เป็นเวลาห้าปีแล้วที่หลินจิ่วเป็นผู้ดูแลร้านผ้าซื่อจี้ชุนในเมืองเจียงโจว ร้านผ้าซื่อจี้ชุนเป็นประธานสมาคมร้านขายผ้าของเมืองเจียงโจว สถานะผู้ดูแลร้านของเขาจึงไม่อาจมองข้ามได้
เมื่อยามพระอาทิตย์ขึ้น หลินจิ่วรออนุภรรยาปรนนิบัติเปลี่ยนชุดให้ในบ้านหลังใหม่ที่เขาเพิ่งซื้อเมื่อปีที่แล้ว ก่อนจะขี่ม้าที่บ่าวลากมาไว้ไปที่ร้านขายผ้า
ยามนี้เขาเข้าใจการค้าในร้านขายผ้าเป็นอย่างดี จึงสามารถไปที่ร้านขายผ้าในทุกๆ เจ็ดหรือแปดวัน เพื่อเรียกดูสมุดบัญชี ตรวจผ้า และนั่งจิบน้ำชากับพ่อบ้าน ใช้ชีวิตได้อย่างอิสระและสบายใจ
วันนี้เป็นวันที่เขาไปยังร้านขายผ้า ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากบ้านเขานัก แต่หลินจิ่วผู้ถือตน ไม่อาจเดินเท้าไปเองได้ ขี่ม้าไปไม่นานก็มองเห็นเรือนสีสันสวยงามและธงหลากสีของร้านผ้าซื่อจี้ชุน แม้จะเป็นช่วงฤดูหนาวก็ยังดูโดดเด่นเช่นเคย
แต่วันนี้แตกต่างจากทุกครั้ง กลับไม่มีแขกเดินเข้าออกร้านเลย
“ไม่ใช่ว่าเพิ่งนำเข้าผ้าชั้นดีมาไม่กี่วันก่อนหรอกหรือ” เขาขมวดคิ้วถามอย่างอดไม่ได้
บ่าวที่จูงม้าอยู่ด้านข้างพยักหน้า
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว ตระกูลหวังนำมาจากทางเรือขอรับ” เขาเอ่ย “ส่งข่าวออกไปก็นานแล้ว ต้องมีคนแย่งกันซื้ออย่างแน่นอน”
แต่ที่เห็นในตอนนี้เหมือนการแย่งกันซื้อที่ไหนเล่า
หลินจิ่วขมวดคิ้ว พอม้าขี่มาถึงหน้าประตูก็ยิ่งรู้สึกผิดปกติ ไม่ใช่แค่รกร้าง สู้บอกว่ายังไม่ได้เปิดประตูจะเหมาะเสียกว่า
ประตูสีดำเงาหกบาน มีเพียงสี่บานที่เปิดอยู่ ไร้ร่องลอยของบ่าวที่ยืนต้อนรับข้างประตู
ฝนไม่ตก ลมไม่พัด เหตุใดถึงไม่เปิดประตู! เสียเวลาทำมาค้าขาย แถมผู้คนอาจคาดเดากันไปต่างๆ นานา พาลให้ร้านเสื่อมเสียชื่อเสียงได้
หลินจิ่วพลิกตัวลงจากรถม้าแล้วเดินเข้าไปในห้องโถงอย่างขุ่นเคือง ทว่าเขากลับต้องผงะ
ในห้องโถงใช่ว่าไร้คน แต่กลับมีผู้คนมากมาย
ขณะนี้มีชายคนหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่บนแคร่ไม้เล็กที่ตั้งไว้สำหรับแขก ชายร่างสูงสี่คนรายล้อม และมีพ่อบ้านพร้อมกับบ่าวของซื่อจี้ชุนอีกสี่คนยืนอยู่ด้านข้าง สีหน้าดูลนลาน
นี่มาหาเรื่องกันหรือ กล้าดีอย่างไรถึงมาหาเรื่องถึงที่ร้านซื่อจี้ชุน ไม่รู้ว่าร้านนี้เป็นของผู้ใดหรือ
“เจ้าเป็นผู้ดูแลร้านหรือ”
ชายที่นั่งอยู่มองเขาอย่างไม่ไม่แยแส ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
สำเนียงต่างถิ่น! ถึงว่าละ หลินจิ่วยิ้มออกมา
“ใช่ ข้าน้อยเอง” เขาเอ่ย “ไม่ทราบว่าท่านมีอะไรให้ข้ารับใช้หรือ”
“ข้าไม่ใช่แขก แต่เป็นหัวหน้าของเจ้า” พ่อบ้านเฉาวางขาลงแล้วนั่งหลังตรง มองหลินจิ่วด้วยรอยยิ้ม
“ข้าแค่จะมาบอกเจ้าว่าไม่ต้องมาทำงานแล้ว นับจากวันนี้ไป จะเปลี่ยนผู้ดูแลร้านของซื่อจี้ชุน”
หัวหน้าหรือ จะเปลี่ยนผู้ดูร้านของซื่อจี้ชุนหรือ
ทันทีที่คำพูดนี้เปล่งออกมา ผู้คนที่อยู่ตรงนั้นก็พากันตกใจ พวกเขาหูเพี้ยนไปใช่หรือไม่
พ่อบ้านเฉากวาดมองผู้คนที่ยืนอยู่ด้านหน้าแล้วชี้ไปที่หนึ่งในนั้น
“เจ้า เจ้าแล้วกัน” เขาเอ่ย “เมื่อครู่เจ้าบอกว่าเป็นพ่อบ้านของที่นี่ใช่ไหม”
ชายคนนั้นพยักหน้าด้วยความงุนงง
“ใช่ ข้าน้อยเอง”
พ่อบ้านเฉาพยักหน้า
“ตอนนี้เจ้าไม่ใช่แล้ว แต่เป็นผู้ดูแลร้านคนใหม่” เขาเอ่ย
คนที่อยู่ในเหตุการณ์ตกตะลึงอีกครั้ง
คนบ้านี่มาจากที่ไหนกัน พูดล้อเล่นใช่หรือไม่
“นายท่าน ออกจากร้านนี้แล้วเดินไปตามถนนแล้วเลี้ยวซ้าย จะเจอกับร้านหรูอวิ๋น” หลินจิ่วยิ้มเอ่ย ทำท่าชี้นิ้ว
“เป็นอย่างไร” พ่อบ้านเฉามองมาที่เขาแล้วถาม
“ท่านไม่ใช่นักเล่านิทานหรอกหรือ ที่นั่นคือสถานที่ที่ท่านควรไป” หลินจิ่วยิ้มเอ่ย
น่าขันสิ้นดี หลายคนกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่
พ่อบ้านก็หัวเราะลั่น ตบหนังสือสัญญาในมือลงบนโต๊ะไม้ด้วยรอยยิ้ม
“ข้าคือคนของญาติตระกูลเฉิงจากตระกูลโจว ข้ามาเรียกเก็บสินเดิมตามคำสั่งลูกสาวคนโตของนายรองเฉิง” เขาเอ่ย “เจ้าว่าข้ามาผิดที่อย่างนั้นหรือ”
คนของตระกูลโจว!
ลูกสาวคนโตของนายรองเฉิง!
ผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์เลิกตกใจ แต่กลับรู้สึกหวาดผวาแทน
นี่ไม่ใช่เรื่องตลก! แผ่นหลังของหลินจิ่วเย็นวาบขึ้นทันที
เขารู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้นกับร้านแห่งนี้ และนับตั้งแต่ปีที่แล้ว เกิดคลื่นใต้น้ำล้อมรอบร้านแห่งนี้อยู่หลายระลอก ทั้งจริงบ้าง ไม่จริงบ้าง ทั้งจากตระกูลโจว จากตระกูลเฉิง รวมถึงจากภายในตระกูลเฉิงเอง…
เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นจากที่มาของร้านแห่งนี้ นี่คือสินเดิมของนายหญิง สินเดิมของนายหญิงเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของนายหญิง นอกจากตัวนางเอง ลูกๆ เท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์ครอบครอง
นี่เป็นเหตุผลว่าเหตุใดแผ่นหลังของหลินจิ่งถึงเย็นวาบหลังจากได้ยินคำว่าตระกูลโจวและลูกสาวคนโตของนายรองเฉิง เพราะเขารู้ว่าตนไม่มีผู้ใดหนุนหลัง
แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะยอมแพ้ทันทีหลังจากได้ยินคำพูดเพียงประโยคเดียว มิหนำซ้ำลูกสาวคนโตของนายรองเฉิงยังเป็นคนบ้าอีกด้วย
“นี่ นี่ยังไม่ได้รับอนุญาตจากนายใหญ่ พวกเจ้าบังอาจมา…” หลินจิ่วตะโกน ทว่าไม่ทันได้พูดจบ พ่อบ้านเฉาที่อยู่ด้านหน้าใช้มือคว่ำแคร่ ลุกขึ้นยืนแล้วยกเท้าถีบไปที่เขา
หลินจิ่วไม่ทันระวังตัวถูกถีบจนกระแทกกับโต๊ะต้อนรับที่อยู่ตรงข้าม เขาร้องเสียงหลง
“ลองดูว่าข้ากล้าไหม! ” พ่อบ้านเฉาเอ่ยอย่างขุ่นเคือง ยืนหลังตรงแล้วสะบัดเสื้อ
พ่อบ้านเฉาถีบส่งผู้ดูแลของร้านสองแห่งและบ้านสวนสองหลังด้วยเท้าคู่นี้ ก่อนจะเลือกผู้ดูแลคนใหม่จากคนที่ท่าทางดูซื้อบื้อ
ผู้ดูแลบ้านสวนหลังสุดท้ายร้องไห้เดินเข้าประตูเรือนตระกูลเฉิงมา นายใหญ่เฉิงถึงกับโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ
“หุบปาก! หยุดร้องไห้ได้แล้ว! ”
เขาชี้หน้าแล้วตะโกนใส่ผู้ดูแลคนนั้น
ผู้ดูแลอ้าปากค้างต้องกลืนเสียงร้องกลับ มองไปยังคนทั้งสามที่นั่งอยู่ในห้อง จมูกและดวงตาแดงก่ำ ดูเหมือนนายท่านจะรำคาญเสียงร้องไห้นั้น เขาร้องเรียกนายท่านด้วยเสียงสะอื้นแล้วนั่งคุกเข่าลง ก้มหัวพลางหันไปสบตากับอีกสามคน เพื่อยืนยันว่าตนไม่ใช่คนเดียวที่โชคร้าย
“ขายขี้หน้าถึงบ้านเลยจริงๆ ” นายใหญ่เฉิงเดินวนไปมา สีหน้าบึ้งตึง “ถูกคนต่างถิ่นทุบตี พวกเจ้าไม่มีแขน ไม่มีขาหรืออย่างไร พวกนั้นเป็นถึงเจ้าถิ่นเลยนะ! ”
นั่นมันก็จริงอยู่ แต่…
“นายท่าน พวกเขาเป็นคนของตระกูลโจว และบอกว่าจะมายึดสินเดิมของแม่นางน้อยคืน และถือหนังสือสัญญา…” อดีตผู้ดูแลร้านผ้าซื่อจี้ชุนหลินจิ่วเอ่ย
นายใหญ่เฉิงกัดฟันอย่างขมขื่น เด็กบ้านั่นบังอาจนัก!
เขายิ่งแน่ใจว่าทั้งหมดนี้เป็นแผนการของตระกูลโจว โดยให้คนบ้านั่นปรากฏตัวอย่างสง่างาม และอาศัยกลุ่มเครือญาติในเมืองหลวงหลอกล่อ แล้วค่อยเผยธาตุแท้ แย่งชิงสินเดิม!
“แล้วจะทำอย่างไรได้” เขามองหน้าผู้ดูแลร้านเหล่านี้แล้วตะโกน “นางเป็นลูกสาวของตระกูลเฉิงของเรา ตระกูลเฉิงเป็นฝ่ายจัดเตรียมงานแต่ง สินเดิมก็เช่นเดียวกัน นางเป็นเด็กมีสิทธิ์อะไร หากอยากได้สินเดิม ก็ควรมาพูดกับข้า แม้ว่าจะเป็นของแม่นาง แต่หลายปีมานี้ใครเป็นผู้ดูแลให้เป็นอย่างดี พวกเราต่างหาก จะมาแย่งชิงกันซึ่งหน้าเช่นนี้ได้อย่างไรกัน ใครให้ให้พวกเขาออกไม่แย่ง คนที่ออกมาแย่งต่างหากที่เป็นคนผิด คนที่สมควรถูกสั่งสอนคือเจ้าพวกนั้นต่างหาก”
ผู้ดูแลทั้งหลายต่างก้มหน้าก้มตา
ถูกต้อง สมเหตุสมผล! เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเขาทั้งหลายถือว่าโง่เต็มที
“ยังอยู่ที่นี่ทำอะไรกัน” นายใหญ่เฉิงตะโกน “รีบไปหาคนสู้กลับเร็ว บ่าวรับใช้ของตระกูลโจวอาศัยลูกหลานของตระกูลโจวมาสร้างความวุ่นวาย พวกเจ้าโง่เขลาเสียจริง สมควรแล้วที่ถูกทุบตี”
พูดถึงเพียงเท่านั้นก็นิ่งไปก่อนจะแค่นยิ้มออกมา
“แต่ทว่า คนของตระกูลโจวทำถูกอยู่ประการหนึ่ง ถีบส่งพวกเจ้าเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว พวกเจ้าไม่คู่ควรกับตำแหน่งที่ได้รับเอาเสียเลย”
คนทั้งสี่ที่อยู่ด้านหน้า ทั้งอับอาย ทั้งขายหน้า ทั้งโกรธเคือง ใช่ พวกเขาก็ตกใจกลัวจนมึนงงเช่นกัน ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเคยพบเจอกับเรื่องแย่งชิงสินเดิมมาก่อน แต่ทุกครั้งนายท่านทั้งหลายจะปิดประตูทะเลาะกัน แต่สำหรับครั้งนี้กลับมาทุบตีกันถึงที่ในช่วงกลางวันแสกๆ
“ยังไม่รีบไปอีก! ” นายใหญ่เฉิงตะโกน “จะรอให้ข้าไปสู้กับบ่าวพวกนั้นด้วยตัวเองหรือ”
คนทั้งสี่รีบลุกขึ้นยืน พากันวิ่งออกไปอย่างวุ่นวาย
“รอดูเถิดนายท่าน” คนหนึ่งตะโกนไล่หลัง
นายใหญ่เฉิงถุยออกมา สะบัดแขนเสื้อแล้วนั่งลง แผ่นอกที่ไฟสุมทรวงสั่นไหวอย่างรุนแรง เขายกมือคว่ำโต๊ะที่อยู่ด้านข้าง
ในเวลาเดียวกัน พ่อบ้านเฉาและคนอื่นๆ กำลังรายงานเรื่องในของวันนี้ให้กับเฉิงเจียวเหนียงฟังว่าได้ทำอะไรไปบ้าง
“อาละวาดจนพวกนั้นตกใจวิ่งหนีกระเจิง บรรดาผู้ดูแลร้านคนใหม่ที่ข้าสุ่มเลือกมาคงหัวใจเต้นรัวไม่น้อย ผู้คนบนโลกนี้ล้วนปรารถนาที่จะปืนสู่ที่สูง ขาดเพียงแค่โอกาสเท่านั้น” เขาพูดด้วยรอยยิ้ม .
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า
“นายหญิงจะให้ข้าทำอะไรต่อหรือขอรับ” พ่อบ้านเฉาถาม
ณ ตอนนี้ พวกเขาแค่ลงมือพอเป็นพิธี เป็นไปไม่ได้ที่จะได้ร้านค้าสองแห่งและบ้านสวนสองหลังมาครอบครองอย่างง่ายดาย
และถ้านี่คือการต่อสู้ การกระทำของพวกเขาในวันนี้ก็แค่ตีกลองประกาศศึกเท่านั้น การต่อสู้ที่แท้จริงยังมิได้เริ่มต้น ไม่ต้องคาดเดาก็รู้ว่าในเวลานี้ คนทางนั่นได้สติและกำลังจะตอบโต้กลับแล้ว
“พวกเจ้าทุบตีผู้อื่นก่อน” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว “ก็ไปมอบตัวกับทางการเถิด”
อะไรนะ ไปมอบตัวกับทางการหรือ นี่มันคืออะไรกันแน่
พ่อบ้านเฉาเงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจ ส่วนปั้นฉินที่อยู่ด้านข้างก็มองเฉิงเจียวเหนียงด้วยความประหลาดใจเช่นกัน
………………….