“ข้าก็อยากปรึกษาวิธีการพูดเช่นกัน”

เสียงของเฉิงเจียวเหนียงสะท้อนกลับไปมาในห้องคับแคบ

“หญิงออกเรือนไม่ได้รับสินเดิม อีกทั้งยังเป็นสินเดิมที่ท่านแม่ของข้าทิ้งไว้ให้ พวกท่านเป็นพยานในศาลให้ได้ไหม”

พยาน…

ฮูหยินรองเฉิงใจลอยเล็กน้อย จู่ๆ นางก็คิดไม่ออกว่าตัวเองมาทำอะไรที่นี่ดึกๆ ดื่นๆ

นางได้ยินมาก่อนแล้วว่าคนของตระกูลโจวไปปล้นร้านและที่นาบ้านสวนพวกนั้นอย่างโจ่งแจ้ง ตอนนั้นที่ได้ยินก็ตกใจเช่นกัน ทว่าก็ไม่ได้คิดอะไรมาก มีที่ไหนที่บอกว่าจะแย่งก็แย่งไปได้ ต่อมานางก็ได้ยินว่าไม่เพียงแต่ใช้อาวุธ ยังยื่นคำร้องถึงทางการอีก บอกว่าจะเอาสินเดิม!

ตระกูลโจวจะเอาสินเดิมไม่ใช่เรื่องที่เกินความคาดหมาย นางคาดการณ์ไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ทำให้เรื่องใหญ่เพียงนี้ก็เพื่อเงินไม่ใช่ห่รือ หากตระกูลโจวไม่อยากได้ถึงจะเป็นเรื่องแปลกมากกว่า

นางเองก็ตัดสินใจไว้ตั้งนานแล้วว่า เมื่อเทียบกับต้องไปดื่มชากับบ้านใหญ่หลังจากตายไป มิสู้ไปกินเนื้อกับตระกูลโจวยังดีเสียกว่า จะว่าไปแล้วพวกเขาต่างหากที่มีสิทธิ์ตัดสินเรื่องนี้ เนื่องจากพวกเขามีความมั่นใจมากที่สุด พวกเขาเป็นพ่อแม่ของเฉิงเจียวเหนียง เป็นคนตัดสินใจเรื่องการแต่งงานเป็นคนแรก ขอแค่พวกเขากล้าที่จะฉีกหน้าบ้านใหญ่

นางยังไม่ได้คิดว่าจะฉีกหน้าบ้านใหญ่อย่างไร แต่ก็ได้ยินว่าเฉิงเจียวเหนียงยื่นฟ้องกับทางการ แล้วว่าจะขอคำพิพากษาเรื่องสินเดิมอย่างเที่ยงธรรม ฮูหยินรองเฉิงรู้สึกปรีดาทันใด

เช่นนี้ก็จะได้คุยเรื่องสินเดิมใหม่ ทั้งยังไม่ต้องให้บ้านรองอย่างพวกเขาออกหน้า เพียงแต่รอให้ตระกูลโจวกับบ้านใหญ่เป็นนกกระยางสู้กับหอยกาบ ชาวประมงอย่างพวกเขารอรับผลประโยชน์

ส่วนพวกเขาต้องทำเพียงอย่างเดียวก็คือ เอาใจเด็กบ้าคนนี้ให้ดี ทำให้นางฟังพวกเขา

ดังนั้นคืนนี้นางจึงเกลี้ยกล่อมนายรองเฉิงให้มาเยี่ยมเฉิงเจียวเหนียง เพื่อแสดงความโกรธแค้นและความเป็นห่วง อีกหนึ่งสาเหตุคือบอกนางว่าพวกเขาตัดสินใจจะเลือกคู่แต่งงานให้นาง ดังนั้นไม่ต้องกังวลเรื่องที่บ้านใหญ่จัดการเรื่องการแต่งงานให้ ไปทะเลาะกับบ้านใหญ่อย่างสบายใจและอาจหาญได้เลย

แต่ตอนนี้อะไรกัน

พวกเขายังไม่ได้พูดสักคำ ยังไม่บรรลุจุดประสงค์ด้วยซ้ำ ก็ถูกยื่นมีดมาด้วยคำว่าไปเป็นพยานเสียแล้ว ทั้งยังให้พวกเขาไปแทงบ้านใหญ่อย่างแรงอีกด้วย

ไฉนคนที่ก่อเรื่องกลายเป็นพวกเขาไปได้เล่า นะ นี่ไม่ถูกต้องนี่นา…

“เจียว…เจียวเหนียง เรื่องนี้ค่อยๆ ปรึกษากันให้ดีก่อน” นางเอ่ยอย่างตะกุกตะกัก

“เจ้าจะขึ้นศาลจริงๆ หรือ” นายรองเฉิงได้สติกลับมา ทั้งตกใจและโมโห “หญิงที่ยังไม่ได้ออกเรือนต้องขึ้นศาลเพราะเรื่องสินเดิม ไม่ขายหน้าหรืออย่างไร! ยังจะให้พวกเราไปเป็นพยานอีก! เจ้า…”

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็เชิญพวกท่านกลับไปเถิด” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย พร้อมกับโค้งคำนับ

ยังมาขู่บังคับกันอีก! นายรองเฉิงสะบัดแขนเสื้อก่อนจะลุกขึ้น ฮูหยินรองเฉิงรีบเอื้อมมือไปรั้งไว้

“เจียวเหนียง ท่านพ่อเจ้าก็เป็นห่วงชื่อเสียงของเจ้า” นางรีบเอ่ย ก่อนจะรีบเปลี่ยนเป็นเรื่องที่ตนเองต้องการจะพูดในตอนแรก “เจียวเหนียงเอ๋ย วันนี้ที่พวกเราก็เพราะมีเรื่องจะบอกเจ้า…”

“ทุกเรื่องรอให้เรื่องสินเดิมพิพากษาเรียบร้อยก่อนค่อยว่ากัน” เฉิงเจียวเหนียงคำนับอีกครั้งอย่างไม่รีบไม่ร้อน “ดึกมากแล้ว พวกท่านกลับไปพักผ่อนเถิด”

ให้ตาย!

นายรองเฉิงและฮูหยินรองเฉิงมีสีหน้าตกตะลึงอีกครั้ง

“ใช่ ใช่ เรื่องการแต่งงานนั้นมีการแต่งงานที่ดี…” ฮูหยินรองเฉิงรีบร้อนพูดขึ้นจนลิ้นพันกัน

“ไม่มีสินเดิม ก็ไม่มีการแต่งงาน” เฉิงเจียวเหนียงพูดขัดนาง ก่อนจะลุกขึ้น “ข้าจะพักผ่อนแล้ว”

หลังจากเอ่ยจบ ปั้นฉินที่อยู่บนระเบียงทางเดินด้านนอกประตู ก็ร้องบอกให้ส่งนายรองและฮูหยินรองทันที จากนั้นมีผู้ติดตามสองสามคนที่ไม่รู้ว่ายืนในเรือนตั้งแต่เมือใด ก้าวเข้ามาอย่างรีบร้อน

“ทำอะไร ทำอะไร คนชั้นต่ำกล้าผลักข้าหรือ!”

น้ำเสียงแห่งโทสะของนายรองเฉิงดังขึ้นภายในห้อง

“ไม่ต้องผลัก ใครอยากจะอยู่ที่นี่กันเล่า!”

“เจียวเหนียง นี่เป็นการแต่งงานที่ดี…เจ้าฟังข้าพูดก็รู้แล้ว…”

ระหว่างการฉุดกระชากกันนั้น เฉิงเจียวเหนียงไม่ได้ฟังคำพูดของพวกเขา ก่อนจะหันหลังไปตรงหน้าม่านกันลม

ฮูหยินรองเฉิงมีสาวใช้คอยกัน คอยขวางของผู้ติดตามตระกูลโจวที่เข้ามาผลัก นางมองลอดผ่านแขนที่โบกสะบัดและไหล่ที่สั่นไหว ก็เห็นด้านหลังของหญิงสาวคนนั้นยืนอยู่หน้าม่าน ภายใต้แสงสลัวชุดผ้าแพรที่ตกอยู่บนพื้นราวกับผืนน้ำ ส่องประกายราวกับลูกศรขนนกขาวบนโต๊ะมิปาน

ถ้าไม่แสดงความจริงใจ ผลประโยชน์ทั้งหมดจะเป็นของตระกูลโจว!

“พวกเราเป็นพยาน พวกเราเป็นพยาน” ฮูหยินรองเฉิงตะโกน

เมื่อคำพูดนี้เอ่ยออกไป นายรองเฉิงก็มองนางอย่างไม่อยากเชื่อ

ภายในห้องเงียบลง ผู้ติดตามตระกูลโจวที่ตอนแรกดุเยี่ยงเสือ กลับกลายเป็นแกะอันอ่อนโยนในพริบตา ก่อนจะถอยออกไป เฉิงเจียวเหนียงที่อยู่ด้านหน้าม่านบังลมก็หันกลับมา พลางยิ้มบาง

“เชิญนั่ง” นางเอื้อมมือมาเชิญ ทั้งยังมองปั้นฉินที่ยืนอยู่ริมประตู “เอาชามา”

……

ในตอนรุ่งสาง นายใหญ่เฉิงได้ขึ้นรถไปศาลาว่าการแล้ว ซ่งเสียน เจ้าเมืองเจียงโจวอาศัยอยู่ในลานหลังศาลาว่าการ

ซ่งเสียนทำงานในเจียงโจวมาสามปีแล้ว เขาคุ้นเคยกับทุกสิ่งในเจียงโจวเป็นอย่างดี ย่อมมีความสัมพันธ์ที่ดีกับนายใหญ่เฉิง เมื่อมีคำขอพบไป ไม่นานก็มีข้ารับใช้ออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง

ในห้องหนังสือ ซ่งเสียนสวมชุดคลุมยาว มวยผมด้วยปิ่นเงิน เอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้ม

“จงเหวิน วันนี้เจ้ามาได้เวลาพอดี ข้ากำลังลองต้มชาใหม่อยู่พอดีเลย” เขาโบกมือพลางยิ้ม

นายใหญ่เฉิงเองก็ยิ้ม

“มิน่าเล่า ได้กลิ่นหอม แล้วกลิ่นก็ไม่เหมือนยาต้มด้วย” เขาเอ่ย

ทั้งสองจูงแขนกันเข้าไปในห้องหนังสือ บนโต๊ะสั้นวางเครื่องมือชงชาอยู่ ทั้งแขกและเจ้าบ้านนั่งลงก่อนจะคุยกันเรื่องสัพเพเหระครู่หนึ่ง

“จงเหวินมีเรื่องอะไรหรือ” เจ้าเมืองซ่งรินชาพลางยิ้มถาม

หลังจากผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายปี เขาไม่คิดว่านายใหญ่เฉิงจะมาเพราะได้กลิ่นชาของเขา

นายใหญ่เฉิงก็ไม่ได้เอ่ยในทันที ได้แต่ถอนหายใจและจิบชา

“พูดแล้วก็ละอายใจ สุดท้ายแล้วตระกูลของข้าก็โชคร้ายเอง” เขาเอ่ย จากนั้นก็เล่าเรื่องทั้งหมด

“มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ” เจ้าเมืองซ่งได้ยินดังนั้นก็ตกใจอย่างมาก ชาในมือแทบจะหลุดออกจากมือ

เพราะเมื่อวานตกลงกันแล้วว่า ขุนนางจะปิดบังเรื่องนี้ และไม่รู้ว่าผู้ช่วยประมาทเลินเล่อหรือโลภผลกำไรอะไร ไม่ได้มาบอกบอกเจ้าเมืองให้ทราบ

หากขุนนางทุกคนเป็นเหมือนกันหมด ข้อห้ามและสิ่งที่ซ่งเสียนขยะแขยงที่สุดก็คือ การผู้ใต้บังคับบัญชาตัดสินใจด้วยตนเอง ไม่เห็นตนในสายตา สิ่งที่เรียกว่าปล่อยให้ทำคือการที่ข้าอนุญาตให้เจ้าทำ เจ้าถึงจะทำได้ ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าทำ เจ้าทำไม่ได้

“ที่แท้ใต้เท้าไม่รู้เรื่องหรอกหรือ” นายใหญ่เฉิงก็แสดงสีหน้าตกใจเช่นกัน ทั้งยังทำทีเศร้าโศก “ข้าเข้าใจใต้เท้าผิดไปแล้ว ทั้งยังคิดว่าใต้เท้าไม่พอใจข้า หรืออาจจะเป็นเพราะอำนาจของตระกูลโจวยิ่งใหญ่คับฟ้า ใต้เท้าจึงทำอะไรไม่ได้…”

เจ้าเมืองซ่งมีสีหน้าดูไม่ได้มากกว่าเดิม

ตระกูลโจวอยู่ในตำแหน่งกุยเต๋อหลางเจียงในเมืองหลวง ถือเป็นขุนนาง ทว่าแล้วอย่างไร ขุนนางทหารในเมืองหลวงคนเดียว กล้ายื่นมือมาแตะพื้นที่ของเขา ทั้งยังยั่วยุผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาอีก

จะรังแกตำแหน่งเริ่นหม่านเจียงอย่างเขาให้พ้นจากตำแหน่งหรือ คิดจะเป็นศัตรูต่อกันอย่างนั้นหรือ

ยิ่งคิด เจ้าเมืองซ่งก็ยิ่งโกรธ ก่อนจะตบโต๊ะดังปัง

“เกิดอะไรขึ้น ข้าไม่สบาย แต่ข้ายังไม่ตาย!” เขาตะคอก พร้อมกับลุกขึ้น “จงเหวินเจ้ารออยู่นี่ก่อน ข้าจะไปถามให้รู้ความ”

นายใหญ่เฉิงรีบลุกขึ้นคำนับ มองเจ้าเมืองหน้าดำคร่ำเครียดเดินออกไป เขาสะบัดเสื้อ ก่อนจะนั่งลงบนตั่งเล็ก แล้วยกแก้วของตนก่อนจะเริ่มชงชา พลางฮัมเพลงอย่างสบายอกสบายใจ

เหลาส่านโจวเอ๋ย เหลาส่านโจว เจ้าคิดว่าจะให้เด็กบ้าคนนี้แสร้งทำเป็นคนปกติ ก็จะทำให้นางเป็นมีดป้องกันคนทั้งโลกให้แก่เจ้าแล้วหรือ เด็กก็ยังเป็นเด็กอยู่วันยังค่ำ ผู้หญิงนั้นไร้ความรู้ กล้าใช้วิธีเช่นนี้ ผู้ใดจะไปกลัวกัน

วิธีนี้ไม่ได้ไร้ประโยชน์ แต่นางไม่ควรไม่เข้าหาเจ้าเมือง แต่เพียงเรียกร้องและผลักดันขุนนางเท่านั้น มีเสืออยู่บนภูเขาแท้ๆ จะให้ลิงเป็นราชาได้อย่างไร

พวกเขามาหาเจ้าเมืองก่อนหน้านางแล้ว ไม่ว่าจะเรื่องแย่งชิงสมบัติของตระกูล เรื่องลูกฟ้องพ่อ บวกกับความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าเมืองกับตัวเอง คาดว่าพวกเขาจะจับและส่งกลับไปตระกูลเฉิงได้ทันที

มีเพียงผู้ช่วยเจ้าเมืองที่โง่เขลาและโลภมากเท่านั้นที่จะถูกหลอกด้วยชื่อของตระกูลโจว

นายใหญ่เฉิงส่ายหัวและยิ้ม รินชาลงในถ้วย

หากจะบอกว่าชาของเจ้าเมืองไม่เลว แต่ก็ยังแย่กว่าที่เขากินเล็กน้อย หากเรื่องนี้จัดการเรียบร้อยแล้ว จะตัดใจยกให้เขาสักหน่อย เพื่อเปิดวิสัยทัศน์ให้เขาว่าชาที่ดีคืออะไรกันแน่

ปั้นฉินเดินเข้ามาจากด้านนอก ก็เห็นว่าเฉิงเจียวเหนียงกำลังเก็บคันธนู ส่วนจินเกอร์กำลังนับลูกดอกอย่างสุขใจ

“นายหญิง” ปั้นฉินเอ่ย ก่อนจะรับเสื้อคลุมไปคลุมให้เฉิงเจียวเหนียง “เด็กๆ ตรงถนนบอกว่า นายใหญ่ไปพบท่านเจ้าเมืองแล้วเจ้าค่ะ”

เฉิงเจียวเหนียงขานรับในลำคอ ก่อนจะเดินเข้าห้องไป

“พวกเขาบอกว่านายใหญ่สนิทกับท่านเจ้าเมือง” ปั้นฉินเอ่ยอีกครั้ง

“สนิทหรือ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย พร้อมกับคลายเสื้อคลุม “กฏน่าเชื่อถือมากกว่า”

ปั้นฉินอึกอักเล็กน้อย

“นายหญิง พวกเราจะตัดสินใจทำอย่างอื่นอีกครั้งดีไหม” นางเอ่ย “เมื่อครู่คนของตระกูลฉินมาพบข้า บอกว่าขอพบนายหญิงได้ไหม เรื่องที่ฮูหยินรองพูดเมื่อคืนเป็นเรื่องจริง เดิมทีฮูหยินฉินตกลงเรื่องแต่งงานของท่านเรียบร้อยแล้ว…”

เฉิงเจียวเหนียงหัวเราะ

“ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องตัดสินใจอย่างอื่นแล้ว” นางเอ่ย พร้อมกับยิ้มบาง “หากเมื่อวานพวกเฉากุ้ยไม่ได้เข้าคุก พวกเราต้องเปลี่ยนแผน พวกเขาเข้าคุกแล้ว เช่นนั้นก็ไม่เป็นอะไรแล้ว”

ไม่เป็นอะไรแล้วหรือ

เฉิงเจียวเหนียงเอื้อมมือไปสางผม

“ข้าบอกแล้ว ความสัมพันธ์ น้ำใจมนุษย์ ต่างเทียบกับกฏเกณฑ์ไม่ได้ ไม่มีน้ำใจถึงจะน่าเชื่อถือที่สุด” นางเอ่ย หันกลับไปยิ้มให้ปั้นฉิน “ดูจากผลลัพธ์ของเมื่อวานแล้ว ผู้ช่วยเจ้าเมืองคนนี้เป็นคนน่าเชื่อถือ”

ผู้ช่วยเจ้าเมืองน่าเชื่อถือหรือ

ปั้นฉินยังคงไม่เข้าใจ แต่ว่าเราไม่จำเป็นต้องเข้าใจทุกเรื่องบนโลกก็ได้ นางต้องรู้เพียงแค่ว่าตอนนี้กำลังตามผู้ใดอยู่ก็พอแล้ว

มีคนบอกทาง มีคนนำก็เดินต่อไป พยายามตามความสามารถของตน

“นายหญิง ข้าช่วยท่านอาบน้ำเองเจ้าค่ะ” นางเอ่ย

“อะไรนะ เอาออกไปไม่ได้หรือ” พอเจ้าเมืองซ่งได้ยินการรายงานของผู้ใต้บังคับบัญชา ก็ตกใจอย่างมาก ก่อนจะเดือดดาลทันใด

ผู้ช่วยเจ้าเมืองหลี่ผู้นี้ปีกกล้าขาแข็งดังคาด กล้าขัดคำสั่งของตนอย่างโจ่งแจ้ง

“ใต้เท้า ใต้เท้าหลี่บอกว่านอกจากเอาออกไม่ได้แล้ว ยังจะต้องขึ้นศาลอีกขอรับ” ผู้ติดตามคนสนิทเอ่ย

“คดีที่ผิดศีลธรรมแบบนี้จะขึ้นศาลอีกหรือ” เจ้าเมืองซ่งเอ่ยอย่างโกรธเคือง “เจ้าช่างไม้หลี่นั่นกลัวชื่อขุนนางเมืองหลวงจนโง่เขลาไปแล้วหรือ ที่นี่คือเจียงโจว ไม่ใช่เมืองหลวง!”

บรรพบุรุษของผู้ช่วยเจ้าเมืองเป็นช่างไม้ มาจนถึงรุ่นพ่อของเขา ดังนั้นเขาจึงตั้งฉายาลับๆ ว่าลูกช่างไม้ แน่นอนว่าเรียกเช่นนั้นเพราะต้องการดูถูกเหยียดหยาม จะได้ยินก็ต่อเมื่อพูดกันเล่นๆ หรือเขาไม่พอใจผู้ช่วยหลี่เท่านั้น

เจ้าเมืองซ่งเอ่ยชื่อผู้ช่วยหลี่เช่นนี้ แสดงว่าเขาโกรธมากจริงๆ

“ใต้เท้า ผู้ช่วยหลี่บอกว่า เขาเป็นคนที่รับคดีฟ้องร้องสินเดิมของแม่นางเฉิง แต่นี่ไม่ได้ไต่สวนตรงนี้ สิ่งที่ไต่สวนก็คือการทะเลาะวิวาทของพวกเขา” ผู้ติดตามคนสนิทรีบเอ่ย “และผู้ต้องหาก็มอบตัว ดังนั้นควรเรียกผู้เสียหายมาให้การเป็นพยาน”

เป็นเช่นนี้หรือ อย่างนี้ก็ได้หรือ

เจ้าเมืองซ่งขมวดคิ้วและลูบเคราอยู่ครู่หนึ่ง

“เจ้าเล่ห์จริงๆ!” เขาสะบัดแขนเสื้อและยิ้มเย็น “คิดวิธีนี้เพื่อรับคดีแล้วนำไปขึ้นศาล เจ้าช่างไม้ช่างสมกับฉายาช่างไม้เสียจริง ฝีมือปราณีต ขึ้นศาลก็ขึ้นศาล ข้าอยากจะดูว่าคำร้องทุกข์ของตระกูลโจวที่ใช้อำนาจของตนเองยื่นฟ้อง คิดว่าขุนนางของจวนเจียงโจวอย่างข้าจะมีแต่ช่างไม้หรือ”

……………..