เมื่อตกกลางกลางคืน เรื่องยื่นคำฟ้องก็ได้รับการยืนยัน พ่อบ้านยังเชิญขุนนางที่มีความสัมพันธ์อันดีต่อตระกูลเฉิงมาด้วยหนึ่งคน เพื่อให้มาอธิบายเรื่องราวที่แท้จริงอย่างละเอียด

“ได้รับคำฟ้องแล้ว ข้าเองก็ดูแล้วเช่นกัน ไม่มีข้อผิดพลาดใดๆ คนที่นามว่าเฉิงเจียวเหนียง เป็นลูกสาวตระกูลเจ้าใช่ไหม” เขาถาม

เจียวเหนียง ก็ใช่น่ะสิ

“เป็นชื่อที่ตระกูลโจวตั้งให้” ฮูหยินใหญ่เฉิงพึมพำ

เจียวเจียวร์ ตอนนั้นนางยังหัวเราะอยู่เลยที่พวกเขาตั้งชื่อให้คนบ้า พอมาดูตอนนี้ ก็ไม่ใช่เจียวเจียวร์ของตระกูลโจวหรอกหรือ โหดร้ายต่อพวกเขามากกว่าตระกูลโจวในตอนนั้นเสียอีก วันนี้ตระกูลโจวจะต้องแอบหัวเราะเยาะอยู่ด้านหลังกระมัง

กล้ายื่นฟ้องต่อทางการ! กล้าขอให้ทางการตัดสินเรื่องสินเดิม!

เรื่องการร้องขอให้ทางการพิพากษาคดี ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับคนตระกูลเฉิง หลายปีมานี้ต้องทะเลาะกับตระกูลโจว เอ่ยถึงการฟ้องร้องไม่ใช่ครั้งแรก นายใหญ่เฉิงก็เคยพูด นายใหญ่โจวก็เคยพูดถึง ทว่าก็เป็นเพียงแค่พูดเท่านั้น ไม่มีใครทำเรื่องให้ใหญ่จนถึงทางการจริงๆ สักครั้ง

ทะเลาะกันเพราะเรื่องทรัพย์สมบัติของตระกูล วุ่นวายจนเรื่องถึงทางการ ไม่ว่าจะพูดถึงหน้าตาหรือตัวตน ต่างไม่ใช่เรื่องดีทั้งนั้น

เหี้ยมโหดเฉกเช่นตระกูลโจวยังทำได้เพียงแค่พูดเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าเจ้าเด็กสติไม่สมประกอบคนนี้ยื่นคำฟ้องต่อทางการโดยไม่เอ่ยอะไรสักคำ!

นางช่างกล้าก่อเรื่องเสียจริง! หญิงชั่ว!

นายใหญ่เฉิงตบโต๊ะทีหนึ่ง

“นางเป็นคนบ้า กล้ายืนฟ้อง สาลาว่าการเมืองเจียงโจวก็บ้ารับอย่างนั้นหรือ” เขาตะคอก “คนอกตัญญูที่กล้าฟ้องร้องผู้ใหญ่เช่นนี้ สมควรเฆี่ยนตีแล้วไม่ใช่หรือ”

ขุนนางผู้น้อยส่ายหัวด้วยสีหน้าสงสัยเต็มประดา

“ตามหลักแล้วก็ไม่ควร ทว่าเจี๋ยทุยผู้ช่วยเจ้าเมืองรับไว้แล้ว ไม่รู้ว่าเขาคิดอย่างไรเช่นกัน” เขาเอ่ย

“คิดอย่างไรหรือ เช่นนั้นก็ไม่ได้รับแค่คำฟ้องร้องแล้วละ” เขาเอ่ย เขารู้ถึงพฤติกรรมอันเลวทรามของเหล่าขุนนางเป็นอย่างดี

รับเงินคน ช่วยคนปลดทุกข์ แต่กลับมีคนนับหน้าถือตา

เพียงแต่ต้องดูด้วยว่าเงินใดที่รับได้ ความทุกข์ยากใดที่ควรให้ช่วยเหลือ

“เจ้าเมืองปล่อยให้เรื่องเป็นไปเช่นนี้โดยไม่สนใจอะไรเลยหรือ ข้าจะไปถามเขาให้รู้เรื่อง!” เขาลุกพรวดพลางเอ่ย

“สองสามวันนี้ใต้เท้าเจ้าเมืองไม่สบาย พักรักษาตัวอยู่ ดังนั้นเรื่องพวกนี้ต่างจัดการโดยลูกน้อง” ขุนนางเอ่ย พร้อมกับเข้าใกล้พลางกดเสียงต่ำ “เขาไม่รู้เรื่องนี้ด้วยซ้ำ นายใหญ่เฉิง ตอนนี้ฟ้าก็มืดแล้ว รอไปพรุ่งนี้ตั้งแต่เช้าตรู่ดีกว่า ยิ่งปิดบังใต้เท้านานเท่าไหร่ ท่านก็จะโกรธมากยิ่งขึ้น”

ใต้เท้าเจ้าเมืองยิ่งโกรธมากขึ้นเท่าใด ผู้ช่วยเจ้าเมืองที่คิดเองเออเองก็จะยิ่งดวงซวยเท่านั้น

นายใหญ่เฉิงกลับไปนั่ง ก่อนจะพ่นลมหายใจแล้วพยักหน้า พร้อมกับส่งสัญญาณให้พ่อบ้าน

พ่อบ้านกุลีกุจอยื่นซองแดงไปให้

“เอาไปดื่มชาเถิด เป็นค่าที่ให้ท่านลำบากมาถึงที่นี่” เขาเอ่ย

ขุนนางก็ไม่ได้พิธีรีตองอะไร แสร้งทำเป็นปฏิเสธสองสามคำแต่ก็รับไว้ มองด้วยหางตาแวบหนึ่ง แม้จะเดาแล้วว่าเงินดื่มชาต้องไม่น้อยเป็นแน่ ทว่าเมื่อเห็นจำนวนแล้วก็ยังคงดีใจ

สมกับเป็นตระกูลเฉิง ช่างร่ำรวยเหลือเกิน…

“ใต้เท้าโปรดวางใจ เป็นเพราะเด็กก่อเรื่องวุ่นวาย ทั้งยังมีบางคนที่เลอะเลือน ทำตัววุ่นวายตาม ในเมื่อเป็นการก่อเรื่องวุ่นวายเช่นนี้ ก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไร” เขาเอ่ยยิ้ม พร้อมกับลุกออกไป

นายใหญ่เฉิงพยักหน้า ก่อนจะให้พ่อบ้านไปส่งเขา

“นายใหญ่ ฮูหยิน กินอะไรก่อนเถิด”

เหล่าสาวใช้เข้ามา ก่อนจะเกลี้ยกล่อมอย่างระมัดระวัง

อาหารบนโต๊ะจัดวางอย่างเรียบร้อยอยู่ครู่หนึ่งแล้ว

นายใหญ่เฉิงโบกมือ ฮูหยินใหญ่เฉิงก็ไม่มีอารมณ์กิน ไม่ว่าจะเป็นบทสวดมนต์หรือพระคัมภีร์ก็ไม่สนใจจะท่องแล้ว

“พรุ่งนี้เจ้าไปบ้านตระกูลหวัง รีบจัดการทะเบียนสมรสให้เรียบร้อย ดูฤกษ์ให้ดี รีบแต่งออกไปให้เร็วที่สุด อยากจะไปหาเรื่องใครก็ปล่อยนาง” นายใหญ่เฉิงเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์

ฮูหยินใหญ่เฉิงพยักหน้า ทั้งมีท่าทีไม่พอใจเป็นอย่างมาก

“อยากจะไปหาเรื่องใครก็ปล่อยนางหมายความว่าอย่างไร มีสิทธิ์อะไรมาทำร้ายตระกูลแม่ของข้า” นางก็เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์เช่นกัน

“เช่นนั้นก็ได้ ไปหาเรื่องตระกูลอื่นเถิด บ้านน้องรองยังรอข้าอยู่”

นายใหญ่เฉิงก็เอ่ยอย่างไม่เกรงใจ

ฮูหยินใหญ่เฉิงร้องไห้ด้วยความโกรธในทันใด

“นี่ข้าต้องการอะไรกันแน่ ทำให้ทั้งคนในและคนนอกโกรธเคืองไปหมด” นางร่ำไห้พลางเอ่ย

ยามเห็นฮูหยินใหญ่เฉิงร้องไห้ นายเฉิงก็รู้สึกอึดอัดเช่นกัน เขาก็ไม่อยากจะระบายโทสะกับฮูหยินใหญ่เฉิง แต่ไฟบางอย่างนั้นแผดเผาเขาอยู่ในใจจริงๆ

“ข้าป่วยอยู่ ก็ยังวิ่งไปนู่นมานี่ กินไม่ได้ นอนไม่หลับ ยังต้องมาฟังท่านพูดเช่นนี้ ท่านแม่บ่นข้า พี่น้องเกลียดข้า ข้าก็ยังทนได้ เพียงแต่ท่าน เหตุใดท่านถึงทำกับข้าเช่นนี้!”

ยิ่งฮูหยินใหญ่เฉิงพูดเท่าไร ก็ยิ่งรู้สึกเสียใจ ฟุบลงกับโต๊ะก่อนจะคร่ำครวญออกมาเสียงดัง

เหตุใดชีวิตถึงกลายเป็นเช่นนี้ได้ นางไปทำกรรมอะไรไว้!

นายใหญ่เฉิงก็ไม่รู้ว่าเขาอารมณ์เสียอะไรออกไป ทว่าชายมิอาจก้มหัวยอมรับผิดต่อหน้าหญิง

“ข้าก็ไม่ได้ว่าอะไรเจ้านี่” เขาเอ่ยอย่างกลัดกลุ้ม “เจ้าร้องไห้อะไร”

“นี่เรียกว่าไม่ได้ว่าหรือ คำพูดในใจท่านทำร้ายจิตใจมากกว่าที่พูดออกมาเสียอีก” ฮูหยินใหญ่เฉิงเอ่ยพลางร่ำไห้

ดูสิ ไม่ควรไปใส่ใจจริงๆ ด้วย มิฉะนั้นยิ่งพูดก็ยิ่งบานปลาย

“ไปรับเด็กบ้านั่นกลับมาก่อนค่อยว่าเรื่องอื่นเถิด” นายใหญ่เฉิงรีบเปลี่ยนเรื่อง พร้อมกับใช้โอกาสนี้เดินออกประตูไปเรียกพ่อบ้าน

พ่อบ้านไปส่งแขกเรียบร้อยแล้ว พอได้ยินเสียงเรียกจึงรีบวิ่งเข้ามา

“เมื่อครู่พวกเจ้ามัวแต่สนใจเรื่องการฟ้องร้อง จนลืมไปรับนางแล้วใช่ไหม รีบไปรับนางตอนฟ้ามืด” นายใหญ่เฉิงเอ่ย

สีหน้าของพ่อบ้านดูกระอักกระอ่วน

“นายใหญ่ ตอนนั้นไม่ได้ลืม รับมาแล้ว ทว่าพากลับมาไม่ได้ขอรับ” เขาเอ่ย

“พวกเจ้าไปรับตั้งหลายคน แต่พากลับมาไม่ได้เลยหรือ พวกตระกูลโจวก็เข้าคุกไปแล้วไม่ใช่หรือ คนบ้าหนึ่งคนกับสาวใช้อีกหนึ่งนาง ต่อให้ยิงธนูเป็น เพียงสองมือก็ยากจะต้านทานสี่มือ แต่พวกเจ้าไร้ประโยชน์ขนาดนี้เชียวหรือ” นายใหญ่เฉิงเอ่ยอย่างเดือดดาล

เดิมทีก็ไม่ได้คิดว่าลูกน้องของตนเองจะโง่เขลาได้เพียงนี้ ทำการค้า บริหารตระกูลและทำสิ่งต่างๆ ต่างก็อยู่ในอันดับต้นๆ ของเจียงโจว เหตุใดตอนนี้กลายเป็นสวะได้ในชั่วข้ามคืนเช่นนี้เล่า

“ไม่ใช่ขอรับนายใหญ่ แม้คนเหล่านั้นจะไม่อยู่แล้ว แต่คนจากฝั่งเฉิงใต้มาขวางเราเอาไว้ เข้าไปไม่ได้เลยขอรับ” พ่อบ้านเอ่ย

คนของฝั่งเฉิงใต้

“บังอาจนัก! ยังไม่ได้คิดบัญชีเรื่องที่มาหลอกลวงทรัพย์สินของลูกสาวข้าเลย กลับกล้ามาข่มขู่ลูกสาวข้าอีก!” นายใหญ่เฉิงทั้งตกใจทั้งโกรธเคือง

บังอาจมาก เป็นอะไรไปกันหมดแต่ละคน! บ้าไปแล้วหรือ

“ใครก็ได้เข้ามาที ใครก็ได้เข้ามาที!” เขาตะโกนก่อนจะก้าวเท้าออกไปข้างนอก “ข้าไม่เชื่อหรอก ว่าพวกเขาจะกล้าขวางข้า”

พ่อบ้านรั้งเขาไว้ก่อน

“นายใหญ่ นายใหญ่จะไปบังคับนางมาไม่ได้นะขอรับ” เขาเอ่ย “คนของฝั่งเฉิงใต้มั่นอกมั่นใจว่าแม่นางไม่อยากไป เป็นแม่นางเองที่ให้พวกเขาทำเช่นนี้ หากเป็นยามอื่นอาจจะคิดว่าพวกเขาใช้ข้ออ้างนี้ในการแย่งตัวแม่นาง ทว่าตอนนี้แม่นางฟ้องร้องพวกเราแล้ว หากไปก่อเรื่องในเวลานี้ เกรงว่าถึงเวลาจะยิ่งแก้ตัวไม่ขึ้น ในเมื่อคนมากเท่าไร ก็พูดต่อกันไปมากเท่านั้น…”

“มีอะไรที่แก้ตัวไม่ได้! ข้าไม่ได้ทำเรื่องไม่ดี จะต้องกลัวนางด้วยหรือ” นายใหญ่เฉิงถลึงตาเอ่ย ทั้งยังไม่หยุดเดิน

“นายใหญ่ ความประพฤติของท่านย่อมไม่ต้องกลัวใครมาพูด ทว่าหลายวันมานี้ตระกูลของเราเกิดเรื่องวุ่นวายมามากแล้ว มนุษย์ช่างโง่เขลา ทั้งยังชอบทำให้เรื่องราวใหญ่โต พูดต่อกันสามคนจากข่าวลือก็กลายเป็นเรื่องจริงได้…” พ่อบ้านรีบเอ่ย

นายใหญ่เฉิงมองเขา

“เหตุในยามนี้เจ้าถึงได้ฉลาดนักเล่า” เขาเอ่ย ก่อนจะสะบัดแขนเสื้อ “เกลี้ยกล่อมข้าได้เป็นตุเป็นตะ เหตุใดพอเจอกับคนตระกูลโจวกลายเป็นใบ้ไปได้”

พ่อบ้านยิ้มเจื่อน

จะเหมือนกันได้อย่างไร เผชิญหน้ากับทางนั้นมีแต่จะเจอกับคันธนู กระบอง อ้าปากจะพูดก็ดูท่าทางมีแต่จะเจ็บตัวเลือดตกยางออก ใช่ว่าจะสบายเหมือนตอนนี้

“นายใหญ่ ท่านเป็นคนมีเหตุผล คนของตระกูลโจวเหล่านั้นและแม่นางต่างไม่ใช้เหตุผล” เขาเอ่ยพร้อมหัวเราะตาม “นายใหญ่ท่านอย่ากังวลเลย หากนางจะสร้างความวุ่นวาย พวกเราไม่วุ่นวายตาม นางเป็นเด็กไม่รู้เรื่องรู้ราว แต่พวกเราจะไม่รู้เรื่องรู้ราวเช่นนั้นไม่ได้ ปล่อยทิ้งไว้เช่นนั้น ดูว่านางจะทำอย่างไร อาจจะรู้นักว่ายามออกเรือนก็จะออกจากฝั่งนั้นหรือ”

ออกเรือน!

นายใหญ่เฉิงชะงักฝีเท้า หัวใจที่นิ่งสงบลงพลันเต้นแรงขึ้น