ด้วยความตกใจจากเหตุการณ์เมื่อวาน ฮูหยินใหญ่เฉิงนอนไม่หลับ ถือคัมภีร์ไท่ผิงท่องอยู่ที่หอไตรตลอดทั้งคืน เช้าวันนี้นางนั่งรถไปกราบพระที่วัดเสวียนเมี่ยว แม้จะเสียดายเล็กน้อยที่ไม่พบกับเจ้าอาวาสซุน แต่นางรู้สึกดีขึ้นมาก

ยามกลับถึงบ้านก็เลยเวลาของมื้อกลางวันไปแล้ว

“…ไม่ต้องทำแล้ว ต้มอะไรให้ข้าดื่มสักหน่อย ข้ากินเสร็จแล้วจะนอนพัก แล้วค่อยกินพร้อมมือเย็นทีเดียวเลย”

ฮูหยินใหญ่เฉิงเดินไปสั่งแม่นม

แม่นมขานตอบ

ทันทีที่เดินเข้าไปในลานบ้าน ก็เห็นแม่นมสองคนยกโต๊ะไม้เดินออกมา

นี่เพิ่งเปลี่ยนไปเมื่อวานนี้เอง ฮูหยินใหญ่เฉิงตกตะลึง

“เป็นอะไรหรือ” นางถาม

“นายท่านบอกว่าโต๊ะไม่ค่อยดี ให้ข้าไปเลือกที่คลังมาใหม่เจ้าค่ะ” แม่นมก้มศีรษะตอบ

ฮูหยินใหญ่เฉิงขมวดคิ้ว มองออกว่านางกำลังปิดปังอะไรอยู่ นางถอนหายใจ โบกมือหยุดถาม แล้วเดินเข้าห้องโถงไป

นายใหญ่เฉิงยังคงเดินไปมาภายในห้องโถง ทั้งยังมีคราบชาหลงเหลืออยู่บนพื้น

เรื่องของเมื่อวานนี้ ทำให้เขาโกรธมากจริงๆ

หนีออกไปใช้ชีวิตตามลำพังอย่างดื้อรั้น นำเงินติดตัวไปด้วย ทั้งยังจะสร้างบ้านอีก ทำตัวอกตัญญูเช่นนี้ต่อหน้าผู้คน รวมถึงฝั่งของบ้านนายรองด้วย ตระกูลเราช่างโชคร้ายเสียจริง!

ฮูหยินใหญ่เฉิงถอนหายใจ แต่เนื่องด้วยมีผู้บำเพ็ญพรตคอยปกปักษ์คุ้มครอง วันนี้นางจึงสงบนิ่งนัก

“นายใหญ่ ช่างมันเถิด อย่าโกรธไปเลย” นางก้าวไปข้างหน้าแล้วพูด “นางอยากก่อเรื่องก็ให้นางทำไป เงินทิ้งไปแล้วก็ทิ้งไป บ้านก็ให้นางสร้างตามใจชอบ ทุกคนมองเห็นว่าเราปฏิบัติต่อนางเช่นไร คำวิจารณ์เหล่านี้ประเดี๋ยวก็หายไปเอง”

จะก่อเรื่องอะไรได้อีก

ไม่พูดถึงก็ดีแล้ว ยิ่งพูดถึงยิ่งโมโหหนักขึ้นไปอีก

“นางจะก่อเรื่องอะไรได้อีกอย่างนั้นหรือ เจ้าประเมินนางต่ำไปแล้ว! ” เขาเอ่ย ทว่ากำลังจะพูดต่อก็มีคนวิ่งเข้ามาจากนอกประตู

“นายใหญ่ นายใหญ่”

ฮูหยินใหญ่เฉิงเองก็หันไปมองอย่างประหลาดใจ

เหตุใดผู้ดูแลร้านและบ้านสวนทั้งหลายถึงมาเอาป่านนี้

“ฮูหยินขอรับ” พวกเขาหลายคนรีบหยุดเดินแล้วคำนับ

ฮูหยินใหญ่เฉิงสบตากับคนทั้งสองแล้วส่งยิ้มบาง

“เหตุใดพวกเจ้าทั้งสองมาหาข้าถึงที่นี่ ไม่ต้องรีบไปส่งสมุดบัญชีรายรับให้กับน้องสะใภ้รองหรอกหรือ” นางเอ่ย

ผู้ดูแลบ้านสวนทั้งสองคนก้มใบหน้าอันแดงก่ำลง

“ฮูหยิน เกิดเรื่องแล้ว…” พวกเขาพูดตะกุกตะกัก

“เกิดเรื่องอะไร” ฮูหยินใหญ่เฉิงขัดจังหวะพวกเขาก่อนจะหัวเราะออกมา “พอเกิดเรื่องถึงจะมาหาพวกข้าอย่างนั้นหรือ ยามไม่มีปัญหาก็ไปประจบคนอื่นอย่างนั้นหรือ”

“ไม่ต้องแบ่งเราแบ่งเขาแล้ว จะอย่างไรก็คนบ้านเดียวกัน และบัดนี้จะกลายเป็นของคนอื่นไปแล้ว! ยังจะมาบ่นอะไรอีก! ”นายใหญ่เฉิงตะโกน

ฮูหยินใหญ่เฉิงถึงกับตกใจ

“เป็นอย่างไรบ้าง คนถูกมัดแล้วหรือไม่ ให้ตีปางตายแล้วค่อยส่งเข้าเมืองหลวง” นายใหญ่เฉิงถามโดยไม่สนใจนางอีกต่อไป

หลินจิ่วก้มศีรษะ

“ยัง ยังขอรับ” เขาตอบ

นายใหญ่เฉิงหน้าบึ้งตึงด้วยความโกรธ

“เจ้าพวกสวะ! พวกเจ้าตั้งหลายคนสู้คนนอกเพียงไม่กี่คนไม่ไหวรึ! ” เขาเอ่ยพร้อมกับเดินออกไป “ช่างไร้ประโยชน์สิ้นดี พึ่งอะไรพวกเจ้าไม่ได้เลย ข้าจะไปเอง! ”

ทุกคนรีบห้ามไว้

“นายท่าน พวกเขาไปที่ศาลาว่าการแล้วขอรับ” หลินจิ่วเอ่ย

ศาลาว่าการหรือ

“พวกเขาทำผิดก่อนยังกล้าไปร้องทุกข์อีกหรือ” นายใหญ่เฉิงตะโกนอย่างเกรี้ยวโกรธ

“ไม่ ไม่ พวกเขาไปมอบตัวขอรับ” หลินจิ่วตอบอย่างกระอักกระอ่วน

มอบตัวหรือ

นายใหญ่เฉิงตกตะลึงไม่น้อย

มอบตัวด้วยความผิดอะไร

ขณะเดียวกัน เจี๋ยตู้ทุยกวน[1]เมืองเจียงโจวก็จนใจเช่นกัน

“พวกเจ้าต้องการมอบตัวหรือ” เขาถาม ก่อนจะมองนามบัตรบนโต๊ะไม้อีกครั้งอย่างอดไม่ได้

เมื่อครู่มีขุนนางหนุ่มส่งนามบัตรเข้ามา บอกว่ามีคนต้องการร้องทุกข์ ด้านบนเขียนว่ากุยเต๋อหลางแห่งตระกูลโจว ทุยกวนที่เพิ่งจะได้รับตำแหน่งเมื่อปีก่อนเช่นเขาก็ตื่นตระหนกจนรีบลุกขึ้นต้อนรับ

กุยเต๋อหลางเป็นนายทหารแต่ก็เป็นขุนนางในเมืองหลวงด้วย มาร้องทุกข์เช่นนี้ คงมีเรื่องที่เจียงโจวเป็นแน่

ขุนนางอาวุโสที่อยู่ด้านข้างรั้งเขาไว้

“ใต้เท้าไม่อย่าได้ตื่นตระหนกไป กุยเต๋อหลางไม่ใช่คนแปลกหน้าของเมืองเจียงโจวเรา” เขายิ้มเอ่ย “ไม่มีเรื่องอันใดหรอก น่าจะทะเลาะกันเองในบ้านเสียมากกว่า”

พร้อมกับเล่าประวัติความเป็นมาของตระกูลโจวและตระกูลเฉิงให้ฟัง

“ในงานศพแม่นางของตระกูลโจวตอนนั้น ตระกูลโจวและตระกูลเฉิงทะเลาะกันใหญ่โต ต่างฝ่ายต่างอยากให้ทางการตัดสิน แต่เรื่องเช่นนี้จะให้ทางการตัดสินได้เช่นไร จึงทำได้เพียงไม่รู้ไม่เห็นเท่านั้น” ขุนนางอาวุโสพูด

ทุยกวนพยักหน้าก่อนจะถอนหายใจด้วยความโล่งอก

“ดูเหมือนว่าคราวนี้คงมีเรื่องอีกแล้วเป็นแน่ ประเดี๋ยวใต้เท้าก็เออออไปตามน้ำก็พอแล้ว” ขุนนางอาวุโสพูดต่อ

คิดไม่ถึงเลยว่ายามตระกูลโจวเข้ามา กลับไม่ได้วางหมาดหรือบีบบังคับเรียกร้องขอความเป็นธรรมจากพวกเขา แต่กลับบอกว่าพวกตนทุบตีคนมา เรียกร้องให้ลงโทษพวกเขา

มาไม้อ่อน เรียกคะแนนความสงสารหรือ

ทุยกวนและขุนนางอาวุโสสบตากัน

“ดังคำกล่าวที่ว่าบุตรไม่พึงกล่าวถึงความผิดของบิดา แม้ว่าท่านพ่อจะเป็นฝ่ายผิด ก็ไม่ควรชวนทะเลาะ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการลงมือทุบตีเลย แต่ครั้งนี้พวกเราต่อสู้เพื่อแย่งชิงสินเดิมของแม่นางน้อยคืน เดิมทีควรพูดจาตกลงกันดีๆ หรือไม่ก็ให้ทางการเป็นผู้ตัดสิน แต่พวกเรากลับหุนหันพลันแล่น ทำร้ายผู้อื่นก่อน” พ่อบ้านเฉายืนอยู่ในห้องโถงด้วยท่าทางเคร่งขรึม ไม่ได้มีการวางมาดเย่อหยิ่งอย่างคนเมืองหลวงแม้แต่น้อย แต่กลับอ่อนน้อมถ่อมตนพร้อมกับคำนับ “ในฐานะบ่าวรับใช้ การกระทำของเราในสายตาคนนอก ก็คือการกระทำของนายหญิง หากจะครหากันแช่นนั้นย่อมไม่ยุติธรรมต่อนายหญิง พวกเรากระทำความผิด จึงอยากจะขอให้ใต้เท้าลงโทษพวกเรา”

เป็นเช่นนี้หรือ

ทุยกวนสับสน แต่ขุนนางอาวุโสที่อยู่ด้านข้างหรี่ตาราวกับว่าเข้าใจความหมายในคำพูดอยู่เล็กน้อย แต่ก็ยังไม่แน่ใจ

“ในเมื่อพวกเจ้าสำนึกผิด และเป็นเรื่องในครอบครัว ข้าจะไม่ยุ่ง พวกเจ้าสองตระกูลตัดสินกันเองเถิด” ทุยกวนเอ่ย

พ่อบ้านเฉาโค้งคำนับ

“ในเมื่อทำผิดก็ต้องได้รับโทษ เช่นเดียวกันหากไม่ผิดก็ต้องต่อสู้” เขาเอ่ย

“พวกเจ้าต้องการอะไร” ผู้ช่วยขมวดคิ้วถาม

“นายหญิงข้าอยากจะขอให้ทางการพิจารณาสินเดิมของมารดานางขอรับ” พ่อบ้านเฉาเงยหน้าพูด

ทุยกวนนั่งเหยียดหลังตรงด้วยความประหลาดใจ ในที่สุดขุนนางอาวุโสที่นั่งอยู่ข้างกันก็คลายสงสัยในทันที เพื่อแย่งชิงสินเดิมให้กับแม่นางน้อย! ทว่าคราวนี้มิใช่ถกเถียงเพื่อแย่งชิง แต่พวกเขาต้องให้ทางการตัดสินคดีแบ่งสินเดิม

“บุตรไม่พึงกล่าวถึงความผิดของบิดา แต่ในฐานะลูกกลับฟ้องร้องพ่อของตน ถือว่ามีความผิดโทษฐานอกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ ทว่ายามนี้พวกข้าหมดสิ้นหนทางแล้วขอรับ” พ่อบ้านเฉาเอ่ยพร้อมกับคำนับอีกครั้ง “ใต้เท้าได้โปรดลงโทษด้วยเถิด”

ระหว่างที่คำนับอยู่นั่น เขายื่นกระดาษหนึ่งแผ่นออกไปข้างหน้า

เมื่อเห็นกระดาษที่ยื่นมา ทุยกวนและขุนนางอาวุโสหรี่ตาลง

พวกเขาฝึกฝนมาช้านานจนสายตาเฉียบแหลม จึงรู้ในทันทีว่านี่คือตั๋วเงิน

หากลูกฟ้องพ่อ ทางการคงไม่รับเรื่องเป็นแน่ สู้กันซึ้งๆ หน้าถือว่าเบามาก แต่ถ้าเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินของตระกูล ยังมีโอกาสที่จะเจรจา

สำหรับการเจรจาทั้งหมด ก็อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของทางการ

ทุยกวนมองไปยังชายที่นั่งคุกเข่าคำนับอยู่ ก่อนจะค่อยมองเงินที่ยื่นมาให้ และเข้าใจทุกอย่างในทันที

มิได้มารับผิดจริงๆ แต่มาเสียเงินร้องทุกข์!

แต่ว่าจะรับหรือไม่รับดี เพราะตระกูลเฉิงเป็นตระกูลใหญ่ในเมืองเจียงโจว และฝั่งทางบ้านของภรรยาเอกก็ร่ำรวยนัก ส่วนนายรองเฉิงยังเป็นขุนนางรับราชการด้วย

แม้ตระกูลโจวจะเป็นขุนนางในเมืองหลวง แต่ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าตระกูลเฉิงเลย เพียงแต่ประการแรก ที่นี่อยู่ไกลจากเมืองหลวงนัก ประการที่สอง เรื่องที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินของตระกูล ราชสำนักมักยึดถือในหลักความกตัญญู และรังเกียจการทะเลาะวิวาทภายในครอบครัวโดยเฉพาะพ่อกับลูกมากที่สุด…

“นายหญิงของข้ากำลังจะออกเรือน มารดาเสียชีวิตไปนานแล้ว ไม่สามารถส่งตัวลูกสาวได้ด้วยตัวเอง จึงอยากให้ทุกคนได้เห็นสินเดิมที่ท่านแม่ของนางเอาทิ้งไว้ ให้โลกรู้ว่าท่านแม่รักนางมากเพียงใด แต่ผู้ใหญ่ของตระกูลกลับครอบครองสินเดิมเหล่านี้เสียเอง นายหญิงรู้สึกเสียใจมากจริงๆ ” พ่อบ้านเฉาพูดขึ้นอีกครั้ง

พูดเสียสวยหรู แต่สุดท้ายก็ทำเพื่อเงินอยู่ดี…

ทุยกวนนิ่งเงียบพลางขมวดคิ้วครุ่นคิด ส่วนขุนนางอาวุโสดวงตากระพริบ

“ก็ไม่ใช่ว่าโลภมากในเงินทอง เพียงแต่ต้องการเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับมารดาก็เท่านั้น” พ่อบ้านเฉาพูดเสริมอีกครั้ง

ยามคำนั้นเอ่ยออกมา สายตาของทุยกวนและขุนนางอาวุโสไม่กะพริบอีกต่อไป แต่กลับเปล่งประกายขึ้นมาแทน

พ่อบ้านเฉาไม่ได้มองสีหน้าหรือท่าทางของสองคนนี้เลย เขาก้มศีรษะอย่างนอบน้อม หลังจากพูดจบ ก็หยิบกระดาษอีกหลายแผ่นออกมา

“นี่คือรายการสินเดิมและเอกสารของตระกูลโจวเรา ใต้เท้าได้โปรดตรวจสอบหาความจริงด้วย”

“นายท่าน นายท่าน”

พ่อบ้านของตระกูลเฉิงวิ่งเข้ามาอย่างตื่นตระหนก ด้วยความที่เร่งรีบจึงไม่มีทันได้จัดหมวกที่เอียงกระเท่เร่

“เป็นอย่างไรบ้าง ถามจนได้ความแล้วหรือไม่” นายใหญ่เฉิงลุกขึ้นยืนและรีบถาม

ฮูหยินใหญ่เฉิงที่นั่งคุกเข่าถือคัมภีร์ไท่ผิงสวดมนต์อยู่หน้าโต๊ะไม้ก็หยุดสวดอย่างร้อนใจ แอบฟังการสนทนาอยู่อีกฟากหนึ่ง

“ถามจนได้ความแล้วขอรับ” พ่อบ้านถอนหายใจเอ่ย “ไปศาลาว่าการแล้วจริงๆ โดนจับขังคุกแล้วขอรับ…”

นายใหญ่เฉิงนั่งลงด้วยท่าทางที่แปลกไป

“พวกเขาบ้าไปแล้วหรือ” เขาถาม

พ่อบ้านส่ายหน้า

“นายท่าน พวกเขาไม่ได้บ้า พวกเขาฟ้องร้องพวกเราขอรับ” เขารีบพูดต่อ “ขุนนางหนุ่มที่ห้องขังแอบบอกกับข้าว่าคนของตระกูลโจวพูดว่าแม่นางเฉิงยื่นร้องทุกข์ ต้องการฟ้องร้องตระกูลเราในข้อหาครอบครองทรัพย์สินของแม่นาง และขอให้ทางการตรวจสอบเพื่อให้ความเป็นธรรมขอรับ! ”

ว่าอย่างไรนะ ยื่นร้องทุกข์! เชิญทางการตัดสินเรื่องสินเดิมอย่างนั้นหรือ!

นายใหญ่เฉิงนั่งลงแทบไม่เชื่อสิ่งที่เกิดขึ้น

ฮูหยินใหญ่เฉิงที่อยู่ในห้องก็นั่งลงเช่นกัน นางมองดูคัมภีร์ในมือ รู้สึกว่าสวดต่อก็ไม่ช่วยให้ใจสงบลง

จะก่อเรื่องอะไรอีก ยามนี้ปานปลายไปถึงเรื่องสินเดิมแล้ว นางจะหนีออกจากบ้านหรือใช้เงินหมื่นก้วนเป็นว่าเล่นก็เทียบกับเรื่องนี้ไม่ได้เลย

แม้แต้เทพเซียนก็รั้งเด็กบ้าคนนี้ไว้ไม่อยู่แล้วหรือ

………………………..

[1] เจี๋ยตู้ทุยกวน เรียกโดยย่อว่าทุยกวน ตำแหน่งขุนนางท้องถิ่น มีหน้าที่ด้านกฎหมาย ทำสำนวนคดีและพิพากษาคดี