ไม่เป็นอะไร ไม่เป็นอะไร” นายใหญ่เฉิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “นางฟ้องก็ปล่อยให้ฟ้องไป แต่นางทำให้ขุนนางทั้งหมดของเจียงโจวโกรธ ยกเว้นผู้ช่วยหลี่ นางคิดว่าเรากลัวการขึ้นศาล คิดว่าจะสะบัดสะบิ้งแล้วยอมแพ้ กลัวว่าชาวบ้านจะมาว่าเรา นางคิดผิดจริงๆ ที่นางทำน่ะ หาเรื่องใส่ตัวชัดๆ !”
ฮูหยินใหญ่เฉิงมองเขาอย่างไม่สบายใจ
“จริงๆ หรือ” นางถาม
เคยมั่นอกมั่นใจมาหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ถูกเด็กบ้านั่นสาดน้ำใส่อย่างไม่คาดฝัน
“แม้แต่นักพรตและเจ้าอาวาสซุนก็ไม่สามารถหยุดนางได้ ขุนนางในจวนจะทำได้หรือ”
“พูดอะไรน่ะ!” นายใหญ่เฉิงจ้องเขม็ง “ขุนนางคนไหนที่เต็มใจถูกข่มขู่ คราวนี้พวกเขายั่วยุให้ทุกคนโกรธเข้าให้แล้ว เจ้ารอดูเลย จะต้องโดนตีจนหนีออกจากศาลแน่ พวกเขาอยากจะตัดสินใจไม่ใช่หรือ การต่อสู้ครั้งนี้คือการตัดสินใจและให้โลกเห็นว่าใครกันแน่ที่ผิด”
ฮูหยินใหญ่เฉิงส่งเสียงอ๋อ ใบหน้าของนางยังคงลังเล ทำให้นายใหญ่เฉิงรู้สึกไม่สบายใจ
“อย่าพูดถึงนักพรตเทพธิดาอะไรของเจ้าอีก นางจะเอาคนบ้าคนนั้นอยู่ได้อย่างไร นางกราบไหว้เด็กบ้าคนนั้นด้วยซ้ำ” เขาเอ่ยก่อนจะส่งเสียงเฮอะ
ฮูหยินใหญ่เฉิงมองเขาด้วยความประหลาดใจ
“เซียนหญิงซุนกูกราบไหว้นางหรือ” นางถาม
นายใหญ่เฉิงพยักหน้าและนึกถึงสิ่งที่เขาหันไปเห็น
“ใช่ ตอนที่นางกลับบ้านครั้งนั้น” เขาพูด
ครั้งนั้น…
“ทำไมหรือ” ฮูหยินใหญ่เฉิงถาม
เหตุใดเซียนหญิงซุนถึงกราบไหว้คนบ้า
นายใหญ่เฉิงตกตะลึง
ใช่น่ะสิ ทำไมกัน
เหตุใดเซียนหญิงผู้มีคุณธรรมสูงส่ง ละทิ้งทางโลก ถึงได้เคารพเด็กบ้าเช่นนี้
เหตุใดเซียนหญิงซุนที่ไม่เคยก้าวเข้ามาในบ้านของพวกเขามานานกว่าหนึ่งปี แต่นางกลับมาเยือนเมื่อเด็กบ้ากลับมา
ใบหน้าของนายใหญ่เฉิงเคร่งขรึม
“เจ้า ไปที่วัดเสวียนเมี่ยวเมื่อวันก่อน เจอเซียนหญิงซุนหรือไม่” เขาถาม
ฮูหยินใหญ่เฉิงส่ายหัวช้าๆ
“ข้าบริจาคน้ำมันงาร้อยถัง” นางพึมพำ “ข้าต้องการพบเจ้าอาวาสซุน แต่พวกเขาบอกว่าเจ้าอาวาสจำศีลและไม่รับแขก…”
นางบริจาคน้ำงาเป็นร้อยถัง ยังไม่ได้เจอท่านเซียนหญิง ไม่มีโอกาสได้กราบไหว้ท่านเซียนหญิง แต่เด็กบ้าคนนั้นสามารถทำให้ท่านเซียนหญิงคุกเข่ากราบไหว้ได้
ทำไมกัน
นางเงยหน้าขึ้นแล้วจ้องไปที่นายใหญ่เฉิง ทันใดนั้นดวงตาของนางก็สว่างวาบขึ้น
“หรือว่าความชั่วของเด็กบ้านั่นมีพลังอำนาจอย่างมาก” นางพูดอย่างเร่งรีบ “ท่านเซียนหญิงยังหยุดไม่อยู่ ทั้งยังถูกนางทำให้ยอมศิโรราบ”
“ฟั่นเฟือนไปแล้วหรืออย่างไร!” นายใหญ่เฉิงตะโกน
“ถ้าอย่างนั้นคนสติดีเช่นท่านก็บอกสิว่าเพราะเหตุใด!” ฮูหยินใหญ่เฉิงตะโกน อย่างไม่อยากแสดงความอ่อนแอ
ในห้องเงียบกริบ สามีและภรรยาจ้องหน้ากันเขม็ง
“อ๋อ เมื่อคืนบ้านรองไปตามที่คาดไว้ใช่หรือไม่” นายใหญ่เฉิงถาม ยามคิดอะไรบางอย่างได้
“ก็ใช่น่ะสิ ก็ใช่น่ะสิ” ฮูหยินใหญ่เฉิงรีบตอบ
ทั้งสองสามีภรรยาถอนหายใจด้วยความโล่งอกในเวลาเดียวกัน ในที่สุดก็สามารถพูดอะไรปกติได้
“พวกเขาคุยอะไรกันหรือ” นายใหญ่เฉิงถาม
“แอบคุยกันอยู่ในห้อง คงจะพูดเรื่องที่ให้คนอื่นรู้ไม่ได้กระมัง” ฮูหยินใหญ่เฉิงสูดจมูกเอ่ย “อย่างไรเสียก็ไม่ใช่เรื่องดีสำหรับเรา”
นายใหญ่เฉิงลูบเคราตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่ง
“อยากพูดอะไรก็พูดไปเถิด คราวนี้ก็ถือว่าสั่งสอนพวกเขาด้วย” เขาพูด
เดิมทีคดีทะเลาะวิวาทประเภทนี้จะไม่รีบร้อน หลายครั้งล่าช้าไปเป็นสิบวันหรือครึ่งเดือน แต่ตามคำแนะนำของนายใหญ่เฉิง จวนเจียงโจวจะขึ้นศาลให้พิจารณาคดีในวันถัดไป
ไม้พลองสุยหั่วในศาลตกกระทบลงบนแผ่นหินคราม ทำให้เกิดเสียงดังตึงตังชัดเจน พร้อมด้วยเจ้าพนักงานศาลในศาลาว่าการสองกลุ่มตะโกนพร้อมกัน โจทก์และจำเลยเดินขึ้นศาล
แต่คราวนี้มันแปลกนิดหน่อย พูดคร่าวๆ ก็คือผู้ทำร้ายเป็นคนฟ้อง ส่วนเหยื่อเป็นผู้ต้องหา
พ่อบ้านเฉาและอีกสี่คน ยืนอยู่ต่อหน้าบัลลังก์ มองผู้ดูแลร้านทั้งสี่ของหลินจิ่วด้วยความเกลียดชัง ทั้งยังยิ้มบาง
ไม่โง่ก็บ้า หลินจิ่วและคนอื่นๆ พูดในใจ ถ่มน้ำลาย ก่อนจะละสายตาไป
เจ้าเมืองไม่จำเป็นต้องปรากฏตัวในคดีทะเลาะวิวาทเช่นนี้ ดังนั้นจึงมีเพียงทงพั่น[1]และผู้ช่วยเจ้าเมืองนั่งอยู่ในศาลเท่านั้น
เพราะเขากลัวเรื่องสถานะของเขา นายใหญ่เฉิงจึงไม่ปรากฏตัวที่หน้าศาล เพื่อหลีกเลี่ยงความสงสัย เขาก็ไม่ได้นั่งข้างเจ้าเมืองซ่งที่ประตูด้านข้างถัดจากบัลลังก์ แต่อยู่นอกประตูของห้องด้านข้าง แม้ว่าจะอยู่ห่างไกล แต่ก็ไม่ได้ทำให้เขาไม่ได้ยินคำฟ้องที่หน้าศาล
หลังจากคำนับและตรวจสอบตัวตนแล้ว ใต้เท้าทงพั่นสีหน้าเคร่งขรึมก็ปรบมือให้ทั้งโถงศาลตกใจโดยไม่รอให้ผู้ช่วยเจ้าเมืองพูด
“เฉากุ้ย เจ้าในฐานะผู้ใต้บังคับบัญชาของตระกูลโจวผู้มีตำแหน่งกุยเต๋อหลางเจียงแห่งเมืองหลวง วิ่งอาละวาดไปทั่วเจียงโจวและทำร้ายประชาชน เจ้ารู้ความผิดของตนเองหรือไหม!”
เมื่อได้ยินว่าเขาเน้นย้ำถึงสถานะของกุยเต๋อหลางเจียง ทั้งยังเอ่ยถึงอำนาจของตระกูลโจว ขุนนางชั้นผู้น้อยในศาลก็ดี ข้าหลวงก็ดี ต่างแสดงสีหน้าไม่พอใจ ผู้ช่วยเจ้าเมืองหลี่ที่นั่งอยู่อีกด้านหนึ่งสีหน้าแน่นิ่ง ราวกับไม่เข้าใจสิ่งที่ทงพั่นจะสื่อ
เจ้าเมืองซ่งที่อยู่ด้านหลังโถงรินชาก่อนจะเป่า
“นานๆ ทีข้าจะได้มาฟังคดีเล็กๆ พวกนี้ ได้แต่หวังว่าจะว่าความอย่างยอดเยี่ยมนะ” เขาพูด
“น่าจะยอดเยี่ยมมาก” ชิงเค่อ[2]กระซิบด้วยรอยยิ้มว่า “ใต้เท้ามีพยานไม่น้อย มีคนรออยู่ในห้องเจ็ดแปดคน ทั้งฝั่งเฉิงเหนือ เฉิงใต้ก็มากันครบแล้ว”
แน่นอนว่าไม่ได้มาเพื่อคดีทะเลาะวิวาท แต่มาเพื่อคดีสินสอดทองหมั้นที่เกี่ยวข้องกับคดีทะเลาะวิวาท
“รีบแยกกันตั้งแต่เนิ่นๆ เสียดีกว่า ยังต้องรีบไปกินข้าวเที่ยงอีก” เจ้าเมืองซ่งเอ่ยเสียงเรียบด้วยรอยยิ้มบาง ก่อนจะยกชาอื่ม
เกี่ยวข้องกับคดีสินเดิมหรือ ฝันไปเถอะ พูดอีกสองสามคำ ทงพั่นก็จะไล่คนเหล่านี้ออกจากศาลไปจนหมด!
พวกเขาอยากติดคุกไม่ใช่หรือ ก็ติดให้สมใจเสียเถิด!
มีคนรีบวิ่งเข้ามาจากข้างนอก
“ใต้เท้า มีคนต้องการจะเข้าไปฟังข้างใน” เขากระซิบ
เนื่องจากสถานะของตระกูลเฉิง คดีประเภทนี้จึงไม่ได้ให้คนนอกเข้ามา แต่ข่าวคาดว่าคงรั่วไหลไปแล้ว สำหรับเมืองเจียงโจว หญิงที่ยังไม่ออกเรือนจะฟ้องพ่อแม่เพื่อขอสินเดิม เป็นสิ่งที่หายากและไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน คนที่อยากมาดูคงนับกันไม่หวาดไม่ไหว
“ไล่ออกไป!” เจ้าเมืองซ่งเอ่ยโดยไม่เงยหน้าขึ้น
ภารโรงยืนนิ่งไม่ขยับ
“ใต้เท้า เป็นตระกูลฉินที่ปรึกษาประจำราชสำนัก อาลักษ์หลวงหอเทียนจาง สามีภรรยานักบันทึกประวัติศาสตร์ขอรับ…” เขามองแผ่นป้ายในมือพลางอ่าน
ยังไม่ทันพูดจบลง เจ้าเมืองซ่งก็พ่นชาที่จิบออกมา
“ใคร” เขาร้องเสียงหลง
การเคลื่อนไหวภายในห้องแผ่ออกไปสู่ภายนอก ผู้คนในศาลต่างตกตะลึง พวกเขาหยุดพูดและมองไปด้านข้าง
ภารโรงเปิดม่านขึ้น โบกมือให้ทงพั่นและผู้ช่วยเจ้าเมือง
“…หลินจิ่ว เมื่อครู่เจ้าบอกว่าเฉากุ้ยบุกเข้าไปในร้านเจ้าและทุบตีผู้คนอย่างหยิ่งผยองหรือ” ทงพั่นมองด้านล่างศาลแล้วถาม
“ใช่ขอรับ ใต้เท้า เขาบีบบังคับให้ร้านข้าต้องปิด และทำร้ายข้า ดูบาดแผลของข้าสิ…” หลินจิ่วพูดอย่างโกรธจัด พลางยกเสื้อขึ้น
ทงพั่นจะเอ่ยอะไรบางอย่าง ทว่าผู้ช่วยเจ้าเมืองเอ่ยขึ้นก่อน
“หลิวจิ่ว เพราะเหตุใดเฉากุ้ยถึงมีเรื่องกับเจ้า” เขาถาม
ทงพั่นเยาะเย้ยมองผู้ช่วยเจ้าเมือง ดูความรีบร้อนนี่สิ ไม่รู้ว่ารับเงินคนอื่นเขามาเท่าไร ยังพูดได้ไม่กี่ประโยคก็โยงไปถึงเรื่องอื่นแล้ว
เขากระแอมขึ้นมา
“มาสิ มาตรวจดูแผล” ทงพั่นเอ่ยเสียงเรียบ พร้อมมองผู้ช่วยเจ้าเมืองอีกครั้ง ก่อนจะยิ้มบางแฝงความเย้ยหยัน “ใต้เท้าหลี่ ตรวจสอบแผลก่อนเถิด อย่าเพิ่งรีบร้อน”
“ใต้เท้าพูดถูก” ผู้ช่วยเจ้าเมืองหลี่ยังคงยิ้มราวกับว่าเขาไม่เห็นการเยาะเย้ยบนใบหน้าของทงพั่นเลย
ใต้เท้าเจ้าเมืองเพิกเฉยต่อการสื่อสารจากภายนอก เข้าก้มหัว ก่อนจะอ่านแผนป้ายในมือสามรอบ สีหน้ายังคงไม่อยากเชื่อ
“อาลักษณ์หลวงฉิน เหตุใด…เหตุใดถึงมาเจียงโจวได้ จะมาฟังเรื่องนี้หรือ” เขาถาม
“ไม่ใช่อาลักษณ์หลวงฉินขอรับ แต่เป็นหญิงสองสามคน” ภารโรงเอ่ย ตอนเขาเห็นแผ่นป้ายนี้ตอนแรกก็คิดว่าของปลอม ทว่าดูจากสีหน้าของเจ้าเมืองในยามนี้แล้ว ก็เชื่ออย่างไม่ต้องสงสัย
ผู้ใต้บังคับบัญชาที่นำแผ่นป้ายชื่อของเจ้านายมาได้ ก็ต้องไม่ใช่คนธรรมดา
เจ้าเมืองซ่งลุกขึ้นยืน ลุกลี้ลุกลนเล็กน้อย
“นี่ นี่” เขามองชิงเค่อ เอ่ย “เจ้าดูสิว่าตระกูลฉินมาเพื่อใคร”
ชิงเค่อมีสีหน้าไม่เข้าใจ
“อาลักษณ์หลวงฉินไม่เคยมีสิ่งข้องเกี่ยวกับเจียงโจว อย่าบอกนะว่ามาเพื่อตระกูลโจว” เขาเอ่ย
เจ้าเมืองซ่งมีสีหน้าเคร่งขรึม หรือว่าเขาดูเบาคดีนี้ไป
“ใต้เท้า จะให้ฟังหรือไม่” ภารโรงเอ่ยถาม
เจ้าเมืองซ่งไตร่ตรองอยู่ครุ่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า
“ฟังเถิด” เขาเอ่ย “ทำอะไรสักอย่างดีกว่าไม่ทำเลย เมื่อฟังจบพวกนางย่อมมาหาเอง ถึงตอนนั้นก็รู้แล้วว่ามาเพื่อใคร”
“เช่นนั้นคดีนี้เป็นไปตามที่ตกลงไว้” ชิงเค่อกระซิบถาม
คดีนี้ที่ตกลงกันไว้ จะตัดสินให้เป็นเพียงคดีทะเลาะวิวาทเท่านั้น และจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในสินเดิม แต่จู่ๆ ก็มีตัวแปรเข้ามา…
เจ้าเมืองซ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า
“ตามที่ตกลงกันไว้ ส่วนคนอื่นๆ ดูการกระทำของอีกฝ่ายค่อยว่ากัน” เขาพูด
ชิงเค่อพยักหน้าแล้วยื่นแผ่นป้ายให้ภารโรง
แผ่นป้ายของคนใหญ่คนโตเช่นนี้ไม่ใช่ว่าใครจะรับไว้ได้ตามอำเภอใจ ดูแล้วยังต้องเอาไปคืน
นายใหญ่เฉิงที่นั่งอยู่ในห้องด้านข้างของศาลวางชามชาลง เห็นหญิงสามสี่คนเดินเข้าไป ทั้งยังมีคนของศาลาว่าการพาเข้าไปอีก เขาก็อดขมวดคิ้วไม่ได้
คนเหล่านั้นต่างเป็นหญิง ญาติผู้หญิงของเจ้าเมืองต่างอยู่ด้านหลังศาลาว่าการ เหตุใดถึงมาที่นี่ได้
ขณะกำลังสงสัยนั้นเอง ก็มีหญิงสองสามคนถูกพาเข้ามาในห้องด้านข้าง ทั้งยังมานั่งฟังด้วยเช่นกัน!
นายใหญ่เฉิงอดที่จะลุกขึ้นไม่ได้ เดินเข้าไปสองสามก้าวเพื่อมองดู
ใครกันที่จะมาฟังคดีของตระกูลเขา แถมเจ้าเมืองยังปล่อยให้เข้ามาอีก
ความกังวลก่อตัวขึ้นในใจของเขาเล็กน้อย รู้สึกไม่สบายใจอย่างบอกถูก
ภาพที่เซียนหญิงซุนคุกเข่ากราบเฉิงเจียวเหนียงปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาอย่างไม่รู้สาเหตุ
“หรือความชั่วร้ายของนางเด็กบ้านั่นมีพลังอำนาจมากเพียงนี้ ท่านเซียนหญิงก็ไม่อาจต้านทานได้ กลับกันต้องยอมศิโรราบ!”
คำพูดของฮูหยินใหญ่เฉิงยังก้องอยู่ในหู
นายใหญ่เฉิงส่ายหัว สลัดภาพและเสียงหลอนนั้นออกไป ก่อนจะได้ยินเสียงแหลมอันน่าตกใจมาจากศาล
“…เฉากุ้ยอย่าเล่นลิ้น แม่นางตระกูลโจวของเจ้าแต่งเข้าตระกูลเฉิง เป็นคนของตระกูลเฉิงแล้ว ร้านนั่นไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า! พฤติกรรมเช่นนี้ของเจ้าคือการโจรกรรมกลางวันแสกๆ อย่างไม่ต้องสงสัย! ทหาร! ตีเขา…”
“…ช้าก่อนใต้เท้า เฉากุ้ยทุบตีหลิวจิ่วและคนอื่นๆ เป็นเพราะไม่ได้รับความเป็นธรรม นี่คือความจงรักภักดีและความกตัญญูกตเวทีของเขา ต่อมาเขาได้มอบตัว สารภาพและปฏิบัติตามกฎหมายของบ้านเมือง นี่เป็นความจงรักภักดี ความชอบธรรมและเป็นเหตุเป็นผล จะเป็นการโจรกรรมได้อย่างไร”
ในที่สุดใต้เท้าทงพั่นและผู้ช่วยเจ้าเมืองก็เริ่มโต้เถียงกันในศาล
นายใหญ่เฉิงเลิกคิดในทันใด ก่อนจะนั่งลงฟังอย่างตั้งใจ
…………………
[1] 通判 ทงพั่น ตำแหน่งปลัดจังหวัด ตั้งขึ้นในสมัยราชวงศ์ซ่ง
[2] 清客 ชิงเค่อ หมายถึง กวีหรือศิลปินในสมัยก่อนที่คอยเล่นและร้องเพลงในตระกูลที่ร่ำรวยมีเกียรติ