บทที่ 347 ฝ่าบาทจำเป็นต้องชำระจิตใจ

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

สายลมพัดผ่าน

ซ่งชูอีเดินออกมาจากจวนมหาเสนาบดีฝ่ายขวา ขี่ม้าไปอย่างเชื่องช้า

“เฮ้อ!”

นางอดที่จะถอนหายใจอย่างแรงไม่ได้

ตราบใดที่มีเป้าหมายร่วมกัน นางและชูหลี่จี๋อาจไม่จำเป็นต้องมาถึงวันที่พวกเขาต้องต่อต้านกันเช่นนี้ แต่รสชาติของการเชื่อใจอย่างสุดซึ้งที่กลายเป็นความเคลือบแคลงใจต่อกันนั้นชวนให้รู้สึกหดหู่เหลือเกิน

ระหว่างขุนนางเช่นพวกเขา ความเชื่อใจล้วนถูกต่อต้าน ต้องเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปและไม่เคยมีความเชื่อใจโดยสมบูรณ์

การที่ชูหลี่จี๋สามารถพูดออกมาได้อย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ ซ่งชูอีชื่นชมจากใจจริง

เวลาผูกมิตรก็ผูกมิตรด้วยความจริงใจ เวลาต่อต้านก็ต่อต้านสุดกำลัง การรู้จักกันและกันไม่ใช่เรื่องแย่! หากตอนนั้นหมิ่นฉือสามารถเปิดเผยเยี่ยงชูหลี่จี๋ได้และคิดเพื่อนางเช่นนี้ ก็คงไม่มีจุดจบอย่างเดียวกัน นางก็คงไม่มีความเกลียดชัง

บางทีหากนางไม่มีประสบการณ์ที่ถูกทรยศอันแสนโหดร้ายก็คงไม่มีสภาพจิตใจเช่นทุกวันนี้

ซ่งชูอีไม่เคยคิดที่จะใช้แผนการชั่วร้ายเพื่อฆ่าหมิ่นฉือ สิ่งที่นางทำทั้งหมดก็เพียงเพื่อแข่งขันกับเขาอย่างตรงไปตรงมา

หากเหตุการณ์ในชาติที่แล้วเกิดซ้ำอีกครั้ง คนที่ตายจะเป็นใคร?

ในค่ำคืนอันกว้างใหญ่ คนหนึ่งกำลังขี่ม้า ลมที่พัดปลิวเสื้อคลุมของนางเผยให้เห็นรูปร่างผอมเพรียว……

เพียงระยะเวลาสั้นๆ ห้าวัน ซ่งชูอีได้จัดการทุกอย่างเรียบร้อยตามสมควรแล้วและคำสั่งทางทหารก็เสร็จสมบูรณ์

ก่อนที่จะออกเดินทางนางไปหาอิ๋งซื่อเพื่อกล่าวลา ผลปรากฏว่าหลายวันนี้อิ๋งซื่อล้มหมอนนอนเสื่อ ไม่พบผู้ใด

ซ่งชูอีเขียนเรียงความของสำนักเต๋าอย่างเงียบ ๆ ระหว่างที่ตัวเองกำลังรีบ ส่งมอบให้ขันทีเถาเพื่อนำต่อไปให้อิ๋งซื่อ

ภายในห้องบรรทมในกลิ่นธูปผ่อนคลายอบอวล อิ๋งซื่อสวมเสื้อคลุมผ้าไหมแขนกว้างสีขาวพร้อมคดตัวอยู่บนตั่งเพื่ออ่านเอกสารที่กองสะสมกันในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา

ขันทีเถาโค้งคำนับพร้อมยื่นม้วนไม้ไผ่ให้เขา “ฝ่าบาท นี่คือม้วนเอกสารที่กั๋วเว่ยฝากให้บ่าวส่งมอบให้ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”

ขันทีเถาเหลือบเห็นอิ๋งซื่อยกมือขึ้นจึงเดินไปข้างหน้าแล้วยื่นม้วนเอกสารถึงมือเขา

อิ๋งซื่อคลี่ม้วนไม้ไผ่ออกพร้อมกับอ่านแล้วเอ่ยว่า “กั๋วเว่ยยังพูดอะไรอีก?”

ขันทีเถาลังเลครู่หนึ่งก่อนที่จะถ่ายทอดแบบคำต่อคำ “กั๋วเว่ยกล่าวว่า ช่วงนี้เห็นฝ่าบาทกระวนกระวายใจซึ่งไม่ดีต่อการพักฟื้น จึงตั้งใจเขียนบทความชำระจิตใจให้แห่งสำนักเต๋ามอบให้แก่ฝ่าบาท กั๋วเว่ยยังเอ่ยว่า ตอนที่นางมองไม่เห็นก็มักจะท่องบทความนี้อยู่เสมอ ซึ่งมันก็ได้ผลจริง”

“นางยังพูดอะไรอีก?” อิ๋งซื่อสีหน้ามืดมน โยนม้วนไม่ไผ่ลงบนโต๊ะ

ขันทีเถาตื่นตกใจ ตอบอย่างละเอียดยิบ “กั๋วเว่ยยังถามบ่าวว่าอาการป่วยของฝ่าบาทยากที่จะทนทานหรือไม่ เหตุใดอารมณ์ถึงได้แปรปรวนเช่นนี้ บ่าวเพียงตอบว่าไม่ทราบ กั๋วเว่ยก็ไม่ได้ถามต่ออีก”

เมื่อมีเหตุการณ์สุดวิสัยและไม่สามารถควบคุมได้นั้นก็เป็นเรื่องสมเหตุสมผลที่อารมณ์จะแปรปรวน ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับอาการเจ็บป่วยใดๆ ทว่าซ่งชูอีก็ทึกทักเอาเองว่าอิ๋งซื่อมีนิสัยเหมือนเด็กผู้หญิงเพราะความต้องการเป็นใหญ่ในใต้หล้า ด้วยเหตุนี้จึงลืมเรื่องความรู้สึกส่วนตัวที่เขามีต่อนางไว้เบื้องหลังแล้ว

ไม่ใช่ว่าซ่งชูอีไม่ระวังตัวแต่นางไม่เชื่อมั่นในตัวเองว่าจะสามารถทำให้ผู้ชายคนนั้นประทับใจไม่รู้ลืม แม้แต่นางกับเจ้าอี่โหลวเอง นางเชื่อเสมอว่าความรู้สึกจะค่อยๆ พัฒนาขึ้นหลังจากแบ่งปันชีวิตและความตายด้วยกันต่างหาก

“ไม่เข้าใจจะดีที่สุด” อิ๋งซื่อบ่นพึมพำ ม้วนเก็บไม้ไผ่ สั่งให้ขันทีเถาเก็บมันไว้ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาฝุ่นก็เกาะและไม่เคยอ่านอีกเลย

เขาจำเป็นต้องรักษาความสัมพันธ์อันดีระหว่างกษัตริย์และขุนนางกับซ่งชูอีตลอดเวลา ไม่ควรที่จะล้ำเส้น แม้ว่าทุกอย่างที่ซ่งชูอีทำจะเป็นสิ่งที่ขุนนางทั่วไปพึงกระทำ ทว่าในใจของเขามีความรู้สึกที่ต่างออกไป จึงจำเป็นต้องกำจัดทุกอย่างที่ก่อให้เกิดความทรงจำอันงดงามได้

เมื่อขันทีเถากลับมา อิ๋งซื่อก็เอ่ยถาม “ร่างกายของหมี่จีเป็นอย่างไรบ้าง?”

“สบายดีพ่ะย่ะค่ะ ตอนที่ฝ่าบาทบรรทมก็ยังมาเยี่ยม” ขันทีเถาเอ่ย

อิ๋งซื่อพยักหน้า ร่างกายของเขาแย่ลงเรื่อยๆ ยากที่จะบอกว่าในอนาคตจะสามารถมีลูกได้อีกหรือไม่ ถ้าหากครรภ์ของหมี่จีเป็นเด็กผู้ชายก็จะดีไม่น้อย อิ๋งตั้งจะได้ไม่เป็นทายาทเพียงคนเดียว เมื่อเลือดเนื้อเชื้อไขของราชวงศ์มีหลักประกันแล้ว เขาก็มีคำอธิบายให้กับบรรพบุรุษ

ตกดึก ท้องฟ้ายามค่ำคืนเต็มไปด้วยดวงดาวเหมือนทะเล

แสงไฟในนครต้าเหลียงสว่างไสว การจราจรพลุกพล่านเหมือนตอนกลางวัน

เว่ยเฮ่อจ้องไปยังอาคารที่สูงที่สุดในพระราชวังก็สามารถรับรู้ได้ถึงความครึกครื้นที่อยู่ไกลเกินเอื้อมที่คอยปลอบประโลมความเหงา

แต่ว่าวันนี้เขากลับไม่มีกะใจชื่นชมทิวทัศน์ ม้วนไม้ไผ่ที่กล่าวว่าจะลอบปลงชนม์ที่หรงจวี้นำมาให้จากหมิ่นฉือนั้นทำให้เขาตกตะลึงเป็นอย่างมาก

“มันเป็นความข้างเดียว” เว่ยเฮ่อวางแผ่นไผ่ลง เอ่ยวาจาทำลายความเงียบอันน่าอึดอัด

หรงจวี้กล่าว “กระหม่อมก็ไม่เชื่อ ทว่านี่เป็นเรื่องใหญ่ กระหม่อมไม่กล้าปิดบัง”

เขาปิดบังความจริงที่ว่าสวีจ่างหนิงมาหาเขาด้วยตัวเอง เพียงแต่บอกเว่ยเฮ่อว่าไม่รู้ว่าผู้ใดนำม้วนไม้ไผ่นี้มาไว้บนโต๊ะของเขาอย่างลับๆ

“ลงชื่อไว้ว่าสวีจ่างหนิง หากคนที่เปิดเผยเรื่องนี้เป็นเขาจริง ควรขอให้เขาเผชิญหน้ากับหลางจงหมิ่นโดยตรงหรือไม่?” หรงจวี้แนะนำ

เว่ยเฮ่อส่ายหน้า “เขามีเหตุผลใดจะสังหารกษัตริย์? หมิ่นจื๋อห่วนกล่าวว่าจวีจ่างหนิงเป็นสายลับรัฐฉิน ที่สวีจ่างหนิงเปิดโปงว่าหมิ่นจื๋อห่วนหักหลังองค์ชายซื่อสังหารองค์จวินนั้นเป็นจริงหรือเท็จ? เราไม่สามารถยืนยันตัวตนของสวีจ่างหนิงได้แล้วจะเชื่อในสิ่งที่เขาพูดได้อย่างไร?”

หรงจวี้เห็นด้วย “ท่านอ๋องของข้ารอบคอบยิ่งนัก เช่นนั้น…เรื่องนี้ก็ปล่อยไปเช่นนี้หรือ?”

เว่ยเฮ่อสงสัยในใจ ตั้งใจที่จะส่งคนตรวจสอบเนื้อหาในใบไผ่นี้อย่างลับๆ “วางไว้ข้างๆ ก่อนเถิด”

“พ่ะย่ะค่ะ” หรงจวี้เข้าใจว่าหากต้องการล้มหมิ่นฉือนี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุด เมื่อเขากลายเป็นมือขวาของกษัตริย์ก็สายเกินไปที่จะคิดเรื่องนี้ เรื่องนี้ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในชั่วข้ามคืนและไม่สามารถแสดงความกระตือรือร้นมากเกินไปในขณะนี้

ทว่าเขามีวิธีของตัวเองที่จะยุยง “ได้ยินว่าหลางจงหมิ่นเป็นศิษย์สำนักกุ่ยกู๋จื่อ เก่งกาจด้านการทหารมากที่สุด อดีต

เว่ยอ๋องพยายามที่จะรักษาเขาไว้ในรัฐเว่ย สันนิษฐานว่าพรสวรรค์ของเขาเทียบได้กับผังเจวียนและซุนปิ้นเลยทีเดียว เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับต้าเว่ยจะรีบร้อนไม่ได้”

“หากเจ้าไม่เอ่ยเรื่องนี้ กว่าเหรินก็ลืมไปแล้วว่าหมิ่นจื๋อห่วนเก่งเรื่องการทหาร” เว่ยเฮ่อถูกจุดความสนใจ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดเสด็จพ่อถึงให้เขาเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋นเล่า?”

หรงจวี้ทำทีเป็นครุ่นคิด ผ่านไปครู่หนึ่งก็เอ่ยด้วยความงุนงง “อดีตอ๋องวิสัยทัศน์กว้างไกล กระหม่อมยากที่จะเดาจุดประสงค์อันล้ำลึกจริงๆ”

เว่ยเฮ่อสงสัยยิ่งกว่าเดิม ในช่วงแรกเสด็จพ่อยืนกรานหนักแน่นที่จะนำหมิ่นจื๋อห่วนและซ่งหวยจินมาจากมือของเว่ย์โหวเพื่อเข้ามายังรัฐเว่ยให้ได้ ซ่งหวยจินสมคบคิดกับชาวฉินตั้งแต่แรกเริ่ม ด้วยเหตุนี้จึงมีชาวฉินช่วยเขาออกจากรัฐเว่ยไปสู่รัฐฉิน เช่นนั้นหมิ่นจื๋อห่วนเต็มใจที่จะอยู่ในรัฐเว่ยจริงหรือ? หากเขาอุทิศตนเพื่อรัฐเว่ยจริง เหตุใดเสด็จพ่อจึงเก็บเขาไว้ข้างกายตลอดเวลาและมอบตำแหน่งทางการให้เขาเล่า?

เว่ยเฮ่อที่เดิมทีเริ่มมีความสงสัยบ้างแล้วยิ่งรู้สึกไม่สบายใจกว่าเดิม ถึงขนาดนอนไม่หลับติดต่อกันสิบกว่าวัน

รัฐเว่ยอยู่ไม่ไกลจากรัฐเว่ย์นัก คนที่ถูกส่งไปตรวจสอบในที่สุดก็ส่งข่าวกลับมายังต้าเหลียง

หากเป็นจริงตามที่สวีจ่างหนิงเปิดโปง หมิ่นฉือใช้ประโยชน์จากกำลังของสกุลตู้ก็แสดงว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองคนไม่ธรรมดา อย่างไรก็ดีในจดหมายกล่าวไว้ว่า เมื่อหมิ่นฉืออยู่ในรัฐเว่ย์ชอบเข้าสังคมเป็นที่สุด มีการติดต่อกับบุคคลสำคัญและพ่อค้าหลายคนไม่มากก็น้อย ตู้เหิงก็เป็นหนึ่งในนั้นซึ่งไม่อาจแน่ใจได้ว่ามีความสัมพันธ์ลึกซึ้งเพียงใด

รู้จักแต่ไม่แน่ใจว่ามิตรภาพของทั้งสองคนเป็นอย่างไร

ข่าวนี้ก็มีส่วนคล้ายคลึงกัน! เว่ยเฮ่อสั่งให้คนสืบต่อไปทันที

“ฝ่าบาท มหาเสนาบดีขอพบพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีกล่าวรายงาน

เว่ยเฮ่อวางม้วนไม้ไผ่ไว้ข้างๆ เอ่ยว่า “เชิญให้เขาเข้ามา”

ไม่ช้า ฮุ่ยซือก็สาวเท้าเข้ามาในพระตำหนัก ประสานมือคำนับ ไม่รอให้เว่ยเฮ่อได้พูดอะไรก็เอ่ยว่า “ท่านอ๋อง รัฐฉินส่งทหารมาอีกห้าหมื่นนาย มีซ่งหวยจินเป็นผู้นำทัพ กำลังตรงไปยังสนามรบพ่ะย่ะค่ะ”

“ก็แค่ห้าหมื่นนาย ทำให้ท่านมหาเสนาบดีเสียอาการเพียงนี้?” เว่ยเฮ่อเอ่ย

ฮุ่ยซือค้อมตัวเล็กน้อย “กระหม่อมร้อนใจไปหน่อย ท่านอ๋องได้โปรดให้อภัย ทหารม้าห้าหมื่นนายนี้เป็นกองทัพใหม่ที่ได้รับการฝึกฝนอย่างลับๆ โดยรัฐฉิน รัฐฉินยังได้รับหน้าไม้กลขนาดเบามาจากสำนักม่ออีกด้วย หากกองทัพใหม่ใช้อาวุธนี้ หนึ่งคนต่อศัตรูหนึ่งร้อยก็ยังน่ากลัว”