แย่แล้ว! เมื่อเกิดคดีเช่นนี้ เกรงว่าทางด้านบ้านรองจะใช้โอกาสนี้ทำอะไรเป็นแน่!
“ข้าไปคงไม่ดีกระมัง”
ยามราตรี ประตูบ้านตระกูลเฉิงถูกเปิดออก สาวใช้สองคนออกมาก่อน จากนั้นจึงจุดไฟ ก่อนจะมีเสียงจากด้านหลังดังขึ้นอย่างกระชั้นชิด
“มีอะไรไม่ดี!” ฮูหยินรองเฉิงเอ่ย พร้อมกับเอื้อมมือมาดันนายรองเฉิงให้ก้าวออกมา “ท่านเป็นพ่อของนาง ท่านไปดูนางถือว่าดีที่สุดแล้ว”
คนกลุ่มหนึ่งเดินออกมา คนรับใช้ทั้งสองข้างหน้าและข้างหลังก็ถือตะเกียงเดินไปทางฝั่งเฉิงใต้
มุมหนึ่งของฝั่งเฉิงใต้สว่างไสวทั้งมีเสียงอึกทึก
“นั่นเป็นที่ที่สร้างบ้าน” ฮูหยินรองชี้ให้นายรองเฉิงดูก่อนจะเอ่ย “ทำงานทั้งวันทั้งคืน อยากจะปล้นเงินทั้งหมดมาให้รู้แล้วรู้รอด”
นายรองเฉิงไม่มีอารมณ์ที่จะสนใจเรื่องนี้ ก่อนจะก้มหน้าลงด้วยความกลัดกลุ้ม
“ข้าไปแล้วข้าก็คุยกับนางไม่ได้” เขาพูด “ข้าไม่มีอะไรจะพูดกับนาง”
“ท่านไม่ต้องพูดหรอก ท่านไปก็ถือว่าได้แสดงเจตนารมณ์แล้ว” ฮูหยินรองเฉิงยิ้มอย่างมีความสุข ขณะเอื้อมมือออกไปและดึงแขนของเขา นางเอนตัวและกระซิบ “ข้ารู้ว่าชายรองดีต่อข้าที่สุด”
แม้จะเป็นเวลากลางคืน นายรองเฉิงก็ตกใจกับท่าทางประเจิดประเจ้อนี้ เขาสะบัดแขนของฮูหยินรองเฉิงออก
ฮูหยินรองเฉิงหัวเราะ เดินตามหลังไปไม่กี่ก้าว
เสียงฝีเท้าเดินในตรอกแคบๆ ที่รกร้าง ปะปนด้วยเสียงเห่าของสุนัข และเสียงร้องของไก่โดยรอบ
“ฮูหยินจะถึงแล้วเจ้าค่ะ” สาวใช้ตรงหน้าหันกลับมาพูด
ทันทีที่พูดจบ ชายคนหนึ่งก็กระโดดออกมาจากข้างหน้า ฮูหยินรองเฉิงกรีดร้องออกมาอย่างไม่ทันตั้งตัว ก่อนจะถอยหลังกลับ
“พวกเจ้าจะทำอะไร” เสียงชายคนหนึ่งร้องตะโกนเสียงแหลมออกมา
ฮูหยินรองเฉิงหน้าซีด ซ่อนอยู่ข้างหลังนายรองเฉิง
คนเหล่านี้เป็นผู้ติดตามทั้งหมดของตระกูลโจวที่ถูกคุมขังไม่ใช่หรือ
“ข้าเอง” นายรองเฉิงตะโกนด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม “พวกเจ้าเป็นใคร”
เหล่าสาวใช้ที่ถอยกลับไป ยกตะเกียงไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญ ก็เห็นเด็กร่างผอมสองคนยืนอยู่ตรงหน้า พวกเขาสวมเสื้อคลุมขาดรุ่งริ่ง เผยให้เห็นข้อมือในฤดูกาลอันหนาวเหน็บเช่นนี้ ใบหน้ามอมแมมกลืนหายไปกับความมืดของยามค่ำคืน
นี่คือเด็กยากไร้จากฝั่งเฉิงใต้!
เหล่าสาวใช้ยืนตัวตรง
“ไปให้พ้น” พวกนางตะโกนอย่างโกรธจัด
เด็กทั้งสองวิ่งออกไปดังคาด
“…มาสองคน พาผู้หญิงสี่คนมา…ไม่มีเจ้านั่น…”
“…มีแค่ผู้ชายคนหนึ่ง…”
พวกเขาตะโกนพลางวิ่งออกไป เสียงแหลมของพวกเขาดังก้องกังวาลในยามราตรี
นายรองเฉิงและพรรคพวกหน้าดำคร่ำเครียด
นี่คืออะไร สายสืบหรือ
ดังคาดหลังจากเสียงตะโกน บ้านเรือนหลังต่ำสองฝากปรากฏเงาของคนหลายคน ลานบ้านของเฉิงเจียวเหนียงที่ท้ายซอยก็มีคนผุดขึ้นมาแถวหนึ่ง
“พวกเจ้าจะทำอะไร” ชายหัวโจกถาม
เหมือนโจรไม่มีผิด! นายรองเฉิงสะบัดแขนเสื้อ เขากำลังจะก้าวเดินไป ฮูหยินรองเฉิงรีบห้ามไว้
“พวกเราเอง” นางพูด
ยามนั้นถึงจะมีคนเห็นจำได้ ในฝูงชนเกิดความโกลาหลเล็กน้อย
“ยังไม่รีบไสหัวไปอีก” นายรองเฉิงเลิกคิ้วพลางตะโกน
ฝูงชนไม่ได้ตอบรับคำหรือหลีกทางให้ ยังคงขวางทางไว้
“นายรอง ท่านมาที่นี่เพื่อมารับนายหญิงใช่ไหม” คนหนึ่งพูด “นายหญิงบอกว่าไม่กลับไป ผู้ใดมารับก็ไม่กลับ”
ฮูหยินรองเฉิงคว้านายรองที่กำลังโกรธอีกครั้ง
“ไม่ ไม่ พวกเราไม่ได้มารับนาง นางอยากจะอยู่ที่ไหนก็ได้หากนางต้องการ” นางยิ้มเอ่ย “พวกเรามาเพื่อจะคุยกับนางเรื่องอื่น”
ฮูหยินรองเฉิงไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งนางจะยิ้มให้คนเหล่านี้ ทั้งยังเป็นรอยยิ้มที่เอาใจอย่างไม่รู้ตัวอีก เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ก็อดยิ้มอย่างหน้าเสียไม่ได้ ในยามกลางคืนเช่นนี้คงไม่มีใครสังเกตเห็นกระมัง
ผู้คนที่อยู่ข้างหน้าดูเหมือนกระซิบกระซาบหารือกัน ยามที่นายรองเฉิงกำลังจะเดือดดาลนั้น ในที่สุดก็มีคนพูดขึ้น
“พวกเราไปขออนุญาตนายหญิงสักครู่” มีคนพูด ก่อนจะหันไป
ลำพังแค่ข้ามาพบลูกสาวก็ขายหน้าพอแล้ว กลับยังต้องรอคำอนุญาตอีก นายรองเฉิงหน้าเขียว ฮูหยินรองเฉิงเอื้อมมือไปดึงแขนเสื้อเขา
“สินเดิม อนาคต” นางกระซิบ
นี่เป็นโอกาสที่ดีสำหรับบ้านรองของพวกเขาในการครอบครองสินสอดทองหมั้นและการแต่งงานเชื่อมความสัมพันธ์ ไม่ใช่แค่กับพวกเขาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงลูกๆ ด้วย
“ท่านอยากให้ซีเกอร์ใช้ชีวิตเหมือนท่าน ที่ต้องยืมจมูกคนอื่นหายใจในวันหน้าหรือ” ฮูหยินรองเฉิงเอ่ยเสียงต่ำ
ลูกชายเป็นแก้วตาดวงใจของนายรองเฉิง สีหน้าอ่อนโยนลงดังคาด
“อย่างนั้นเราไม่ต้องยืมจมูกคนบ้า…นางหายใจ” เขากระซิบ
ฮูหยินรองเฉิงเหลือบมองเขา ทั้งคู่กำลังกระซิบกระซาบกัน ฝูงชนตรงนั้นก็แยกจากกันพอดี
“นายรอง ฮูหยิน นายหญิงเชิญพวกท่านเข้าไปข้างใน”
“ดูสิ สุดท้ายแล้วก็ยังเห็นว่าท่านเป็นพ่อแท้ๆ ไม่พบคนอื่น แต่พบเจ้า” ฮูหยินรองเฉิงเหยียดยิ้ม ก่อนจะเดินนำหน้าไป
หากไม่ใช่พ่อแท้ๆ ตอนนี้ก็คงไม่มีเรื่องวุ่นวายเพียงนี้
ฮูหยินรองเฉิงมองม่านรัตติกาลในคิมหันต์ฤดู ในม่านฟ้ายามราตรีราวกับปรากฏดวงหน้าของหญิงสาวคนหนึ่ง ดูคุ้นเคยทว่าก็แปลกหน้าอยู่ในที
ซวยเสียจริง! ตอนนั้นไม่น่าแต่งกับนางเลย!
เขาพ่นลมหายใจ ก่อนจะเดินตามไป
ด้านในเรือนเล็กแขวนไฟไว้สองด้วง ดวงไฟสั่นไหวไปตามแรงลม ทั้งยังมีเสียงกรุ๊งกริ๊งลอยมา
ฮูหยินรองเฉิงอดหันไปมองอย่างอยากรู้อยากเห็นไม่ได้ ถึงได้เห็นว่าด้านข้างโคมไฟแขวนกระดิ่งลมไว้พวงหนึ่ง
แม้ในยามวิกาลเช่นนี้ก็มิอาจบดบังความเสื่อมโทรมและความคับแคบของเรือนเล็กแห่งนี้
ด้านล่างระเบียงมีสาวใช้คนหนึ่งนั่งอยู่ ก่อนจะโค้งคำนับและเปิดประตูออก
ฮูหยินรองเฉิงละสายตาก่อนจะยกมือเช็ดน้ำตา
“ลูกน้อยที่น่าสงสารของข้าต้องรับกรรมเช่นนี้หรือ” นางสะอื้นพลางเอ่ย พร้อมก้าวเท้าออกไป
นายรองเฉิงปรับสีหน้าก่อนจะเดินเข้าไปเช่นกัน
ในห้องรับแขกอันคับแคบ พอจู่ๆ มีคนสองคนเข้ามาก็ทำให้หาที่ยืนได้ยาก
“อย่าอยู่ที่นี่เลย เหมือนอะไรก็ไม่รู้ ย้ายกลับไป ที่ไหนก็ไม่เหมือนกับที่เจ้า…” นายรองเฉิงเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ขณะเงยหน้า ทันทีที่เงยหน้าเสียงพูดพลันหายไป
ภายใต้แสงไฟอันสลัว ด้านหน้าม่านกันลมขนสัตว์ หญิงสาวสวมเสื้อคลุมยาวผ้าแพรนั่งตัวตรง นัยน์ตาเป็นประกายระยิบระยับไปทั่วทั้งห้อง
นะ…นะ…นี่คือเด็กบ้าคนนั้นหรือ
นายรองเฉิงผงะ ที่แท้เด็กบ้านั่นก็หน้าตาเช่นนี้นี่เอง
มิน่าเล่าตระกูลโจวถึงส่งคนมามากมายเพียงนั้นเพื่อการแต่งงาน!
“ที่บอกว่าจะคุยไม่ใช่เรื่องนี้ไม่ใช่หรือ”
เสียงของหญิงสาวขัดจังหวะนายรองเฉิงที่กำลังเหม่อลอย ความรำคาญที่แฝงมาในน้ำเสียงทำให้นายรองเฉิงไม่สบอารมณ์ทันควัน
ลูกแท้ๆ อย่างนั้นหรือ มีลูกแท้ๆ ที่ไหนพูดกับพ่อเช่นนี้บ้าง
เห็นสีหน้าดูไม่ได้ของนายรองเฉิง ฮูหยินรองเฉิงก็รีบเอ่ยต่อ
“ท่านพ่อของเจ้าสงสารเจ้าน่ะ” นางปาดน้ำตาพลางเอ่ย “เจียวเหนียงเอ๋ย เจ้าดูสิ ให้เจ้าต้องมาอยู่ในที่เช่นนี้…”
“ไม่ต้องเป็นห่วง” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย หยุดหัวข้อนี้ “พวกท่านมาหาข้ามีเรื่องอะไร”
จะพูดคุยเรื่องที่เป็นการเป็นงานยังต้องมีคำพูดพิธีรีตองมาอุ่นเครื่อง ดูกริยาของนางตอนนี้สิ!
นายรองเฉิงชักสีหน้า
“เจ้าฟ้องร้องที่บ้านแล้วหรือ” เขาถาม “เจ้านี่ช่างกล้าเสียจริง!”
เขาเพิ่งพูดจบ เฉิงเจียวเหนียงก็ลุกขึ้น
“ส่งแขก” นางเอ่ย “ข้าจะพักผ่อนแล้ว”
นายรองเฉิงเดือดดาลทันใด ฮูหยินรองเฉิงดึงเขาไว้แน่น
“เจียวเหนียง เจียวเหนียง พวกเราไม่ได้มาว่าเจ้านะ เรื่องนี้พวกเราคิดว่าเจ้าทำถูกแล้ว!” นางเอ่ย
ทำถูกอะไร
สีหน้าของนายรองเฉิงดูไม่ได้เข้าไปกันใหญ่ ต่อให้พวกเขาจะมาที่นี่ด้วยสาเหตุนี้ แต่จะพูดออกไปทั้งอย่างนี้ไม่ได้!
นี่มันเรื่องอะไรกัน ต้องรู้ก่อนว่าคนที่เฉิงเจียวเหนียงฟ้องเป็นพ่อแม่ในตระกูลเฉิง พวกเขาก็เป็นพ่อแม่เช่นกัน บอกว่านางทำถูก นี่ไม่เท่ากับว่าตบหน้าตัวเองหรอกหรือ
“เจ้า…” ในขณะที่เขากำลังจะโมโหฮูหยินรองเฉิงนั้นเอง ฮูหยินรองเฉิงก็ยกมือขึ้นมาตีแขนนางก่อนทีหนึ่ง
“คนในครอบครัวมีอะไรก็พูดกันตรงๆ เจียวเหนียงเหนื่อยแล้ว พูดจบก็รีบกลับไปพักผ่อน” นางเอ่ย พร้อมแฝงคำเตือนอยู่สามส่วน
หากไม่แสดงท่าทีที่ชัดเจนแต่แรก เจ้าเด็กบ้านี่คงจะกล้าไล่พวกเขาออกไปจริงๆ การที่คนรับใช้พวกนั้นกล้าลงไม้ลงมือ นางเจอมากับตัวแล้ว
ดังคาด เมื่อนางเอ่ยประโยคนี้จบ เฉิงเจียวเหนียงก็นั่งตัวตรงอีกครั้ง
“ข้าก็อยากปรึกษาเรื่องวิธีการพูด” นางเอ่ย ทั้งยังยิ้มบางๆ
ฮูหยินรองเฉิงสะบัดนายรองเฉิงอย่างดีใจ แล้วยิ้มพยักหน้าตาม
“ใช่ ใช่ ควรปรึกษาการเรื่องวิธีการพูด” นางเอ่ย
“ตอนนั้นพวกท่านสัญญาแล้วว่าตอนที่ข้าออกเรือนไม่ต้องมีสินเดิมใช่ไหม” เฉิงเจียวเหนียงถาม
“นะ นั่นต่างเป็นสิ่งที่พวกเขาสัญญา ตระกูลเป็นคนพูด พ่อเจ้าคงคัดค้านอันใดไม่ได้หรอก” ฮูหยินรองเฉิงรีบพูด
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า
“เช่นนั้นตอนที่ทางการถาม พวกท่านเป็นพยานให้ได้ไหม” นางถาม
อะไรนะ
เป็นพยานหรือ!
ฮูหยินรองเฉิงผงะไป นายรองเฉิงก็ชะงักเช่นกัน