“ชายรอง ชายรอง วันนี้ข้าทนไม่ไหวแล้ว”

ฮูหยินรองเฉิงเอ่ย พอกลับมาถึงบ้านนางก็หยุดร้องไห้แล้ว ทว่าสีหน้ากลับโกรธแค้นยิ่งนัก

“ตระกูลโจวดูแลเจียวเหนียงด้วยความจริงใจ”

นายรองเฉิงนิ่งเงียบไม่พูด

หนึ่งหมื่นก้วน!

ตำแหน่งขุนนางท้องถิ่นผู้น้อยได้เงินเพียงสิบก้วนต่อเดือน แน่นอนว่าหากพึ่งพาแค่เงินสิบก้วนนี้คงอดตายเป็นแน่ แต่หากนับรวมเงินทั้งหมดที่ได้รับ เงินหนึ่งหมื่นก้วนนี้คงต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะเก็บได้

หนึ่งหมื่นก้วน! ตระกูลโจวร่ำรวยจริงๆ ! โยนเงินให้กับคนบ้าใช้เช่นนี้เลยหรือ!

“จะสร้างบ้านให้คนพวกนั้นจริงๆ หรือ” เขาถาม

“ไม่รู้ว่าจะให้คนพวกนั้นหรือไม่ แต่มีสร้างบ้านแล้วจริงๆ ” ฮูหยินรองเฉิงพูดพลางกัดฟันอย่างกังวล“สร้างบ้านอะไรกัน! ตระกูลเรามีบ้านตั้งหลายหลัง ซื้อร้านค้าทำเงินยังจะดีเสียกว่า! ”

หนึ่งหมื่นก้วน! นี่มันหนึ่งหมื่นก้วนเลยนะ!

“ไม่ได้การแล้ว อาศัยช่วงเวลาที่ยังไม่ได้สร้างบ้าน รีบเกลี้ยกล่อมให้นางกลับมา” ฮูหยินรองเฉิงเอ่ย

สีหน้าของนายรองเฉิงยิ่งคร่ำเครียด

“บ้าไปแล้วหรือ! ให้แม่นางเจ็ดไปปลอบนางยังไม่พอ ต้องให้ข้าไปอ้อนวอนเองด้วยหรือ! ข้าเป็นพ่อของนางนะ” เขาปฏิเสธเสียงแข็ง

“ปลอบนางก็เท่ากับเอาใจตระกูลโจว หว่านล้อมให้นางแต่งงานกับคนที่คู่ควร…” ฮูหยินรองเฉิงพูด ทันใดนั้น นางก็นึกบางอย่างออก “ข้าลืมตอบคนของตระกูลฉินไปเลย! เร็วเข้า เร็วเข้า อย่าชักช้าจนคนเขากลับไปก่อน”

นางพูดพร้อมกับลุกขึ้นยืน

“ข้าไม่สนแล้ว ในเมื่อถึงขั้นนี้แล้ว จะไม่ยอมให้เจียวเหนียงแต่งงานกับคนของตระกูลหวังเด็ดขาด! ข้าจะไปพบคนของตระกูลฉินประเดี๋ยวนี้เลย”

นายรองเฉิงลังเล

“หาก… หากพูดเรื่องงานแต่งกับตระกูลฉินตอนนี้จะเหมาะสมหรือ” เขาเอ่ย

“เหตุใดถึงไม่เหมาะเล่า! ลูกสาวของท่าน ท่านมีอำนาจตัดสินใจ คนอื่นไม่มีสิทธิ์” ฮูหยินรองเฉิงพูด พลางรีบสั่งให้แม่นมมาล้างหน้า หวีผม เปลี่ยนเสื้อผ้าสำหรับออกไปข้างนอก ทั้งยังไม่ลืมกำชับอีก “รีบไปปลอบเจียวเหนียงเร็ว”

หนึ่งหมื่นก้วน…

นายรองเฉิงยิ้มเยาะ

“มันไม่ใช่แค่เงินหนึ่งหมื่นก้วน! ชายรอง ท่านต้องมองการณ์ให้ไกลกว่านี้! ” ฮูหยินรองเฉิงเหลียวหลังกลับมาเอ่ย

นายรองเฉิงนั่งเงียบไม่พูด สีหน้าเปลี่ยนไป

“ก็แค่เงินหนึ่งหมื่นก้วน! ”

อีกฝั่งหนึ่ง นายใหญ่เฉิงโมโหจนคว่ำโต๊ะอีกครั้ง

เสียงโครมครามดังไปถึงลานบ้าน

“วันนี้ห้องครัวเราไม่ขาดฟืนแล้ว…” แม่นมสองคนที่อยู่ตรงลานบ้านกระซิบอยู่ด้านหลัง

แม่นมด้านหน้ากระแอมขึ้นมา มองหน้าพวกนางเป็นการเตือน ทั้งสองจึงรีบก้มหน้าลง

“ตระกูลโจวโยนเงินทิ้งอย่างไรก็ช่างพวกเขาไป พวกเราจะปวดใจไปทำไม” นายใหญ่เฉิงเอ่ย

หนึ่งหมื่นก้วน…

ฮูหยินใหญ่เฉิงแอบกุมหัวใจ

ปวดใจจริงๆ ด้วย

“ช่างเถอะ นางจะพาลก็ให้พาลไป พวกเราเป็นผู้ใหญ่จะทำตัวพาลไปกับนางด้วยหรือ” ในที่สุด นางก็พูดขึ้นก่อนจะถอนหายใจ “ก็พาลได้ไม่กี่วันหรอก ประเดี๋ยวก็หายโกรธเอง เดือนหน้าจะออกเรือนแล้ว ปล่อยนางไปก่อน ช่วงนี้คงทำอะไรเสียหายได้ไม่มากหรอก”

หากเกี่ยวข้องกับเงินทองแล้ว ห้ามไม่ให้ใส่ใจคงเป็นไปไม่ได้ แม้ว่าเงินจะซื้อทุกอย่างไม่ได้ แต่ถ้าหากไม่มีเงิน ก้าวเดียวก็เดินลำบากนัก

ณ เวลานี้ คนที่เป็นทุกข์เรื่องเงินไม่ได้มีเพียงคนในตระกูลเฉิงเท่านั้น แต่เจ้ากรมกิจการเกาจากเมืองหลวงก็ขมวดคิ้วด้วยเช่นกัน

“ร้ายแรงเช่นนั้นเลยหรือ” กุ้ยเฟยผิงเตาอุ่นมือถาม นางสวมเสื้อคลุมผืนใหญ่เดินอยู่บนเส้นทางที่มุ่งหน้าไปตำหนักไทเฮา “ไม่ใช่แค่คนจากสำนักขนส่งของถนนไท่ชางหรอกหรือ”

“หลายปีมานี้ ตระกูลเราให้ความสำคัญกับการค้าข้าว” เจ้ากรมกิจการเกาขมวดคิ้วพูดพลางลูบเคราแล้วถอนหายใจ “ครานี้ถือเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่จริงๆ เสียแล้ว”

“เฟิงหลินเก่งกาจเช่นนั้นเลยหรือ เจ้าไม่ได้ส่งคำพูดถึงเขาหรือ” กุ้ยเฟยพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ

“ทำตัวเองทั้งนั้น” เจ้ากรมกิจการเกาเอ่ย “เดิมทีข้าให้ทางถนนไท่ชางคิดหาวิธี สุดท้ายพวกเขากลับคิดวิธีฆ่าคนโดยจุดไฟเผา หากลองคิดเฉยๆ ก็คงไม่เป็นไร แต่กลับจุดไฟเผาแต่ไม่ได้ฆ่าคนนี่สิ ยามนี้เรื่องราวใหญ่โต จนไม่มีเข้ามายุ่ง เฟิงหลินหาพรรคพวกร่วมขบวนการ กัดกินเนื้อให้สาแก่ใจเสียก่อน เแล้วค่อยทำหน้าที่ถวายความจงรักภักดี และบัดนี้ชาวเมืองต่างคุยโวว่าเป็นท่านเปาบุ้นจิ้นกลับชาติมาเกิด หากไม่มอบรางวัลให้กับเขาเลย ชาวเมืองคงไม่พอใจเป็นแน่ ตอนนี้ให้ข้าไปพูด คงเป็นฐานรองเท้าเขาโดยปริยาย”

“ขาดทุนมหาศาลจริงๆ ด้วย” กุ้ยเฟยส่ายศีรษะเอ่ย “ท่านปู่ไม่ใช่ว่าจะสร้างกำไรมหาศาลในปีหน้าหรอกหรือ ถึงขั้นใช้สมบัติเกินครึ่งในการกักตุนข้าวสาร เพียงเพื่อรอให้ราคาของทางถนนไท่ชางทะยานขึ้นในช่วงฤดูหนาวนี้ เพื่อให้ประชาชนบีบบังคับราชสำนักให้เปิดยุ้งฉางแล้วปรับราคาสินค้าที่ขึ้น ให้ลดลงเหมือนเดิม แล้วตอนนี้จะทำอย่างไรกันต่อดี”

เจ้ากรมกิจการเกาถอนหายใจ

“จะทำอะไรได้อีก อยู่นิ่งๆ ไว้จะดีกว่า” เขาตอบ “ยามนี้ผู้คนมากมายจับตามองทางถนนไท่ชาง พร้อมที่จะหยิบฉวยผลประโยชน์ทุกเมื่อ ยิ่งไปกว่านั้น ตระกูลเราคือหนามยอกอก ไม่ต้องพูดถึงคนอื่น ข้าคาดเดาว่าพวกเฉินเซ่าคงนอนไม่หลับกันเป็นแน่ รอให้พวกเราออกหน้าก่อน”

“ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ปล่อยผ่านเถิด อย่าไปยุ่งกับมหัตภัยนั้นเลย” กุ้ยเฟยรีบเอ่ย “ขาดทุนก็ให้ขาดทุนไป อย่าลากองค์ชายใหญ่เข้ามาเกี่ยวข้อง ยามนี้ฝ่าบาทนับวันยิ่งโปรดปรานองค์ชายรองมากขึ้น ตระกูลเราจะเกิดเรื่องไม่ได้”

เจ้ากรมกิจการเกาถอนหายใจ นิ่งเงียบ

เขารู้ว่าองค์ชายใหญ่สำคัญเพียงใด แต่เงินเหล่านั้นก็สำคัญมากเช่นกัน…

เดิมทีรอให้ยุ้งฉางหลวงกระจายข้าวจนหมด ฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนหน้าก็จะสามารถสร้างรายได้มหาศาลจากถนนไท่ชาง โดยลงทรัพย์สินครึ่งหนึ่งของตระกูลแลกกับทรัพย์สินหนึ่งส่วนครึ่ง แต่ตอนนี้ทุกอย่างกลับสูญเปล่า

บัดนี้ท่านปู่โกรธจนล้มป่วยแล้ว

“โชคร้ายจริงเสีย ตกลงผู้ใดลอบเล่นงานพวกไร้ประโยชน์ของถนนไท่ชางกันแน่! ” เขาพูดอย่างโกรธเคือง “คนผ่านไปมา! จะบังเอิญเช่นนั้นได้อย่างไร! ”

ระหว่างที่พวกเขาคุยกันก็เดินมาถึงหน้าตำหนักของไทเฮาแล้ว พวกเขาหยุดพูด เหลียวมองตามเสียงหัวเราะของเด็กที่ดังขึ้นจากด้านหลัง

องค์ชายรองยิ้มระรื่นเดินอยู่หน้าสุด จิ้นอันจวิ้นอ๋องเดินตามหลังอย่างช้าๆ และปิดท้ายด้วยองค์ชายใหญ่ที่สีหน้าไม่สู้ดีนัก

“ท่านพี่จะไปกับข้าด้วยหรือไม่” องค์ชายรองถามขณะที่หันกลับมามองจิ้นอันจวิ้นอ๋อง

“เพราะเจ้าคนเดียวเลย ให้ฝ่าบาทซักถามการบ้านข้าเมื่อวานนี้ ตอนนี้ข้าเลยต้องไปท่องหนังสือต่อหน้าฝ่าบาท ข้าจะไปได้อย่างไร” จิ้นอันจวิ้นอ๋องตอบ

องค์ชายรองยิ้มกว้างแล้วตบแขนของจิ้นอันจวิ้นอ๋อง

“ท่านพี่ อย่าได้กลัวไปเลย” เขาเอ่ย

“หนังสือเล่มนั้นข้ายังท่องได้เลย ใครให้เจ้าท่องไม่ได้สักที” องค์ชายใหญ่พูดแทรก

“องค์ชาย ท่องจำได้เร็วนัก ข้าไม่กล้าเทียบกับท่านหรอก ท่านท่องวันหนึ่งเท่ากับข้าสามวัน” จิ้นอันจวิ้นอ๋องยิ้มเจื่อนเอ่ยพลางลูบจมูก

องค์ชายใหญ่ยิ้มอย่างมีความสุข

“กุ้ยเฟย ใต้เท้าเกา” จิ้นอันจวิ้นอ๋องมองเห็นทั้งสองยืนอยู่ จึงรีบคำนับทักทาย

องค์ชายใหญ่และองค์ชายรองก็หยุดเดินเช่นกัน

“ลิ่วเกอร์จะไปที่ไหนกันหรือ” กุ้ยเฟยยิ้มถาม

“ข้าจะไปเก็บดอกบ๊วยเดือนสิบสองให้เสด็จแม่” องค์ชายรองตอบด้วยรอยยิ้ม “กุ้ยเฟยต้องการด้วยหรือไม่”

กุ้ยเฟยส่ายศีรษะยิ้ม ยื่นมือออกไปลูบไหล่ขององค์ชายรอง

“ลิ่วเกอร์ช่างกตัญญูเสียจริง ระลึกถึงฮองเฮาเสมอ ยอดเยี่ยมนัก ขอบคุณลิ่วเกอร์ที่คิดถึงข้า” นางยิ้มเอ่ย

องค์ชายรองพยักหน้าอย่างมีความสุขแล้วเดินจากไป

จิ้นอันจวิ้นอ๋องคำนับเสร็จก็เดินจากไปเช่นกัน

ส่วนองค์ชายใหญ่ ขณะที่คำนับและกำลังจะยกเท้าเดินจากไป กลับถูกกุ้ยเฟยเรียกไว้

“เจ้าจะไปไหนหรือ” กุ้ยเฟยมองหน้าเขาและถามโดยไม่ยิ้ม

องค์ชายใหญ่ใบหน้าดูหวาดกลัวเล็กน้อย

“ข้า ข้าไปอ่าน…อ่านหนังสือ…” เขาพูด

กุ้ยเฟยขัดจังหวะก่อนที่เขาจะพูดจบ

“อ่านหนังสืออะไร นอกจากอ่านหนังสือเจ้าทำอะไรเป็นบ้าง” นางเอ็ดเสียงเบา

องค์ชายใหญ่ตกใจกลัวจนตัวสั่น ขณะที่เจ้ากรมกิจการร้องเสียงโธ่ออกมา

“องค์ชาย วันนี้อากาศดีนัก ไปเก็บดอกไม้กับองค์ชายรองแล้วนำไปถวายฝ่าบาทดีกว่านะพ่ะย่ะค่ะ” เขาเตือนด้วยรอยยิ้ม

องค์ชายใหญ่มองกุ้ยเฟยด้วยความหวาดกลัว

“ยังไม่รีบไปอีก! ” กุ้ยเฟยขมวดคิ้วตะโกนพร้อมกับใช้นิ้วยันหน้าผาก “สู้เด็กน้อยก็ไม่ได้ โง่จริงๆ เลย! ”

องค์ชายใหญ่ดูร้อนรนเล็กน้อย อยากจะร้องไห้แต่ไม่กล้า จึงรีบวิ่งตามองค์ชายรองไป

กุ้ยเฟยถอนหายใจด้วยความไม่พอใจ

“พอแล้ว ยังเด็กอยู่ ค่อยๆ สอนกันไป นี่เป็นเพราะองค์ชายใหญ่เราจริงใจและตรงไปตรงมา” เจ้ากรมกิจการเกาเอ่ย

กุ้ยเฟยไม่พอใจ กำลังจะปริปากพูด ข้าหลวงในวังก็ออกมาต้อนรับแล้ว ทั้งสองจึงหยุดพูดและเดินเข้าไป

จิ้นอันจวิ้นอ๋องที่อยู่ด้านข้าง ละสายตาและก้าวเข้าไป

“องค์ชาย วันนี้จะออกไปข้างนอกหรือไม่ หรือรอท่องเล่มนี้ให้ฝ่าบาทพอพระทัยก่อน พวกเราค่อยออกไปเดินเล่น ดีหรือไม่พะยะค่ะ” ขันทีพูดด้วยรอยยิ้ม

จิ้นอันจวิ้นอ๋องไม่รู้สึกตื่นเต้น

“ออกไปก็ไม่มีอะไรน่าสนใจ” เขาเอ่ย

“ฝ่าบาท หลังจากแม่นางเฉิงจากไป ท่านก็ไม่ได้ออกจากวังหลวงอีกเลย” ขันทีเอ่ย “มันน่าเบื่อมากจริงๆ นะพ่ะย่ะค่ะ”

“ไม่น่าเบื่อ ก็พอได้อยู่นะ” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ย

ขันทีกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่

“เจ้าหัวเราะอะไร ข้ารู้นะว่าเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่” จิ้นอันจวิ้นอ๋องชำเลืองมองเขาพลางเอ่ยพร้อมกับสะบัดแขนเสื้อไปด้านหลัง “ใช่ เมื่อก่อนยังไม่รู้จักนาง ข้าเบื่อนักยามต้องอยู่ในวัง แต่หลังจากรู้จักนาง ก็เป็นเช่นนี้แล้ว ดังนั้น เมื่อนางจากไป ออกไปข้างนอกก็ไม่ได้พบหน้า จะอยู่ในวังหรือนอกวัง สำหรับข้า มีค่าเท่ากัน”

ขันทีพยักหน้าและยิ้มไม่หยุด

“เจ้าไม่เข้าใจหรอก” จิ้นอันจวิ้นอ๋องชำเลืองมองเขา โบกมือแล้วเอ่ย “การคบค้าของคนดีนั้นใสสะอาดดุจสายน้ำ พบเจอหรือไม่ได้พบเจอก็เหมือนกัน ฉะนั้น ข้าจะออกหรือไม่ออกไปก็มีค่าเท่ากัน”

หลังจากเขาพูดจบ ได้เร่งฝีเท้าทิ้งขันทีไว้ข้างหลัง

ขันทีเดินตามหลัง ยิ่งอมยิ้มหนักเข้าไปอีก

“ข้าไม่เข้าใจจริงๆ เหมือนกับว่ามันไม่ใช่เรื่องเดียวกัน” เขาพูดด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะคิดอะไรบางอย่างออก “เพียงแต่ไม่รู้ว่าตอนนี้หญิงผู้นั้นเป็นอย่างไรบ้าง จะรู้สึกเหมือนกันหรือไม่”

“นายหญิง นี่คือรายการสินเดิม นี่คือหนังสือสัญญาของร้านค้าและที่ดิน”

พ่อบ้านเฉายื่นเอกสารให้หลายแผ่น

“ระหว่างที่ข้าเดินทางมา นายใหญ่เกรงว่านายหญิงจะได้ใช้ จึงให้ข้านำติดตามมาด้วย”

เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้าแต่ไม่ได้เอื้อมมือไปหยิบ

“เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะแต่งงานแล้ว พวกท่านช่วยไปตรวจนับให้ข้าที” นางเอ่ย

ในเมื่อนางพูดเสียชัดเจนขนาดนี้แล้วก็คงต้องรีบลงมือ

แต่เพียงคาดไม่ถึงว่านายหญิงน้อยจะจัดการเรื่องสินเดิมเร็วถึงเพียงนี้ เมื่อเห็นวิถีของนายหญิงน้อยแล้ว เดิมทีไม่สนใจเรื่องเงิน แต่เพราะครั้งนี้ตระกูลเฉิงทำให้นางโมโหใช่หรือไม่

ปั้นฉินบอกว่านายหญิงอารมณ์ไม่ดี เหตุใดนางถึงอารมณ์ไม่ดีได้

พ่อบ้านส่ายหน้าแล้วหยุดคิด เพราะใจของผู้หญิงยากจะคาดเดา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความคิดของนายหญิงน้อยคนนี้เลย สิ่งที่เขาควรรู้คือตระกูลเฉิงทำให้นายหญิงอารมณ์ไม่ดี ดังนั้นครั้งนี้พวกเขาโชคร้ายแล้ว

หากเรียกขอที่บ้านกันซึ่งๆ หน้า คงได้มาไม่ง่ายแน่ แต่ก็ไม่ต้องกังวลไป ในเมื่อนายหญิงยกเคียวของนางขึ้นแล้ว คงจะไม่ได้กลับบ้านมือเปล่าเป็นแน่

“ขอครับ” เขาพูดพร้อมโน้มตัวคำนับ

………………….