ในยามนี้หากจะมีปากเสียงกับตระกูลเฉิงก็ดี วิวาทก็ดี ก็เป็นเรื่องในครอบครัว ในเมื่อเป็นเรื่องครอบครัวก็ต้องใช้กฎของตระกูล กฎของจารีต กฎของกลุ่มชนมาตัดสิน แต่หากว่าถึงขั้นมาศาลาว่าการแล้ว ย่อมไม่ใช่แค่เรื่องในครอบครัวอีกต่อไป
แน่นอนว่าพ่อบ้านเฉาไม่คิดว่านายหญิงจะโง่เขลาจริงๆ นางมีคุณธรรม หากทำร้ายผู้อื่นพวกเขาก็จักต้องเข้าคุก
หากว่าตัดสินกันเช่นนั้นจริงๆ นางคงตายไปแล้วไม่รู้กี่หน
“นายหญิง ท่านจะทำให้เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่หรือ” พ่อบ้านเฉาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้น
เฉิงเจียวเหนียงหัวเราะพลางพยักหน้าให้
“ข้าแค่กลัวว่าเรื่องจะใหญ่ไม่พอเสียมากกว่า” นางเอ่ย
ปั้นฉินที่อยู่ข้างกายว้าวุ่นใจ ครั้งล่าสุดที่ได้ฟังคำพูดเช่นนี้เมื่อไหร่กันนะ
“ถ้าเช่นนั้น ความหมายของนายหญิงต้องการทำให้เรื่องนี้เป็นใหญ่ใช่หรือไม่”
“ไม่ว่าเรื่องใด หากพูดต่อหน้าพูดคนได้ ก็ไม่มีอะไรน่ากลัว”
พ่อบ้านเฉาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงพยักหน้า
เข้าคุกแล้วจะกลัวอะไร ลองนึกถึงเหล่าชายจากเรือนไท่ผิงนั่นสิ ถูกจับตัวเข้าคุกไปยังออกมาได้อย่างปลอดภัย ยิ่งไม่ต้องพูดถึง หากนายหญิงเป็นคนบอกให้เขาไปมอบตัวเองเช่นนี้ นายหญิงไม่ได้ให้พวกเขาเข้าคุก เพียงแค่เข้าไปอยู่ในคุกเฉยๆ อย่างแน่นอน
“ข้าเข้าใจแล้ว นายหญิงโปรดสั่งมาได้เลย” เขาเอ่ย
…
หลังออกมาจากเรือนของเจียวเหนียง พ่อบ้านเฉากลับไม่ได้ไปที่ศาลาว่าการในทันที เขาเรียกผู้ติดตามทั้งหมดมาพบ เหลือไว้เพียงคนที่ไม่ได้ไปอาละวาดถล่มร้าน จากนั้นก็พากันมายังด้านหลังที่ดินที่จะปลูกเรือน
เสียงคนพูดคุยกันดังเซ็งแซ่ท่ามกลางแสงอาทิตย์แผดเผา เหล่าชายหนุ่มต่างวุ่นวายกับการเก็บกวาด พวกผู้หญิงตั้งหม้อตั้งเตาต้มน้ำทำกับข้าว เหล่าเด็กเล็กก็วิ่งเล่นไปมาอย่างครื้นเครงตามประสา
พอเห็นพ่อบ้านเฉาเข้ามา เฉิงจี้และคนอื่นๆ ก็เข้ามาต้อนรับในทันที
“ท่านเฉามีอะไรให้รับใช้หรือขอรับ” เฉิงจี้เอ่ยถาม
“ไม่เชิงเป็นคำสั่งหรอก” พ่อบ้านเฉาเอ่ย สีหน้าเคร่งขรึม
นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นเขามีสีหน้าเช่นนี้ เฉิงจี้และคนอื่นๆ กระวนกระวายในใจ
“ข้าอยากจะไหว้วานพวกเจ้าสักเรื่อง” พอพ่อบ้านเฉาเห็นสีหน้าทุกคนเคร่งขรึมขึ้นมาจึงเอ่ยต่อ
ไหว้วานอย่างนั้นหรือ…
คำนี้ทำให้คนที่ได้ยินรู้สึกประหลาดใจอยู่ไม่น้อย
คิดไม่ถึงเลยว่าคนอย่างพวกเขาน่ะหรือจะมีคนมาไหว้วาน อีกทั้งยังเป็นผู้มีตำแหน่งสูงมาไหว้วานอีก
“ท่านเฉามีสิ่งใดก็พูดมาเลยขอรับ มิต้องเกรงใจ” เฉิงจี้เอ่ย
พ่อบ้านเฉาถอนหายใจก่อนจะพูดออกมา เสียงถอนหายใจนั้นทำเอาคนรอบกายรู้สึกกังวลใจขึ้นมากันอีกครั้ง
“เรื่องของนายหญิงข้า พวกเจ้าคงจะพอรู้มาบ้าง” เขาเอ่ย
ตระกูลเฉิงให้กำเนิดเด็กบ้า แน่นอนว่าใครๆ ก็รู้ดี
“ในส่วนรายละเอียดเป็นอย่างไรนั้นข้าก็จะไม่พูดตั้งแต่ต้นจนจบให้เสียเวลา เอาเป็นว่าเรื่องมันมีอยู่ว่า” พ่อบ้านเฉาเอ่ย “นายหญิงข้าอยู่บ้านไม่ยอมพบใคร ก็ไม่ได้กลัวว่าพวกเจ้าจะหัวเราะเยาะ แต่ครั้งนี้นายหญิงข้าถูกไล่ออกมาแล้วจริงๆ ”
ทุกคน ณ ที่นั้นเข้าใจในทันที นั่นสินะ รู้แต่แรกแล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นเรื่องสร้างบ้านก็ยังไม่แน่นอนอย่างนั้นหรือ จะไม่รักษาคำพูดหรือ
“ดังนั้นนายหญิงข้าจึงอยากจะสร้างบ้านของตน จะได้ไม่ต้องถูกขับไล่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า” พ่อบ้านเฉาเอ่ย สายตามองไปยังทุกคนตรงหน้า “นางแซ่เฉิง ยังจะไปไหนได้อีกเล่า ทางนั้นก็ไม่ต้องการ ก็เหลือเพียงที่นี่แล้ว โชคดีที่ทุกคนล้วนเป็นสายเลือดเดียวกัน”
“เด็กที่ไม่มีแม่ช่างน่าสงสารนัก…”
“นายหญิงก็ไม่ได้บ้า…ยามนี้ไม่ใช่ว่าหายดีแล้วหรือ…”
“หายดีแล้วมีประโยชน์อะไร ไม่ได้อยู่ด้วยตั้งแต่เล็กจนโต จะมีความสุขได้เช่นไร…”
รอบข้างมีเสียงถกเถียงกันขึ้นมา
“ดังนั้นพวกเจ้าวางใจเถิด เงินสร้างบ้านนี้เป็นเงินของตระกูลท่านตาท่านยายของนายหญิง” พ่อบ้านเฉาเอ่ย “ก็เป็นที่พึ่งให้นาง สร้างบ้านที่นี่ ให้พวกเจ้ามาเป็นเพื่อนบ้านรอบๆ ย่อมดีกว่าไประเหเร่ร่อนอยู่ข้างนอก”
ที่แท้ก็เป็นเงินของตระกูลโจวนี่เอง
ทุกคนจึงโล่งอกและคลายความสงสัยไป
หลายครั้งที่นายใหญ่โจวมาชวนทะเลาะ คนทางนี้กลับไม่รู้สึกแปลกหน้ากับตระกูลโจว ทั้งยังมีความทรงจำที่ไม่อาจลืมเลือน พวกเขารู้ว่าตระกูลโจวร่ำรวย ปีนั้นสินสอดของฮูหยินโจววนรอบเมืองเจียงโจวได้สามรอบ พวกเขารู้ว่าตระกูลโจวโหดเหี้ยมนัก ตอนงานพิธีศพของฮูหยินโจวก็ทะเลาะกับตระกูลเฉิงยกใหญ่
ที่แท้ทั้งหมดนี้เป็นฝีมือตระกูลโจวผู้ร่ำรวยและแสนเหี้ยมโหด
“ข้าก็พูดคร่าวๆ เพียงเท่านี้ ตอนนี้เกิดเรื่องขึ้นนิดหน่อย เดิมทีไม่ควรจะต้องมารบกวนทุกท่านเลย” พ่อบ้านเฉาเอ่ยต่อ
“ท่านเฉาพูดจาเสียเหินห่าง” เฉิงจี้รีบเอ่ยทันที
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว รบกวนที่ไหนกัน มาให้พวกเราช่วยนั้นแปลว่าท่านเห็นความสำคัญของพวกเราต่างหาก…” คนรอบตัวรีบพยักหน้ารับกันยกใหญ่
รอให้ทุกคนพูดเอ่ยขานตอบอยู่ครู่หนึ่ง พ่อบ้านเฉาถึงจะพูดต่อ
“เพราะว่าทะเลาะกับตระกูลเฉิงจนไม่มีความสุข แถมนายหญิงข้าก็จะออกเรือนแล้วด้วย ดังนั้นเพื่อวันหน้า นางจึงอยากนำสินเดิมของฮูหยินโจวติดตัวไปนี่ ทำเช่นนี้ไม่เรียกว่าเกินไปใช่หรือไม่” เขาเอ่ย
ทำเกินไปอย่างไร! นี่มันเป็นการร้องขอที่สมเหตุสมผลที่สุดแล้ว คนที่อยู่ตรงนั้นต่างพากันพยักหน้า
พ่อบ้านเฉาถอนหายใจ
“ทว่าเพราะเรื่องนี้อีกนั่นแล พวกเราถึงได้ทะเลาะกับตระกูลเฉิงอีกครั้ง พวกเราโกรธจึงพลั้งลงไม้ลงมือไป ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด ทำร้ายคนแล้วก็ต้องได้รับโทษ นายหญิงให้พวกข้าไปมอบตัวที่ศาลาว่าการ ประเดี๋ยวพวกข้าก็จะไปแล้ว เป็นห่วงก็แต่นายหญิง นางไม่อยากกลับไปอยู่กับตระกูลเฉิง ทั้งยังเป็นเพียงหญิงสาวอ่อนแอผู้หนึ่ง หากถูกมัดตัวไปก็คงขัดขืนอะไรไม่ได้ ดังนั้นอยากฝากฝังทุกท่าน หากเป็นไปได้ ช่วยดูแลนางให้ด้วย ตัวข้าพ่อบ้านเฉาอยู่ที่นี่ ขอขอบคุณทุกท่านแทนฮูหยินโจวและเหล่าฮูหยินโจว” เขาเอ่ยจบในคราเดียว พูดจบก็โค้งคำนับอย่างนอบน้อมแล้วกลับออกไป
เมื่อครู่นี้เขาพูดจาอย่างเนิบนาบ พูดหนึ่งประโยคก็หยุดพักชั่วครู่ ไม่คิดว่าครั้งนี้จะไม่พักหายใจก็พูดออกมามากมายเพียงนี้ พอเห็นพ่อบ้านเฉาและคนอื่นๆ เดินออกไปแล้ว ทันใดนั้นก็โกลาหลขึ้นมา คนที่ฟังเข้าใจก็รีบตามไป คนที่ฟังไม่เข้าใจก็ดึงคนอื่นมาถาม บอกกันปากต่อปากใส่สีตีไข่จนแพร่ไปทั่ว
“เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร จะเป็นไปได้อย่างไร! ” เฉิงจี้พาคนไล่ตามไป โน้มน้าวด้วยสีหน้าร้อนรน! “ท่านเฉา ท่านซื่อตรงเกินไปแล้ว จะไปมอบตัวทำไมกัน!”
พ่อบ้านเฉาเพียงแต่พยักหน้า
“ฝากทุกท่านช่วยดูแลนายหญิงด้วย” เขาเอ่ยอย่างอ่อนน้อมและไม่ได้พูดคำใดต่อ ก่อนพากันเดินออกไปพร้อมกันอีกสี่คน
สุดท้ายความพยายามของเฉิงจี้และพวกพ้องก็ไร้ผล
คนทางนี้ยังคงถกเถียงกันอย่างวุ่นวาย
“เอาละ พวกเราจะทำเช่นไรดี” เฉิงจี้ส่งสัญญาณให้ทุกคนเงียบก่อนจะเอ่ยถามขึ้น
ณ ที่นั้นเงียบชั่วขณะ แม้กระทั่งช่างฝีมือที่กำลังทำงานอยู่ยังหยุดลง แม้จะเป็นตระกูลเฉิงแต่พวกเขากลับไม่ได้เข้ามาฟัง แต่เท่านี้ฟังเมื่อครู่ก็พอจะรู้ได้ว่าเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น แต่ที่พวกเขาสนมากกว่าคือบ้านพวกนี้ยังสร้างอยู่หรือไม่ มีเงินจ่ายหรือเปล่ามากกว่า…
“ในเมื่อท่านเฉาเห็นความสำคัญของพวกเรา พวกเราก็รับคำไหว้วานของเขาไว้เถิด”
ไม่รู้ว่าผู้ใดเป็นคนพูดขึ้นก่อน
คำพูดนี้พอพูดออกไปคนมากมายก็เห็นด้วย
“ไม่ต้องกลัวหรอก ไม่ได้ทำผิดเสียหน่อย”
“น่าสงสารนัก…”
“ถึงจะเป็ยตระกูลเศรษฐีร่ำรวย แต่ความจริงแล้วลำบากกว่าพวกเรานัก…”
ยิ่งพูดเสียงยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ จินเกอร์ที่นั่งดูช่างฝีมือทำงานอยู่ด้านข้าง จู่ๆ ก็กอดท่อนไม้ขึ้นมาแล้ววิ่งออกไป
“จินเกอร์ เจ้าจะไปไหน” เฉิงจี้รีบถามเสียงดัง
“ข้าจะไปปกป้องนายหญิงของข้า ใครก็ห้ามมารังแกนาง! ”
จินเกอร์พูดทิ้งท้ายก่อนจะออกไปในทันที
คำพูดนี้ก็เหมือนกับเทน้ำลงในหม้อน้ำมันเดือดปุดที่พร้อมจะระเบิดขึ้นมาในทันที
“ใช่แล้ว พวกข้าจะปกป้องนางเอง! ”
“ช่างน่าสงสารจริงๆ มีเพียงแค่สาวใช้คนเดียวคอยปรนนิบัติ ซักล้างปัดกวาดจะทำไหวหรือ หากนางไม่รังเกียจพวกเราไปช่วยกันเถิด…”
ระหว่างที่พูดกันอยู่นั้นก็มีทั้งหญิงชายวิ่งตามจินเกอร์ไปทีละคนสองคน เพิ่งมาถึงหน้าประตูเรือนของเฉิงเจียวเหนียง ก็พบกลุ่มคนท่าทางเหี้ยมโหดกำลังกรูกันเข้ามา
“คนตระกูลโจวออกมาพบข้าให้หมด!” พวกเขาตะโกนเรียก “ทำผิดแล้วยังกล้าก่อเรื่องทุบตีคนที่เมืองเจียงโจวของพวกข้าอีก! ”
ที่แท้ก็มาหาเรื่องนี่เอง! คนฝั่งเฉิงใต้รู้สึกเหมือนกระทะน้ำมันที่เติมไฟเข้าไป ไม่รู้ว่าผู้ใดเป็นคนนำหน้ามาขวางประตูเรือนของเฉิงเจียวเหนียงไว้ แต่พอมีคนนำก็มีคนเบียดเสียดพากันมายืนเรียงราย
“พวกเจ้าจะทำอะไร” พวกเขาตะโกนขึ้น
จู่ๆ ก็มีคนมากมายมาขวางไว้ ทำเอาคนกลุ่มนั้นตกใจไม่น้อยเช่นกัน
“พวกเจ้าจะทำอะไร” หลินจิ่วขมวดคิ้วตะโกนถาม ในฐานะที่เป็นหัวหน้าผู้ดูแลของการค้าของฝั่งเฉิงเหนือ แน่นอนว่าเขาย่อมรู้จักฝั่งเฉิงใต้ ทว่ารู้จักเพียงชื่อ ส่วนคนของฝั่งเฉิงใต้นั่น…ใครจะไปสนใจกันเล่า
“ถอยไป ถอยไป อย่ายุ่งเรื่องของคนอื่นให้มากนัก” เขาเอ่ย
“พวกเจ้าจะทำอะไร” คนด้านหน้าไม่ยอมหลีกทางให้ แต่กลับมีคนมากมายร้องตะโกนถามขึ้นมาแทน
“พวกข้ามาหาคนตระกูลโจว ไม่เกี่ยวกับพวกเจ้า หลีกไปซะ” หลินจิ่วเอ่ยเสียงดังอย่างโมโห
ถูกคนตระกูลโจวทุบตีก็โชคร้ายพอแล้ว แล้วยังต้องมารับความโกรธจากคนชั้นล่างพวกนี้อีกหรือ
“เจ้าต่างหากที่ต้องไสหัวไป!”
“นี่มันถิ่นของข้า! ”
พอสิ้นเสียงนั้นก็มีเสียงดังกระหึ่มตามมา
หลินจิ่วและพรรคพวกสะดุ้งตกใจ
คนพวกนี้บ้าไปแล้วหรือ
“พวกเจ้าจะทำอะไร! เกี่ยวอะไรกับพวกเจ้า! ” หลินจิ่วตะโกนขึ้น
“พวกเจ้ามาก่อเรื่องหน้าประตูบ้านนายหญิงก็เป็นเรื่องของพวกข้า! รีบไปซะ! รีบไปซะ! ” มีคนออกมายืนชี้หน้าตะโกนใส่หลินจิ่ว “เขาก็ไปรับโทษที่ศาลาว่าการแล้ว พวกเจ้าคิดจะทำสิ่งใดอีก! ตกลงใครผิดใครถูกกันแน่ ก็มิใช่เรื่องที่พวกเจ้าจะมาตัดสินเอง ให้ศาลาว่าการเป็นผู้ตัดสิน! ”
ศาลาว่าการหรือ ศาลาว่าการ!
พวกหลินจิ่วชะงักไป คนของตระกูลโจวยอมไปรับโทษที่ศาลาว่าการแล้วหรือ
พวกเขาเสียสติไปแล้วหรือ
เป็นเรื่องจริงหรือนี่
เขาเหลือบตามองไปรอบๆ ไม่เห็นคนของตระกูลโจวแล้วจริงๆ …
ในเมื่อคนของตระกูลโจวไม่อยู่แล้ว เช่นนั้นไปจัดการธุระอีกเรื่องก่อนดีกว่า
“ทุกท่าน ทุกท่าน พักเรื่องคนตระกูลโจวไว้ก่อน พวกเรามาเพื่อรับนายหญิงกลับไป พวกเจ้ารีบถอยออกไป” พ่อบ้านของตระกูลเฉิงก้าวออกมาพูด
คนหน้าประตูไม่ยอมถอยแต่กลับก้าวไปข้างหน้า
“นายหญิงบอกว่าหากอยากจะกลับก็จะกลับไปเอง ตอนนี้นางไม่ได้บอกว่าอยากกลับ พวกเจ้าก็อย่าได้มารับตัวนางไป” มีคนเอ่ยขึ้นมา
พ่อบ้านตระกูลเฉิงตาเบิกโพลง
คนฝั่งเฉิงใต้คงบ้าไปแล้วจริงๆ รู้หรือไม่ว่าตนกำลังพูดอะไรอยู่
อันที่จริงพวกเขาก็ไม่รู้เหมือนกันตนเองทำหรือพูดอะไรออกไป เฉิงจี้ที่ยืนอยู่ด้านหลัง สีหน้าสับสน มองดูเหตุการณ์ตรงหน้า
พ่อบ้านเฉาแห่งตระกูลโจวผู้นี้ไม่ธรรมดาจริงๆ ใช้แผนการหลอกล่อชักเข้าชักออกได้ยอดเยี่ยมนัก อีกทั้งยังใช้ทำพูดสั้นๆ ไม่กี่ประโยคก็ปั่นหัวพวกเขาได้แล้ว
มอบตัวรับโทษ ท่าทีนอบน้อม แสร้งว่าอดทนต่อไปอีกไม่ไหว เรียกร้องความเห็นใจ หลังจากนั้นก็ขอความช่วยเหลือ พอได้เป็นผู้ให้แล้วจึงได้รู้ว่าอิ่มเอมใจเสียยิ่งกว่ายามเป็นผู้รับ
ใช้เงินทอง บ้านเรือน วัตถุสิ่งของยั่วยวน เพื่อแสดงจิตวิญญาณความยิ่งใหญ่ของตระกูลโจว และซื้อใจของผู้คน ให้ทุกคนได้รู้ว่าพวกเขานั้นคือผู้ที่เหนือกว่า
ผู้ที่เหนือกว่าก็ย่อมเป็นผู้ที่เหนือกว่า แม้จะแสดงความอ่อนแอออกมาก็ไม่ได้ทำให้ความแข็งแกร่งนั้นสั่นคลอน แต่ยิ่งจะทำให้คนอดรนทนไม่ไหวอยากจะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือผู้แข็งแกร่งที่ตกยาก เพราะไม่เพียงแต่จะได้ความอิ่มเอมใจ แต่เพราะหวังว่าจะได้รับบางสิ่งตอบแทนที่คอยเย้ายวน
เฉิงจี้ส่ายหัวพลางยิ้มออกมา ดังนั้นในโลกนี้ไม่มีโชคดีที่ตกลงมาจากฟากฟ้าหรอก ถ้าอยากจะได้ก็ต้องทุ่มเท สุดท้ายรอดูว่าความทุ่มเทนี้มันคุ้มค่าหรือไม่
เขามองยังกลุ่มคนที่ประจันหน้ากันอยู่ ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึก
เอาก็เอาวะ!
“ทุกท่าน ทุกท่าน โปรดฟังข้าพูดก่อน” เฉิงจี้ตะโกนขึ้น พลางก้าวเท้าขึ้นมาข้างหน้า
……………..